สรุปการรีวิว
ปิด
ปิด
- ก่อนลดน้ำหนักกับทาง Eatology ปลายเคยผ่านประสบการณ์ลดน้ำหนักมาอย่างโชกโชนเลยค่ะ ทั้งกินอาหารเสริม ออกกำลังกายเอง ดูดไขมัน เทรนออนไลน์กับเทรนเนอร์ แต่ก็ยังลดน้ำหนักไม่สำเร็จเสียที
- ในตอนแรกปลายไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องลดน้ำหนักให้ได้เยอะๆ แต่อยากให้ทาง Eatology ปรับมายเซ็ทในการลดน้ำหนักหน่อย เพราะที่ผ่านมาเราไม่สนุกกับมันเลยและมองว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่รู้จะทำไปทำไม
- ปลายติดต่อกับทางนักกำหนดอาหารของทาง Eatology ผ่านการวีดีโอคอลทาง Microsoft Team และแอปพลิเคชั่นชื่อว่า “สะกิด (Sakid)” ซึ่งจะมีภารกิจให้ทำค่ะ เช่น เดินให้ครบ 5,000 ก้าว ดื่มน้ำให้ได้ 2 ลิตรต่อวัน กินอาหารให้ได้แบบ 1-1-1
- ภาพรวมหลังจากเข้าคอร์สลดน้ำหนักออนไลน์ ปลายเริ่มปรับตัวและสนุกกับภารกิจที่ได้ทำมาตั้งแต่สัปดาห์แรกมากขึ้น เวลาจะกินอะไรก็เริ่มชินกับการใส่ผักเพิ่มลงไปในจานด้วย เป็นการลดน้ำหนักที่ไม่ฝืนตัวเองและเข้ากับไลฟ์สไตล์ของปลายจริงๆ ค่ะ
- รีวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ #HDreview ได้รับการสปอนเซอร์จากทาง HDmall.co.th และ Eatology
- ดูรายละเอียด โปรแกรมลดน้ำหนักอย่างสุขภาพดี ดูแลโดยทีมนักกำหนดอาหาร นักวิทยาศาสตร์การกีฬา และนักจิตวิทยา ออนไลน์ผ่านวิดีโอคอล ที่ Eatology
- ดูรายละเอียด คอร์สเทรนเนอร์ออนไลน์ทั้งหมดจาก Eatology บน HDmall.co.th
- สอบถามแอดมินเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจได้ที่ไลน์ @HDcoth
เลือกหัวข้อที่สนใจได้ที่นี่
- ประสบการณ์ลดน้ำหนักที่ผ่านมา
- คาดหวังว่าอยากจะน้ำหนักลงเท่าไร?
- เริ่มต้นลดน้ำหนักกับทาง Eatology
- รีวิวคอร์สลดน้ำหนักออนไลน์สัปดาห์ที่ 1
- ภารกิจลดน้ำหนักสัปดาห์อื่นๆ
- บทสรุปของคอร์สลดน้ำหนักออนไลน์
- สิ่งที่จะนำไปต่อยอดในการใช้ชีวิตประจำต่อจากนี้
- บทความที่ HDmall.co.th แนะนำ
ปัจจุบันปลายอายุ 24 ปีค่ะ ตอนนี้ทำอาชีพเป็นฟรีแลนซ์ซึ่งส่วนใหญ่ก็ทำงานที่บ้านตลอด แถมยังมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวที่เยอะถึง 81 กิโลกรัมเลย ส่งผลทำให้เราหาเสื้อผ้าใส่ยาก รู้สึกไม่มั่นใจตัวเองเวลาที่อยู่หน้ากระจก และเราก็เคยผ่านการลดน้ำหนักมาอย่างโชกโชนหลายครั้งแต่ก็ยังไม่สำเร็จค่ะ
จากประสบการณ์ลดน้ำหนักที่ไม่ประสบความสำเร็จที่ผ่านมา เรามองหาวิธีลดน้ำหนักแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะจากที่ลองมาหลายแบบก็ค่อนข้างสับสน เพราะถึงแม้ว่าใจเราจะอยากลดน้ำหนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
จนได้มารู้จักกับ Eatology ค่ะ เค้ามีคอร์สลดน้ำหนักออนไลน์หลายโปรแกรมให้เลือกเลย ซึ่งจากข้อมูลที่ศึกษามา ปลายรู้สึกว่าที่นี่ดูเป็นการลดน้ำหนักที่มีผู้เชี่ยวชาญดูแลจริงๆ และครอบคลุมทุกด้านไม่ใช่แค่ด้านการกินหรือออกกำลังกายอย่างเดียวค่ะ
ทำให้ปลายตัดสินใจหันมาตั้งใจลดน้ำหนักอีกครั้ง โดยเข้าคอร์สในโปรแกรมลดน้ำหนักกับนักกำหนดอาหาร นักวิทยาศาสตร์การกีฬา และนักจิตวิทยาค่ะ ซึ่งจะเป็นการเทรนผ่านคอร์สลดน้ำหนักทางออนไลน์ค่ะ
จากที่ได้ปรึกษาและพูดคุยออนไลน์กับทางทีมงานของ Eatology ก็เข้าใจว่าตัวโปรแกรมนี้คล้ายๆ กับการเทรนออกกำลังกายแบบออนไลน์อย่างที่กำลังนิยมกันอยู่ในตอนนี้ ซึ่งก็เหมาะกับสถานการณ์โควิดด้วยค่ะ และยังช่วยประหยัดเงินไม่ต้องไปเข้าฟิตเนสก็ลดน้ำหนักได้เหมือนกัน
และที่สำคัญเลยก็คือ โปรแกรมลดน้ำหนักออนไลน์จาก Eatology มีโปรโมชั่นส่วนลดอยู่กับ HDmall.co.th ด้วยค่ะ
ประสบการณ์ลดน้ำหนักที่ผ่านมา
ก่อนจะไปเจาะลึกการลดน้ำหนักกับทาง Eatology ปลายขอเล่าเท้าความประวัติการลดน้ำหนักให้ฟังก่อนนะคะ โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนเด็ก เราเป็นคนผอมค่ะ แต่เป็นคนที่กินอะไรแล้วอ้วนง่าย พอหยุดกินก็กลับไปผอมเหมือนเดิม
พอขึ้นชั้นมัธยมเราก็เห็นว่าเพื่อนบางคนเค้าสวย หุ่นดี เราก็อยากหุ่นดีบ้าง เลยลองกินอาหารเสริมลดน้ำหนักดู ลองไปหลายสูตรสารพัดเลย สูตรแบบถ่ายหนักเป็นไขมันก็เคยลองมาแล้ว
แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้คือ ร่างกายเราอ่อนเพลียมากๆ ไม่สดชื่นเหมือนแต่ก่อน คล้ายกับว่าร่างกายอิดโรยจากการขาดสารอาหาร และกลายเป็นแย่กว่าเดิม ทำให้สุดท้ายก็เลิกกินอาหารเสริมเหล่านั้นไป เพราะราคาก็แพงมากๆ ด้วยค่ะ
จากนั้นก็มาลองออกกำลังกายเพื่อให้หุ่นเฟิร์มแทน แต่ก็ทำๆ หยุดๆ ไม่ได้จริงจังกับมันเท่าไหร่ พอผอมลงก็หยุดทำ พอน้ำหนักขึ้นก็กลับไปออกกำลังกายใหม่ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าเราไม่ได้มีความสุขกับการออกกำลังกาย เราเมื่อยตัว แถมเหนื่อยง่าย สุดท้ายก็เลิกออกกำลังกายไปค่ะ
จนเข้าสู่วัยมหาลัย ปลายก็หนักประมาณ 53 กิโลกรัม เรียกได้ว่าผอมที่สุดในชีวิตเลย แต่เพราะการเรียนที่หนักมากๆ ก็เลยป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เริ่มเก็บตัว กินตอนดึก และกินเยอะขึ้น แถมในช่วงนั้นเรามีแฟนก็เลยพากันกินแต่ของอร่อยๆ จนสุดท้ายก็กลับมาอ้วนอีกครั้ง
ปลายก็เลยกลับเข้าสู่วงการอาหารเสริมอีกครั้ง แล้วก็ออกกำลังกายบ้าง น้ำหนักตัวก็เลยลดลงมา แต่สุดท้ายก็กลับไปกินเยอะจนอ้วนขึ้นอีก เป็นวงจรแบบนี้ไม่สิ้นสุดเสียที ในตอนนั้นแฟนเราก็ไม่ได้กดดันว่าต้องลดน้ำหนัก ก็เลยน้ำหนักขึ้นปีละเกือบ 10 กิโลฯ เลยค่ะ
หลังจากนั้นน้ำหนักตัวก็วนๆ อยู่ที่ 70-80 กิโลกรัมเรื่อยๆ แล้วปลายก็เข้าสู่วงการศัลยกรรมจนได้ค่ะ ซึ่งก็คือการดูดไขมัน บอกเลยว่าราคาแพงมากๆ แต่พอทำเสร็จแล้วไม่เห็นผลลัพธ์อะไรที่เปลี่ยนไปเลย ทำให้รู้สึกผิดหวังกับการลดน้ำหนักอีกแล้ว
พอการดูดไขมันไม่ได้ผลก็เลยหันไปพึ่งเทรนเนอร์ออนไลน์อย่างที่หลายคนทำกัน แต่ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี ทำให้สภาพจิตใจของเราแย่ลงกว่าเดิมอีก เพราะตอนที่เห็นโฆษณาของเทรนเนอร์คนนี้เค้าบอกว่าเป็นการเทรนที่ไม่เครียด ไม่ต้องออกกำลังกาย กินอะไรก็ได้ ทำให้ตอนนั้นคิดว่ามันตอบโจทย์สิ่งที่เราต้องการพอดี
แต่พอได้ลองเข้าคอร์สเทรนออนไลน์กับเค้า เรากลับรู้สึกเครียดมากๆ ความสุขจากการกินหายไปหมดเลย ปลายถูกสั่งให้ตื่นเช้ามาออกกำลังกายทุกวันทั้งๆ ที่เราต้องเข้าเรียนออนไลน์ และเราไม่ใช่คนเข้านอนเร็ว ก็เลยรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าเดิม
กลายเป็นว่าการเข้าคอร์สลดน้ำหนักออนไลน์ไม่เห็นผลเลยค่ะ เพราะนอกจากจะเครียด ยังไม่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเราอีกต่างหาก และเทรนเนอร์ก็ไม่เคยถามเรื่องความรู้สึก ความต้องการ หรือดูแลสภาพจิตใจของเราเลย แค่เอาแผนการลดน้ำหนักมาให้เฉยๆ เท่านั้นเองค่ะ
แต่ในครั้งนี้ที่ปลายมั่นใจกับการดูแลของ Eatology ก็เพราะว่า นอกจากนักกำหนดอาหาร นักวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่นี่ยังมีนักจิตวิทยาคอยให้คำปรึกษาและดูแลเราตลอดคอร์สเลยค่ะ ปลายเลยรู้สึกว่าเค้าใส่ใจในการดูแลผู้รับบริการทุกคนจริงๆ ต่างจากคอร์สอื่นๆ ที่รู้จักเลย
คาดหวังว่าอยากจะน้ำหนักลงเท่าไร?
ส่วนตัวแล้วปลายไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องลดน้ำหนักให้ได้เยอะๆ นะ ขอแค่ประมาณ 5 กิโลกรัมก็ได้ ให้น้ำหนักตัวจาก 80 ลงไปประมาณ 75 ถือเป็นตัวเลขที่โอเคมากๆ เลยค่ะ
อีกอย่างที่ปลายคาดหวังมากๆ จากทาง Eatology ก็คือ อยากให้เค้าช่วยปรับทัศนคติในการลดน้ำหนัก เพราะตอนนี้เราไม่สนุกกับมันเลย และมองว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่รู้จะทำไปทำไม อยากให้เค้าช่วยปรับความคิดให้เราเห็นว่า การลดน้ำหนักมันทำไปเพื่ออะไร แล้วทำไมเราถึงควรที่จะทำมัน
นอกจากนี้ยังอยากได้แผนการลดน้ำหนักที่เหมาะกับตัวเราจริงๆ ค่ะ ไม่ใช่การลดน้ำหนักแบบฝืนชีวิตจนทำให้อายรู้สึกแย่กับตัวเองมากกว่าเดิม 555+
ปลายอยากได้คนที่จะมาช่วยแพลนตารางการออกกำลังกายแบบที่เราโอเคและอยากทำ อย่างเช่นท่ากระโดดหรือที่ใช้เข่าเนี่ยอยากจะขอเลี่ยงเลย เพราะรู้สึกว่ามันจะทำเข่าเราเจ็บได้ในอนาคต
เริ่มต้นลดน้ำหนักกับทาง Eatology
หลังจากที่ปลายจองคิวทำนัดผ่าน เว็บไซต์ HDmall.co.th เสร็จ แอดมินก็ส่งลิงก์เข้ากลุ่มสำหรับพูดคุยกับทีมงานของ Eatology เพื่อให้เราพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการก่อนจะเริ่มลดน้ำหนักออนไลน์ค่ะ
จากนั้นเราก็ได้ติดต่อกับทางนักกำหนดอาหารซึ่งเป็นทั้งเทรนเนอร์ที่ดูแลด้านอาหาร และการออกกำลังกายผ่านการวิดีโอคอลทาง Microsoft Team ค่ะ
และทาง Eatology ก็จะให้ปลายติดตั้งแอปพลิเคชั่นชื่อว่า “สะกิด (Sakid)” เพื่อใช้ในการแชทคุยเพิ่มเติมกับทาง Eatology ได้และทาง Eatology ก็จะกำหนดภารกิจให้เราทำผ่านทางแอปฯ นี้ด้วยค่ะ
แอปฯ สะกิดมีหลายฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากๆ ค่ะ ทั้งบทความด้านสุขภาพ ระบบแชทกับทีมงาน ระบบแจ้งเตือนให้ทำภารกิจ โดยเมื่อติดตั้งแอปแล้ว ทาง Eatology ก็ให้เข้าไปปลูกต้นไม้ในแอปฯ 1 ต้นค่ะ
ชนิดต้นไม้ก็สามารถเลือกได้หลายแบบเลย โดยปลายเลือกปลูกเป็นต้นกระบองเพชร และถ้าขยันทำภารกิจที่ทาง Eatology มอบหมายให้สำเร็จมากขึ้นเท่าไร น้องต้นกระบองเพชรก็จะยิ่งโตมากขึ้นเท่านั้นค่ะ
นอกจากการทำภารกิจคนเดียว เรายังสามารถเชิญชวนให้เพื่อนๆ หรือคนรู้จักมาร่วมทำภารกิจร่วมกันเพื่อปลูกต้นไม้ได้ด้วยนะคะ โดยในตอนนี้ SAKID Application เปิดให้ใช้ในสำหรับงานครอบครัว และคนในองค์กรก่อน
รีวิวคอร์สลดน้ำหนักออนไลน์สัปดาห์ที่ 1
ภารกิจที่ทาง Eatology ให้ปลายทำในสัปดาห์ที่ 1 ของการลดน้ำหนักจะมีทั้งหมด 4 ข้อใหญ่ๆ ค่ะ
1. เดินให้ได้ 5,000 ก้าว
การเดิน 5,000 ก้าวไม่จำเป็นต้องเดินสำหรับออกกำลังกายหรือบนลู่วิ่งเท่านั้นนะคะ ทาง Eatology บอกว่าแค่เดินไปเดินมาในห้องก็ถือว่านับแล้วค่ะ ขอให้เดินให้ครบก็พอ ซึ่งก่อนลดน้ำหนัก ด้วยความที่ Work From Home ปลายเดินวันนึงไม่ถึงร้อยก้าวด้วยซ้ำ
แต่พอได้รับภารกิจ ปลายก็เริ่มลุยเดินให้ครบตามเป้าหมายให้ได้ค่ะ โดยช่วงแรกก็ไปเดินตามสวนสาธารณะก่อน แต่หลังๆ พอเริ่มเบื่อก็มีเปลี่ยนไปเดินห้าง ไปซื้อของช็อปปิ้งบ้าง จะได้ไม่จดจ่ออยู่กับการเดินมากเกินไปค่ะ ซึ่งก็ทำได้ครบ 5,000 ก้าวเกือบทุกวันนะ บางวันเกินด้วยซ้ำ
ในระหว่างนี้ทาง Eatology ก็จะแนะนำเพิ่มเติมว่าทำยังไงให้ได้ครบ 5,000 ก้าวอีกบ้าง ทางเทรนเนอร์ก็มีแนะนำว่าลองแบ่งช่วงเวลาเดินเป็น 4 ช่วง ช่วงละ 15 นาทีก็ได้ แค่นี้วันนึงเราก็จะได้ครบ 5,000 ก้าวอย่างที่วางแผนกันไว้แล้วค่ะ
2. ดื่มน้ำให้ครบ 2 ลิตร
ก่อนเริ่มลดน้ำหนัก ปลายเป็นคนที่กินน้ำน้อยมากๆ เพราะไม่อยากลุกเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ค่ะ วันนึงกินไม่ถึงขวดเล็กด้วยซ้ำ จนเมื่อได้รับภารกิจนี้กับเทรนเนอร์ เราก็ไปซื้อขวดน้ำใหญ่ๆ แบบ 3 ลิตรมาวางบนโต๊ะทำงาน เพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองกินน้ำครบตามที่กำหนดกับทาง Eatology หรือยัง ซึ่งมันทำให้ทำภารกิจนี้ง่ายขึ้นนะ ไม่ต้องมานั่งเดาว่า เอ๊ะ? ฉันกินน้ำครบรึยังนะ เราก็วัดจากขวดน้ำเป็นหลักเลย
ผลลัพธ์จากการกินน้ำเยอะๆ ทำให้เรากินขนมกรุบกรอบน้อยลงไปเยอะเลย เพราะอิ่มน้ำแทน 555+ นอกจากช่วยให้ลดขนมได้ เรายังแต่งหน้าติดง่ายขึ้นด้วย ผิวใสขึ้น ตาใสขึ้น ปากก็ชุ่มชื้นขึ้นเยอะ ตอนแรกทาลิปทีปากจะเห็นเป็นขุยๆ ริ้วๆ เยอะมาก แต่พอกินน้ำเยอะๆ ไประยะหนึ่ง ผิวก็ดูดีขึ้นเลย
3. นอนให้ได้ 6 ชั่วโมง
อันนี้ยากสำหรับเราเหมือนกัน เพราะปกติปลายนอนแค่วันละ 2-3 ชั่วโมงเอง เป็นการนอนที่น้อยมากๆ เทรนเนอร์ของทาง Eatology เลยให้ปรับความคิดใหม่ จากที่คิดว่าต้องนอนตั้ง 6 ชั่วโมง เป็นการนอนเพิ่มขึ้นอีกแค่ 3 ชั่วโมงเอง แค่นี้สุขภาพก็ดีขึ้นแล้ว
เทรนเนอร์ยังอธิบายให้เข้าใจมากขึ้นด้วยว่า การนอนให้พอมันจะทำให้โกรทฮอร์โมนในร่างกายหลั่งเพียงพอ สุขภาพก็จะดีขึ้น และการนอนน้อยมันจะยิ่งทำให้เราหิวบ่อยได้จนเกิดพฤติกรรมกินจุกจิก ที่สำคัญยิ่งนอนน้อยเราจะยิ่งเพลียในช่วงกลางวัน อยากให้เราลองนอนให้พอให้ได้ดูก่อน แล้วมาดูการเปลี่ยนแปลงกัน
หลังจากนอนให้ได้เพียงพอตามที่เทรนเนอร์แนะนำ ปลายก็ได้ค้นพบว่า นอกจากจะทำให้ไม่หิวตอนกลางคืนแล้ว พี่ที่ออฟฟิศก็ชมว่าเราทำงานดีขึ้น มันเหมือนสมองเราได้พักผ่อนพอจนกลับมาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กลายเป็นว่าเรามีเวลาทำงานน้อยลง แต่คุณภาพงานกลับดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ เทียบกับเมื่อก่อนที่เรานอนน้อยๆ เวลาทำงานเยอะกว่าตอนนี้อีก แต่เนื้องานไม่ได้ดีเท่ากับในตอนนี้ที่เรานอนวันละ 6 ชั่วโมงเลยค่ะ
4. จดจ่อกับการกินมากขึ้น งดการกินอาหารบนโต๊ะทำงาน
ภารกิจสุดท้าย ทาง Eatology ขอให้เรางดการกินอาหารบนโต๊ะทำงานค่ะ ซึ่งส่วนตัวเราชอบต้มมาม่าหรือเอาขนมมากินหน้าคอมฯ อยู่บ่อยๆ พอต้องทำภารกิจนี้ก็เลยต้องย้ายไปกินอาหารบนโต๊ะกินข้าวจริงๆ แทน และต้องงดการกินไปดูซีรี่ย์ไป หรือกินไปทำงานไปด้วยหมดเลย
ตอนแรกๆ ที่ทำมันก็ยากอยู่นะคะ แต่ผลลัพธ์จากการกินแบบนี้มันทำให้รู้ว่า เรากินอาหารแค่นี้ ในจานเท่านี้เราก็อิ่มและพอได้นี่นา ไม่ใช่หาอะไรมาเติมมากินอยู่เรื่อยๆ มันทำให้ได้โฟกัสกับการกินอาหารต่อมื้อมากขึ้น และลดพฤติกรรมกินจุกจิกลงไปได้เยอะเลย
พอนึกย้อนไปก็อึ้งเหมือนกัน เพราะพอกินอาหารหน้าคอมฯ บางวันกินขนมไปตั้ง 4 ห่อแหนะ แต่พอได้มาทำภารกิจนี้ ปลายไม่ได้แตะขนมห่อๆ เลย เป็นภารกิจที่ดีมากๆ เลยค่ะ
ภารกิจลดน้ำหนักสัปดาห์อื่นๆ
ในสัปดาห์ที่ 2 ปลายก็ได้ภารกิจเพิ่มเติมมากขึ้นคือ การกินแบบ 1-1-1 หมายถึง กินเนื้อสัตว์ 1 ส่วนต่อแป้ง 1 ส่วน และต่อผัก 1 ส่วนในปริมาณที่เท่ากันให้ได้อย่างสม่ำเสมอค่ะ
อาหารที่กินไม่ได้จำกัดว่าต้องทำเองเสมอไปนะคะ สามารถทำเองหรือซื้อก็ได้ แต่เราก็ทำอาหารกินเองซะส่วนใหญ่ ถ้าวันไหนไม่ว่างก็จะเข้าเซเว่นบ้าง เพราะเค้ามีอาหารเพื่อสุขภาพที่แบ่งอาหารแต่ละประเภทเป็นแบบช่องๆ วางขายเหมือนกัน
ส่วนช่วงเวลาที่กิน เทรนเนอร์ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องกินตอนไหน เราสามารถกินได้อิสระตามที่สะดวก แต่ส่วนใหญ่ก็จะเริ่มกินมื้อแรกช่วงประมาณเที่ยงๆ และมื้อสุดท้ายก่อนเข้านอนประมาณ 4 ชั่วโมงเพื่อป้องกันโรคกรดไหลย้อนค่ะ
ที่สำคัญคือในทุกๆ มื้อที่กินข้าว เราจะต้องส่งการบ้านไปให้พี่เทรนเนอร์ดู แล้วเค้าก็จะช่วยให้คำแนะนำว่าเราควรปรับตารางการกินเพิ่มเติมยังไงบ้าง แต่โดยรวมแล้วแทบไม่ต้องปรับอะไรเยอะเลย เรียกง่ายๆ คือ วิถีการกินที่ปรับให้ตัวเองถือว่าโอเคจนไม่ต้องปรับแก้เพิ่มเลยค่ะ
ถัดมาในสัปดาห์ที่ 3 เป็นช่วงที่มีประจำเดือนค่ะ มันเลยทำให้แผนการเริ่มออกกำลังกายที่แพลนไว้กับเทรนเนอร์ต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะเราปวดท้องเมนส์มาก ทำอะไรที่ต้องออกแรงหนักๆ ไม่ไหว
นอกจากอาการปวดท้อง เรายังมีอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายขึ้นจากฮอร์โมนที่แปรปรวนค่ะ ผลกระทบที่ตามมาคือ มันทำให้ไม่อยากกินอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว แล้วก็อยากจะกินของมัน ของทอด ของหวานอย่างเดียว ก็เลยปรึกษาเทรนเนอร์ เค้าก็แนะนำให้ทำ Cheat Day ดีกว่า จะได้ลดความเครียดลงหน่อย
ปลายก็เลยได้กินเค้ก 1 ชิ้น ส่วนอาหารอื่นๆ ถ้าอยากกินที่มีรสหวานบ้าง ก็ให้เลือกกินอาหารที่ปรุงรสชาติจากหญ้าหวานเอา เพราะแคลอรีมันจะต่ำถึงแม้จะมีรสชาติหวานอยู่ก็ตาม พอได้กินอาหารรสหวานให้ตัวเอง สุขภาพจิตก็ดีขึ้นมาทันทีเลยค่ะ 555+
และในสัปดาห์ที่ 4 เราก็ไม่ได้มีภารกิจอะไรเพิ่มเติมแล้วค่ะ เราเริ่มปรับตัวและสนุกกับภารกิจที่ได้ทำมาตั้งแต่สัปดาห์แรกมากขึ้นเลยได้ลองหากิจกรรมออกกำลังกายเพิ่มด้วยการว่ายน้ำ
สภาพจิตใจตอนที่อยู่ในโค้งสุดท้ายของคอร์ส เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปหลายอย่างเลย เราสนุกกับการได้ออกไปเดิน ไปเวิร์กเอาท์ซึ่งไม่เคยอยากทำมาก่อนขนาดนี้ เวลาจะกินอะไรก็เริ่มชินกับการใส่ผักเพิ่มลงไปในจานด้วย หรือต่อให้ลืม บางทีก็จะมีเสียงเทรนเนอร์ดังขึ้นมาในหัวว่าอย่าหลุดโฟกัสด้วยค่ะ 555+
บทสรุปของคอร์สลดน้ำหนักออนไลน์
หลังจากทำภารกิจลดน้ำหนักร่วมกับ Eatology ไปทั้งหมด 4 สัปดาห์ น้ำหนักลงไป 3 กิโลกรัมค่ะ โดยลดจาก 81 กิโลกรัมลงมาอยู่ที่ประมาณ 78 กิโลกรัม ถือเป็นการปิดฉากคอร์สลดน้ำหนักออนไลน์ที่สวยงามและพึงพอใจมากๆ ค่ะ
เพราะอย่างที่เล่าไปว่า ปลายไม่ได้ฝืนตัวเองในการลดน้ำหนักครั้งนี้เลย มันแค่เป็นการเพิ่มนิด ลดหน่อย เสริมๆ บางอย่างเข้าไปในไลฟ์สไตล์ปกติของเราเท่านั้นเอง ถือเป็นการลดน้ำหนักที่เกิดมาจากความสมัครใจและความสนุกจากตัวเราจริงๆ
สิ่งที่จะนำไปต่อยอดในการใช้ชีวิตประจำต่อจากนี้
ปลายคิดไว้ว่า จะนำแนวทางการออกกำลังกายที่เทรนเนอร์แนะนำจากคอร์สลดน้ำหนักออนไลน์นี้ไปต่อยอดในชีวิตประจำวันต่อไปค่ะ เพราะเรายังอยากจะรู้สึกสนุกกับการเวิร์กเอาท์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อยู่
เรื่องอาหารก็เช่นกัน เราจะพยายามเลือกเติมอาหารที่มีประโยชน์ลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อของตัวเองให้ได้ทุกวัน จะกินน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายทุกวันด้วย เพราะเราได้เห็นแล้วว่า ข้อดีของการดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอมันไม่ได้มีดีแค่ลดน้ำหนัก แต่มันทำให้ผิวพรรณเราดูดีขึ้นอีกด้วยค่ะ
โดยเฉพาะเรื่องการนอนที่มันเห็นผลได้ชัดจากเนื้องานที่ปลายทำแบบนี้ ก็เลยจะพยายามนอนให้ได้อย่างน้อย 6 ชั่วโมงทุกคืนเลยค่ะ
และนี่ก็คือผลลัพธ์จากการเข้าคอร์สลดน้ำหนักออนไลน์กับทาง Eatology ที่นอกจากจะช่วยดูแลเรื่องการกิน การออกกำลังกาย และยังช่วยปรับทัศนคติให้กับเราในเรื่องการลดน้ำหนักด้วยค่ะ
ใครที่อยากมีเทรนเนอร์คอยดูแลและคอยช่วยให้คำแนะนำแบบปลาย ก็เข้ามาดูโปรโมชั่นและราคาคอร์สออนไลน์ต่างๆ ของ Eatology ได้บนเว็บไซต์ HDmall.co.th เลยนะคะ เพราะที่นี่เค้ารวบรวมครบทุกโปรแกรมของ Eatology เอาไว้หมดเลยค่ะ