ขมิ้นชัน สมุนไพรที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์หลายด้าน หาซื้อได้ไม่ยาก สีสันสะดุดตา มีสรรพคุณทางยาที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าเหตุใดขมิ้นชันจึงเป็นที่นิยมในการรักษาอาการป่วยๆ หลายชนิด แล้วประโยชน์ที่ได้จากสมุนไพรชนิดนี้มีอะไรบ้าง กินขมิ้นชันทุกวันอันตรายไหม รวมถึงวิธีการใช้ และข้อห้ามข้อควรระวังต่างๆ
สารบัญ
ทำความรู้จักขมิ้นชัน
ขมิ้นชัน เป็นไม้ล้มลุก ซึ่งนิยมปลูกในประเทศแถบเขตร้อนและเขตอบอุ่นที่มีความชื้นโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสูงของต้นจะอยู่ที่ประมาณ 50-70 เซนติเมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในเหง้ามีสีเหลืองเข้ม หรือสีเหลืองส้ม มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ชอบขึ้นในที่ชื้น ใบเดี่ยวมีลักษณะเป็นรูปหอก ส่วนดอกเป็นช่อสีเหลืองอ่อน ตัวใบและตัวดอกจะแทงออกจากเหง้าใต้ดิน
ขมิ้นชันมีชื่อสามัญว่า “เทอร์เมอริก (Turmeric)” ซึ่งแปลในภาษาสันสกฤตได้ว่า “สีเหลือง” และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa L. ถือเป็นพืชอยู่ในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) มีชื่อท้องถิ่นว่า ขมิ้น ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว หรือตายอ
ในส่วนของการปรุงอาหาร ขมิ้นชันนิยมใช้เป็นเครื่องเทศสำหรับแต่งรสและสีผสมอาหาร โดยถูกใช้ทั้งรูปแบบผงและแบบเหง้า ซึ่งอาหารที่นิยมใส่ขมิ้นชัน ได้แก่ แกงเหลือง ข้าวหมกไก่ แกงกะหรี่ ขนมเบื้องญวน ไก่ทอด แกงไตปลา มัสตาร์ด เนย มาการีน อีกทั้งยังใช้ทำเป็นเครื่องสำอาง หรือเป็นผงขัดผิว
ชื่อท้องถิ่น : ขมิ้น (ทั่วไป) , ขมิ้นชัน (กลาง, ใต้), ขมิ้นแกง , ขมิ้นหยวก , ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้มิ้น , หมิ้น (ภาคใต้) , ตายอ (กะเหรี่ยง – กำแพงเพรช) , ละยอ (กะเหรี่ยง – แม่ฮ่องสอน)
สรรพคุณทางยาของขมิ้นชัน
ขมิ้นชันมีสารสำคัญ 2 กลุ่มที่เป็นสารออกฤทธิ์และเป็นยาทางการแพทย์ได้ ได้แก่
- กลุ่มที่ให้สารเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoid) มีสารออกฤทธิ์หลัก คือ สารเคอร์คูมิน (Curcumin) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เชื้อจุลชีพ สารแบคทีเรียปรสิต ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง บำรุงและรักษาตับจากสารพิษ
- กลุ่มน้ำมันหอมระเหยโมโนเทอร์ปีน (Monoterpene) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดี อุดมไปเกลือแร่และวิตามิน ช่วยบำรุงผิวพรณให้ผ่องใสขึ้น
นอกจากสารทั้ง 2 กลุ่มนี้แล้ว แพทย์ยังนิยมใช้ผงขมิ้นชันเป็นส่วนผสมในยารักษาโรคต่างๆ เช่น รักษาโรคข้ออักเสบ ยาลดกรด ยาขับลม ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ท้องอืดหรือท้องเฟ้อ ยาแก้อักเสบ ยาแก้โรคผิวหนัง
สรรพคุณทางยาของขมิ้นชันในตำราไทย
ขมิ้นชันเป็นอีกหนึ่งในสมุนไพรโบราณที่คนไทยนำมาใช้เป็นยารักษาโรคและอาการเจ็บปวดต่างๆ มาอย่างยาวนาน ซึ่งตามตำรายาไทยมักจะใช้ส่วนเหล้านำมาทำเป็นยารักษา โดยส่วนนี้จะมีรสฝาดหวานเอียน แต่มีสรรพคุณรักษาได้ดี ซึ่งขมิ้นชันในตำราไทยจะแบ่งส่วนการรักษาเป็น 2 แบบ
- แบบใช้ภายในร่างกาย เช่น
- ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาบำรุงธาตุ
- แก้ท้องอืดเฟ้อ อาการแน่นหรือจุกเสียดท้อง
- บรรเทาเวลาปวดประจำเดือน หรือเป็นยารักษาเมื่อประจำเดือนมาไม่ปกติ
- แก้อาการดีซ่าน
- แก้อาการวิงเวียนศีรษะ
- รักษาโรคหวัด ลดไข้ แก้เสมหะ
- ต้านเชื้อวัณโรค
- แก้อาการท้องเสีย
- ป้องกันโรคหนองใน
- เป็นยารักษาเมื่อโรคออกทางปัสสาวะและทวารหนัก
- แบบใช้ภายนอกร่างกาย เช่น
- ช่วยลดอาการฟกช้ำบวม
- บรรเทาอาการปวดไหล่ แขน ข้อต่อ อาการบวมช้ำ
- ช่วยสมานแผลสดและแผลถลอก
- ผสมเป็นยานวดคลายเส้นแก้เคล็ดขัดยอกได้
- แก้น้ำกัดเท้า
- แก้โรคเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น โรคชันนะตุ โรคกลากเกลื้อน มีผื่นคัน เป็นผี
- สมานแผลและห้ามเลือดได้ เช่น แผลพุพอง แผลอักเสบจากแมงสัตว์กัดต่อย
- ใช้บำรุงรักษาผิวให้ดูดียิ่งขึ้น
สรรพคุณที่น่าสนใจอื่นๆ ของขมิ้นชัน
นอกเหนือจากตำรายาไทยแล้ว ประโยชน์จากขมิ้นชันยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะยังมีโรคและอาการผิดปกติอีกหลายชนิดที่คุณอาจคาดไม่ถึงและสามารถรักษาได้ด้วยขมิ้นชัน เช่น
- ป้องกันและรักษาโรคอัลไซเมอร์
- ชะลอและป้องกันโรคพาร์กินสัน
- ออกฤทธิ์ลดไขมันได้ (Hypolipidaemic)
- รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- ต้านการเกิดโรคมะเร็งได้อีกหลายชนิด ไม่ใช่แค่โรคมะเร็งผิวหนังเท่านั้น เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะอาหาร
รูปแบบการรับประทานยาขมิ้นชันในปัจจุบัน
โดยในปัจจุบัน ขมิ้นชันมีการแปรรูปสำหรับการใช้งานในหลายรูปแบบ เช่น แบบเหง้าสด แบบเหง้าแห้ง แบบผง แบบแคปซูล แบบยาเม็ด แบบยาทาผิวหนัง แบบเครื่องดื่มชาขมิ้นชัน แบบสารสกัด หรือแบบเป็นยาใช้ภายนอก ซึ่งการเลือกรับประทานก็จะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของคุณเองว่า ต้องการบริโภคขมิ้นชันเพื่ออะไร และรูปแบบร่างๆ ก็จะมีวิธีบริโภคที่แตกต่างกัน เช่น
- รูปแบบรับประทาน: ต้องกลืนไปทั้งเม็ด หรือทั้งแคปซูล
- รูปแบบยาผง: ต้องนำไปผสมน้ำก่อนดื่ม และปริมาณการใช้ก็ตามเป็นไปตามที่ฉลากระบุ
- รูปแบบยาทาผิวหนัง: ส่วนมากยาทาขมิ้นชันมักจะเป็นยาครีม เจล หรือขี้ผึ้ง โดยก่อนใช้ยา คุณควรทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่ต้องการเสียก่อน จากนั้นให้บีบยาลงไปพอประมาณ แล้วทาบางๆ ให้ยาแผ่ซึมลงใต้ผิวหนัง
คำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)
คุณอาจยังสงสัยวิธีการใช้ขมิ้นชันมาดัดแปลงเป็นยารักษาอาการต่างๆ บางทีคำแนะนำการใช้ยาจากกระทรวงสาธารณสุขต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการใช้ขมิ้นชันเป็นยารักษามากขึ้น
- ใช้รักษาแมลงกัดต่อย: ใช้ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันหมู 2-3 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ แล้วคนให้เข้ากันจนน้ำมันกลายเป็นสีเหลือง หลังจากนั้นให้ใช้น้ำมันที่ได้ทาลงที่แผล หรืออีกวิธีคือ นำเหง้าขมิ้นชันสดมาตำจนละเอียด แล้วผสมน้ำสารส้ม หรือดินประสิวเพื่อพอกบริเวณแผลก่อน จากนั้นนำเหง้าชิ้นชันสดที่ตำแล้วมาคั้นน้ำใส่แผล
- ใช้รักษาโรคกลากเกลื้อน: ผสมผงขมิ้นกับน้ำ จากนั้นทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน 2 ครั้งต่อวัน
- ใช้รักษาอาการท้องเสีย: นำผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยพอให้ผงยาจับเป็นก้อนได้ จากนั้นปั้นเป็นยาลูกกลอนแล้วรับประทานเวลาหลังอาหาร และก่อนนอน ครั้งละ 3-5 เม็ด หรือรับประทานให้ร่างกายได้ปริมาณผงขมิ้นชัน 1 กรัมต่อวัน
กินขมิ้นชันทุกวัน อันตรายไหม ?
โดยปกติแล้ว ขมิ้นชันถือเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง มักไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เสียหายมากนัก สามารถทานได้ทุกวันในปริมาณที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ป่วยหรือผู้ใช้ขมิ้นชันบางรายที่เกิดอาการข้างเคียงเช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ เวียนหัว ท้องเสีย บางคนกังวลว่าจะมีปริมาณวิตามินสะสมมากเกินไปหรือกังวลว่าอาจตัวเหลืองได้
ดังนั้น ทางที่ดี คุณจึงใช้ขมิ้นชันตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรืออาจปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาหรือใช้ขมิ้นชันรักษาโรค
ไม่แนะนำให้คุณรับประทานขมิ้นชันเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ ควรเว้นช่วงให้ร่างกายขับสารตกค้างออกจากตับบ้าง
ปริมาณขมิ้นชันที่ควรทานต่อวัน
ไม่มีข้อบังคับที่ชัดเจน ผลการศึกษาแบ่งออกเป็นหลายตัวเลข ในหลายงานวิจัยแนะนำให้ทานประมาณ 500-2,000 mg ต่อวัน
ในขณะที่บางงานวิจัยระบุว่า ไม่ควรเกิน 8 กรัม (8000 mg) ต่อวัน
อย่างไรก็ตาม หลายแหล่งข้อมูลแนะนำให้เลือกทานขั้นต่ำที่ 500-1000 mg ต่อวัน แล้วค่อยปรับเพิ่มตามความเหมาะสม จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ข้อควรระวังในการทานขมิ้นชัน
ข้อควรระวังในการใช้ขมิ้นชันสำหรับผู้ที่มีกลุ่มอาการเจ็บป่วย หรือกำลังใช้ยาดังต่อไปนี้ หากต้องการทานควรปรึกษาแพทย์ก่อน
- ผู้ป่วยโรคท่อน้ำดีอุดตัน
- ผู้ที่แพ้หรือไวต่อการบริโภคขมิ้นชัน
- ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี
- หญิงตั้งครรภ์
- การใช้ขมิ้นชันร่วมกับสารป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือด และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด
- การใช้ขมิ้นชันร่วมกับยาที่ผ่านกระบวนการเมตาบอลิซึมโดยโปรตีนไซโทโครม พี 450 (Cytochrome P450) เพราะสารเคอร์คูมินในขมิ้นชันมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ในโปรตีนไซโทโครม พี 450 ได้แก่
- เอนไซต์ไซโทโครม พี 450 3 เอ 4 (Cytochrome P450 3A4: CYP2A4)
- เอนไซน์ไซโทโครม พี 450 1 เอ 2 (Cytochrome P450 1A2: CYP1A)
- การใช้ขมิ้นชันร่วมกับยารักษาโรคมะเร็งบางชนิด เพราะตัวสมุนไพรจะมีผลต้านฤทธิ์ยาดังกล่าว เช่น
- ด็อกโซรูบิซิน (Doxorubicin)
- คลอมีทีน (Chlormethine)
- ไซโคลฟอสฟาไมด์ (Cyclophosphamide)
- แคมป์โทเธซิน (Camptothecin)
สรรพคุณของสมุนไพรขมิ้นชันถือว่ามีความหลากหลายและมีคุณประโยชน์มากมายที่คุณไม่ควรพลาด บางทีการลองซื้อวิตามิน อาหารเสริม หรือลองรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ผสมขมิ้นชันดู ก็อาจเป็นความคิดที่ดีในการเสริมต้นศึกษาและลิ้มลองรสชาติที่เต็มไปด้วยประโยชน์ของสมุนไพรชนิดนี้
คุณไม่จำเป็นต้องมองหาวิตามิน อาหารพืชผัก หรือยาราคาแพงที่นำเข้าจากต่างประเทศเสมอไป ลองหันกลับมามองดูสมุนไพรดั้งเดิมของไทยดูสักครั้ง แล้วคุณจะพบว่าพืชผักของบ้านเราก็มีประโยชน์ไม่แพ้ของต่างประเทศเลย
คำถามที่พบบ่อยเรื่องขมิ้น
ขมิ้น ต่างจากขมิ้นชัน กับ ขมิ้นแกง ไหม ?
ไม่ต่างกัน เป็นชื่อเรียกตามภาคต่างๆ ชื่อสามัญเหมือนกัน คือ Turmeric
เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ
ที่มาของข้อมูล
- Webmd, TURMERIC (https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-662/turmeric/)
- Joseph Eichenseher, Learn more about Turmeric (https://www.sciencedirect.com/topics/medicine-and-dentistry/turmeric)
- สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล, ขมิ้น (http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/curcuma.html)