สรุปการรีวิว
ปิด
ปิด
- การฟอกสีฟัน คือ กระบวนการทำให้ฟันขาวขึ้นโดยใช้สารฟอกสีฟัน เมื่อสารดังกล่าวแทรกซึมเข้าไปในชั้นเนื้อฟันแล้วจะทำให้ฟันดูขาวขึ้น
- การฟอกสีฟันแบบ Cool Light เป็นการฟอกสีฟันที่ใช้แสง LED ที่มีความเข้มข้นและอุณหภูมิต่ำ จึงทำให้หลังทำเกิดอาการเสียวฟันได้น้อย
- การฟอกสีฟันแต่ละครั้งจะใช้ระยะเวลาทำประมาณ 45-60 นาที ส่วนจำนวนครั้งในการฉายแสงฟอกสีฟันจะแตกต่างกันไปตามปัญหาของแต่ละบุคคล
- ผลลัพธ์หลังฟอกสีฟันแบบ Cool Light จะอยู่คงที่ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี
- บทความนี้ได้รับการสปอนเซอร์จาก NP International Dental Clinic แพทย์ผู้ให้ข้อมูลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโฆษณาหรือการซื้อขายแพ็กเกจ #HDinsight
- ดูรายละเอียด ราคาฟอกสีฟันแบบ Cool Light ที่ NP International Dental Clinic
- ดูโปรแกรมทั้งหมดจาก NP International Dental Clinic
- สอบถามแอดมินเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจได้ที่ไลน์ @HDcoth
การฟอกสีฟัน หรือการฟอกฟันขาว นับเป็นอีกหนึ่งหัตถการทางด้านทันตกรรมที่หลายๆ คนคงคุ้นหูกันดี เพราะนอกจากจะเกี่ยวข้องกับสุขภาพฟันแล้ว ยังเกี่ยวโยงกับด้านความงามอีกด้วย
ปัจจุบันการฟอกสีฟันมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการฟอกสีฟันแบบ Cool Light ซึ่งมีผลข้างเคียงหลังทำน้อย ใช้เวลาไม่นาน ที่สำคัญสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ทันที
แล้วการฟอกสีฟันแบบ Cool Light คืออะไร? ช่วยให้ฟันขาวขึ้นจริงไหม? HDmall.co.th ร่วมกับ NP International Dental Clinic จะมาให้คำตอบ พร้อมคลายข้อสงสัยไปพร้อมๆ กัน
เลือกหัวข้อที่สนใจได้ที่นี่
ฟอกสีฟันคืออะไร? มีกี่ประเภท?
การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening) คือ กระบวนการทำให้ฟันขาวขึ้นโดยใช้สารฟอกสีฟันที่ประกอบไปด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (HydrogenPeroxide) หรือ คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ (Carbamide Peroxide) ลงไปที่ผิวฟัน
เมื่อสารดังกล่าวแทรกซึมเข้าไปในชั้นเนื้อฟันแล้ว จะปล่อยออกซิเจนออกมา โดยออกซิเจนนี้จะเข้าไปทำลายเม็ดสีที่ทำให้เกิดสีเหลืองหรือน้ำตาลบนฟัน ทำให้ฟันดูขาวขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว การฟอกสีฟันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1. การฟอกสีฟันที่คลินิก
การฟอกสีฟันที่คลินิก คือ การฟอกสีฟันที่ทำโดยทันตแพทย์ ด้วยการใช้แสง LED Light มากระตุ้นการทำงานของสารฟอกสีฟัน ทำให้สารฟอกสีฟันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยโปรแกรมฟอกสีฟันที่นิยมตามคลินิกทันตกรรม ได้แก่ การฟอกสีฟันแบบ Cool Light และ การฟอกสีฟันระบบ Zoom
ถึงแม้การฟอกสีฟันทั้งสองรูปแบบจะใช้แสง LED มากระตุ้นการทำงานของสารฟอกสีฟันเหมือนกันทั้งคู่ แต่ก็มีลักษณะการทำงานบางอย่างที่แตกต่างกันอยู่ดังนี้
- การฟอกสีฟันแบบ Cool Light เป็นการฟอกสีฟันที่ใช้แสง LED ที่มีความเข้มข้นและอุณหภูมิต่ำ หรือที่เรียกว่า Cool Light ฉายลงไปบนฟันที่ทาเจลฟอกสีฟัน ด้วยความที่ความเข้มข้นและอุณหภูมิของแสงไม่สูงมากนัก จึงทำให้หลังทำเกิดอาการเสียวฟันได้น้อย
- การฟอกสีฟันระบบ Zoom เป็นการฟอกสีฟันที่ใช้แสง LED ที่มีความเข้มข้นและอุณหภูมิสูงทำให้มีฤทธิ์ในการฟอกสีฟันที่ดีขึ้น ฟันจึงขาวได้อย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากการฟอกสีฟันระบบ Zoom มีความเข้มข้นมาก จึงอาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันหลังทำได้
ปัจจุบันการฟอกสีฟันแบบ Cool Light เป็นวิธีการฟอกสีฟันที่ได้รับความนิยมมาก เพราะเป็นวิธีที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูง เห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังมีผลข้างเคียงหลังทำน้อยด้วย
2. การฟอกสีฟันเองที่บ้าน
การฟอกสีฟันเองที่บ้าน จะเป็นการฟอกสีฟันที่คนไข้สามารถทำได้ด้วยตนเอง โดยใช้ชุดเครื่องมือฟอกสีฟันที่ทันตแพทย์จัดเตรียมไว้ให้ โดยส่วนใหญ่แล้วจะประกอบไปด้วย ถาดฟอกสีเฉพาะบุคคล (Tray) กระบอกฉีดยา (Syringe) สำหรับฉีดน้ำยาฟอกสีฟัน และน้ำยาฟอกสีฟัน
และเนื่องจากน้ำยาในผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันที่บ้านส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือ คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ อยู่เพียง 3% ทำให้การฟอกสีฟันเองที่บ้านอาจไม่ได้ประสิทธิภาพเท่ากับการรับบริการที่คลินิก และต้องใช้เวลานานจึงจะเห็นผล
การฟอกสีฟันแบบ Cool Light เหมาะกับใคร?
การฟอกสีฟันแบบ Cool Light เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป แต่อาจเหมาะสำหรับบุคคลเหล่านี้เป็นพิเศษ ได้แก่
- ผู้ที่ต้องการฟอกสีฟันให้ขาวขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว
- ผู้ที่รู้สึกไม่มั่นใจในสีฟันเดิม และอยากให้ฟันขาวขึ้น
- ผู้ที่ฟันหมองคล้ำหรือเหลืองจากการกินยาบางชนิด และอยากปรับให้สีฟันกลับมาดูขาวขึ้นอีกครั้ง
- ผู้ที่ต้องใช้รอยยิ้มเพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพในการประกอบอาชีพ เช่น ดารา นักแสดง พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
การฟอกสีฟันแบบ Cool Light ไม่เหมาะกับใคร?
ถึงแม้การฟอกสีฟันจะเหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป แต่ในบางกรณีอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ โดยผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงการฟอกสีฟันแบบ Cool Light และควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ
- หญิงตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการฟอกสีฟัน เพราะอาจมีการแพ้น้ำยาฟอกสีฟันจนเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
- ผู้ที่ประวัติแพ้สารฟอกสีฟัน
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปี เนื่องจากโพรงประสาทยังมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ทำให้การฟอกฟันมีการระคายเคืองและรบกวนการทำงานของโพรงประสาทได้
ก่อนฟอกสีฟันต้องขูดหินปูนก่อนไหม?
ก่อนฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะแนะนำให้ขูดหินปูนก่อน เนื่องจากคราบหินปูน รวมถึงสิ่งสกปรกต่างๆ อาจเป็นตัวการขัดขวางไม่ให้น้ำยาฟอกสีฟันเข้าถึงเนื้อฟันได้อย่างเต็มที่ ทำให้สีฟันไม่สม่ำเสมอ ประสิทธิภาพในการฟอกสีฟันลดลง
นอกจากนี้คราบหินปูนยังเพิ่มโอกาสที่ทำให้เกิดอาการเสียวฟันหลังรับบริการได้มากขึ้นอีกด้วย
หากมีปัญหาสุขภาพฟันหรือกำลังรับบริการทางทันตกรรมอยู่ สามารถฟอกสีฟันได้หรือไม่?
การฟอกสีฟันนอกจากจะรบกวนผิวฟันแล้วยังอาจรบกวนไปถึงโพรงประสาทด้วย ด้วยเหตุนี้ บางปัญหาสุขภาพฟันหรือผู้ที่กำลังรับบริการทางทันตกรรมบางอย่างอยู่จึงไม่เหมาะกับการฟอกสีฟัน โดยอาจดูเป็นกรณีๆ ไป ดังนี้
- เสียวฟัน ผู้ที่มีอาการเสียวฟันยังสามารถฟอกสีฟันได้ แต่อาจจะต้องมีการปรึกษาทันตแพทย์และระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากสารฟอกสีฟันจะซึมผ่านเข้าไปในเนื้อฟัน ทำให้เนื้อฟันบางลงและไวต่อความรู้สึกมากขึ้น
- ฟันผุ ฟันคุด ฟันเก ในผู้ที่มีปัญหาเหล่านี้ยังสามารถฟอกสีฟันได้ แต่ทันตแพทย์มักแนะนำให้เคลียร์ช่องปากเพื่อแก้ปัญหาของสุขภาพฟันต่างๆ ก่อน เนื่องจากการฟอกสีฟันอาจทำให้เนื้อฟันถูกทำลายไป หากดูแลช่องปากผิดวิธีอาจทำให้ฟันผุลุกลามมากขึ้นได้
- เหงือกร่น ในกรณีผู้ที่กำลังมีปัญหาเรื่องโรคเหงือก เหงือกอักเสบ เหงือกร่น รวมถึงปริทันต์อื่นๆ ในทำนองเดียวกัน จะต้องรักษาให้หายก่อนจึงจะฟอกสีฟันได้ เพราะน้ำยาที่ใช้ฟอกสีฟันนั้นอาจทำให้อาการที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น
- อยู่ในระหว่างการจัดฟันแบบลวด จะมีการติดอุปกรณ์ที่บริเวณผิวหน้าฟัน ทำให้น้ำยาฟอกสีฟันไม่สามารถเข้าไปได้ทั่วถึง และทำให้เกิดปัญหาสีฟันไม่สม่ำเสมอได้
- อยู่ในระหว่างการจัดฟันใส สามารถฟอกสีฟันได้ แต่ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนฟอกสีฟัน เนื่องจากการจัดฟันใสอาจทำให้รู้สึกเสียวฟันมากขึ้น
- การทำวีเนียร์ เป็นการนำวัสดุมาครอบฟัน ในขณะที่น้ำยาฟอกสีฟันจะทำปฏิกิริยาเฉพาะกับฟันธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นผลึกและมีความพรุนเท่านั้น ทำให้ผู้ที่ครอบฟันหรือทำวีเนียร์อยู่จึงไม่สามารถฟอกสีฟันได้
- ทำรากฟันเทียม หากมีการใส่รากฟันเทียม เดือย และฟันปลอมเรียบร้อยแล้ว การฟอกสีฟันยังสามารถทำได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เหมือนฟันซี่อื่นๆ เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำรากฟันเทียมเป็นฟันปลอมอาจมีสีที่แตกต่างกันจากฟันที่ฟอกแล้ว
ระหว่างฟอกสีฟันจะรู้สึกอย่างไร?
การฟอกสีฟันแบบ Cool Light จะใช้แสงเย็น LED ในการกระตุ้นน้ำยาฟอกสีฟัน ทำให้ไม่รู้สึกแสบร้อนในช่องปาก แต่อาจทำให้รู้สึกเสียวฟันได้อยู่บ้าง เนื่องจากน้ำยาฟอกสีฟันจะแทรกซึมเข้าไปในเนื้อฟันและทำให้ฟันไวต่อความรู้สึกมากขึ้น
ฟอกสีฟันแบบ Cool Light ใช้เวลาทำกี่นาที? ต้องทำกี่ครั้ง?
การรับบริการฟอกสีฟันแต่ละครั้งจะใช้เวลาทำประมาณ 45-60 นาที หากมีฟันผุหรือมีหินปูนจะต้องทำการรักษาก่อน เพื่อให้น้ำยาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ส่วนจำนวนครั้งในการทำ ทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าต้องทำกี่ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่จะฉายแสงฟอกสีฟันประมาณ 2-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับเฉดสีฟันก่อนเข้ารับบริการ
ฟอกสีฟันแบบ Cool Light ขจัดคราบกาแฟหรือไวน์แดงได้ไหม?
ฟอกสีฟันแบบ Cool Light สามารถขจัดคราบกาแฟหรือไวน์แดงได้ แต่ประสิทธิภาพในการขจัดคราบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาในการฟอกสีฟัน ความเข้มข้นของสารฟอกสีฟัน สภาพผิวฟัน และสีฟันเดิมของผู้เข้ารับบริการ
ในผู้ที่มีปัญหาคราบกาแฟหรือไวน์แดงมาก อาจต้องเข้ารับบริการหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
คราบฟันแบบไหนที่ฟอกสีฟันแล้วไม่ช่วยให้ฟันขาวขึ้น?
ถึงแม้การฟอกสีฟันจะสามารถกำจัดคราบเหลือง คราบกาแฟ และคราบไวน์แดงได้ แต่ก็มีคราบฟันบางอย่างที่การฟอกสีฟันไม่สามารถขจัดออกไปและทำให้ฟันขาวขึ้นได้ ดังนี้
- คราบฟันที่เกิดจากยาปฏิชีวนะ เช่น ยาเตตราไซคลีน (Tetracycline) คราบฟันชนิดนี้เกิดจากยาปฏิชีวนะเข้าไปสะสมในเนื้อฟัน ทำให้ฟันมีสีเหลืองหรือน้ำตาลอมฟ้า ไม่สามารถฟอกสีฟันให้ขาวขึ้นได้
- คราบฟันที่เกิดจากโรคฟันผุ คราบฟันชนิดนี้เกิดจากฟันผุ ทำให้เนื้อฟันถูกทำลายไป ไม่สามารถฟอกสีฟันให้ขาวขึ้นได้ จะต้องทำการรักษาโดยการอุดด้วยวัสดุสีเหมือนฟันเท่านั้น
- คราบฟันที่เกิดจากโรคเหงือกอักเสบ คราบฟันชนิดนี้เกิดจากเชื้อโรคในคราบหินปูนเกาะติดอยู่ ทำให้ฟันมีสีดำหรือน้ำตาล อาจต้องรักษาด้วยการเกลารากฟันและขูดหินปูน
- คราบฟันที่เกิดจากสารเคมี เช่น สารตะกั่ว หรือสารปรอท
ผลลัพธ์หลังฟอกสีฟันแบบ Cool Light จะขาวขึ้นกี่ระดับ? อยู่ได้นานแค่ไหน?
ผลลัพธ์หลังฟอกสีฟันแบบ Cool Light ขึ้นอยู่กับสีฟันเดิมของผู้เข้ารับบริการ โดยทั่วไปแล้วสามารถปรับสีฟันให้ขาวขึ้นได้ประมาณ 3-5 ระดับ โดยสังเกตเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ หลังจากฟอกสีฟันแล้ว ผลลัพธ์จะอยู่คงที่ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี
ฟอกสีฟันแบบ Cool Light ทำได้บ่อยแค่ไหน?
ฟอกสีฟันแบบ Cool Light สามารถทำได้บ่อยครั้งตามต้องการ แต่ควรเว้นระยะแต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน เนื่องจากการฟอกสีฟันอาจทำให้เกิดอาการเสียวฟัน รวมถึงกระพุ้งแก้มและเหงือกอาจเกิดการระคายเคืองได้เมื่อได้รับน้ำยาเป็นประจำ
การดูแลตัวเองหลังฟอกสีฟันแบบ Cool Light
การดูแลตัวเองหลังฟอกสีฟันแบบ Cool Light ควรงดรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสี เช่น ชา กาแฟ ไวน์ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ซอสมะเขือเทศ น้ำพริก และแกงกะทิ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
รวมถึงควรงดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 7 วัน เพราะอาจทำให้ผลลัพธ์จากการฟอกสีฟันเสื่อมประสิทธิภาพลงได้
นอกจากนี้ก็ควรเลือกใช้ยาสีฟันสูตรลดอาการเสียวฟันประมาณ 1-2 วัน โดยปรึกษาทันตแพทย์ถึงความเหมาะสมในการเลือกใช้ก่อนเสมอ
ทำอย่างไรให้ผลลัพธ์หลังฟอกสีฟันอยู่ได้นาน
ผลลัพธ์หลังฟอกสีฟันจะอยู่ได้นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สีฟันเดิมของผู้เข้ารับบริการ พฤติกรรมการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการดูแลรักษาฟันและช่องปาก
ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลช่องปากให้ดีอย่างสม่ำเสมอ เช่น แปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน งดรับประทานอาหารที่มีสีจัด และงดการสูบบุหรี่รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์
ฟอกสีฟันแบบ Cool Light ที่ NP International Dental Clinic ดียังไง?
การฟอกสีฟันแบบ Cool Light ที่ NP International Dental Clinic ให้บริการโดยทันตแพทย์ผู้ชำนาญการและมีประสบการณ์ด้านการฟอกสีฟันโดยเฉพาะ อีกทั้งยังใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เครื่องมือและอุปกรณ์ครบครัน คลินิกสะอาด ได้มาตรฐาน
นอกจากนี้ NP International Dental Clinic ยังตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก สามารถนั่งรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีพร้อมพงษ์ ทางออก 3 แล้วเดินอีกเพียง 200 เมตร
หากสนใจแก้ปัญหาฟันเหลือง เป็นคราบ ให้กลับมาดูขาวกระจ่างใส สามารถเช็กราคาและเลือกซื้อแพ็กเกจ ฟอกสีฟันแบบ Cool Light ที่ NP International Dental Clinic ได้ในราคาพิเศษผ่านทาง HDmall.co.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ไลน์ @hdcoth