โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็ง โดยผู้ชายมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้หญิง 3-5 เท่า แต่แม้จะอันตรายและมีคนเป็นจำนวนมาก แต่โรคหลอดเลือดหัวใจก็สามารถป้องกันและลดโอกาสเสี่ยงได้จากการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
สารบัญ
หลอดเลือดหัวใจตีบคืออะไร?
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease: CAD หรือ Coronary Heart Disease) คือ การอักเสบและการเสื่อมของผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี โดยประมาณ 95% ที่หลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ มีไขมันและเนื้อเยื่อสะสมในผนังเส้นเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดหนาขึ้น และดีบตัน จนเลือดไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ นำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
หากเกิดกรณีไขมันในผนังหลอดเลือดแตกตัวเป็นลิ่มเลือด ไหลไปอุดตันหลอดเลือดหัวใจอย่างเฉียบพลัน อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เสียชีวิตกะทันหันได้ ทั้งนี้หลอดเลือดแดงโคโรนารี จะเกิดอาการตีบหรือตันได้ใน 2 ลักษณะ คือหลอดเลือดหัวใจตีบที่เกิดจากความเสื่อมของผนังหลอดเลือดโคโรนารี และหลอดเลือดหัวใจตีบที่เกิดจากตระกรันไขมันเกิดการปริแตก
หลอดเลือดหัวใจตีบอาการเป็นอย่างไร?
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาจมีดังนี้
- เจ็บปวด เสียด หรือแน่นกลางหน้าอก หรือค่อนไปด้านใดด้านหนึ่ง
- ปวดร้าวบริเวณกราม คอ ท้ายทอย ขากรรไกร หัวไหล่ หรือแขนด้านใน เมื่อมีการใช้กำลังของร่างกายแต่จะดีขึ้นหลังจากได้พัก
- รู้สึกเมื่อย และเหนื่อยง่ายขณะออกแรงมากขึ้น เช่น ออกกำลังกาย เดินขึ้นที่สูง ยกของ เป็นต้น
- คลื่นไส้ อาเจียน ตัวซีด และเหงื่อออกท่วมตัว
- ในผู้สูงอายุบางราย อาจมีอาการหอบเหนื่อย ซึม ใจสั่น และเป็นลมหมดสติ
- ความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน
- หมดสติและหัวใจหยุดเต้น
ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยอาจเหนื่อยหอบเมื่อออกแรงมากขึ้น แต่อาการมักจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อนั่งพักสักระยะ แต่หากหลอดเลือดหัวใจตีบมาก ผู้ป่วยอาจเหนื่อยหอบแม้จะนั่งพักอยู่เฉยๆ ก็ตาม หากมีอาการดังกล่าวแม้จะในระยะเริ่มต้น ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไป
หลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร?
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดจากหลอดเลือดหลักที่เรียกว่า หลอดเลือดโคโรนารี ที่นำเลือดไปเลี้ยงหัวใจมีการตีบ แคบลง เนื่องจากมีการสะสมของไขมันและหินปูนเกาะภายในผนังหลดเลือด
ทำให้ปริมาณเลือดไหลผ่านไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ หรือทำให้เกิดการอุดตันจนเลือดไหลผ่านไม่สะดวก เกิดเป็นภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน สามารถแยกย่อยออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มที่เกิดจากความเสื่อมของผนังหลอดเลือดโคโรนารี หรือหลอดเลือดหัวใจตีบแบบสะสม เรื้อรัง หรือค่อยเป็นค่อยไป มีสาเหตุมาจากการที่หลอดเลือดมีไขมัน คอเลสเตอรอล ตะกรัน หรืออื่นๆ เกาะตัวตามผนังหลอดเลือดจนเกิดการอักเสบ และเลือดไปเลี้ยงหัวใจทำได้น้อยลง ผู้ป่วยจึงมักมีอาการเหนื่อยมากขึ้น และเร็วขึ้นขณะทํากิจกรรมที่ปกติเคยทํา เช่น เดินขึ้นบันได ยกของ หรืออาจเจ็บเหมือนมีอะไรทับบนอก ปวดร้าวไปที่กราม หรือทางแขนด้านซ้าย ซึ่งอาการเหล่านี้จะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่จะสะสมใช้ระยะเวลานาน ประมาณ 7-10 ปี
- กลุ่มที่หลอดเลือดหัวใจตีบที่เกิดจากตระกรันไขมันเกิดการปริแตก หรือหลอดเลือดหัวใจแตกแบบเฉียบพลัน เป็นกลุ่มอาการที่อันตรายและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัว มีอาการเกิดขึ้นแบบทันทีทันใด ซึ่งเกิดจากความเสื่อมของผนังหลอดเลือดโคโรนารี ทำให้เกิดการเกาะตัวของเกร็ดเลือดในหลอดเลือดอย่างรวดเร็ว จนอุดตันหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตกระทันหันแม้ว่าจะไม่เคยมีอาการมาก่อนก็ตาม เช่น ขณะออกกําลังกาย ซึ่งปัจจุบันการเสียชีวิตประเภทนี้มีอัตราการเกิดค่อนข้างสูง
ใครเสี่ยงเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ?
ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตหลายปัจจัย ดังนี้
- ผู้ชายอายุมากกว่า 45 ปี และผู้หญิงอายุมากกว่า 55 ปี เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น อาจมีไขมันเริ่มเกาะและสะสมที่ผนังหลอดเลือดด้านใน หากปล่อยไว้อาจเกิดการปริแตกของหลอดเลือด จนเกล็ดเลือดหลุดเข้าไปอุดตันทางเดินหลอดเลือด และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ผู้ที่มีโรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่มีญาติสายตรงมีการป่วยเป็นโรคหลอดเลือดตีบ ได้แก่ บิดา มารดา พี่น้อง เป็นต้น
- ผู้ที่มีภาวะเครียด หรือภาวะซึมเศร้า
- ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย มีน้ำหนักตัวมาก อ้วนและลงพุง
- ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ผู้ที่มีพฤติกรรมการบริโภค อาหารรสหวาน มัน เค็มและรสจัดมาก
หลอดเลือดหัวใจตีบรักษาอย่างไร?
ปัจจุบันการรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบ มีเทคโนโลยีที่เรียกว่า การสวนหัวใจผ่านข้อมือ เข้ามาช่วยในการตรวจวินิจฉัยและพิจารณาหาแนวทางการรักษาได้เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งทำได้โดยการใส่สายสวนขนาดเล็กเข้าไปที่เส้นเลือดแดงบริเวณข้อมือ จากนั้นฉีดสารทึบรังสีเอกซ์เรย์เข้าทางสายสวนหัวใจ และถ่ายภาพเพื่อตรวจเช็กการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจ จากนั้นแพทย์จะวินิจฉัยเลือกแนวทางการรักษาต่อไป โดยสามารถรักษาได้หลายวิธี ดังนี้
- การรักษาด้วยยา เช่น ยาขยายหลอดเลือด ยาลดการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ยาป้องกันหลอดเลือดอุดตัน หรือ ยาสลายลิ่มเลือดที่อุดตันหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น วิธีมักใช้ในกรณีที่มีหลอดเลือดตีบเพียงบางส่วน
- การรักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจ กรณีมีหลอดเลือดตีบมาก หรือหลอดเลือกมีการอุดตัน หรือเป็นผู้มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา
- การรักษาด้วยการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ หรือการทำบายพาสหัวใจ ในกรณีที่ไม่สามารถขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนหัวใจได้แล้ว หรือกรณีมีหลอดเลือดตีบหลายตำแหน่ง
โดยปกติแล้ว ผู้มีอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ มากกว่า 80% จะสามารถรักษาได้โดยการรับประทานยา ส่วนอีกประมาณ 15% จะรักษาด้วยการทำบอลลูน และมีเพียง 5% เท่านั้นที่จำเป็นต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัด
ทั้งนี้การพิจารณาเลือกวิธีการรักษาแบบไหนของแพทย์ จะวินิจฉัยจากหลายปัจจัย เช่น ขนาดของการตีบหลอดเลือด จำนวนเส้นของหลอดเลือดที่ตีบ และสาเหตุอาการของการตีบหลอดเลือด เป็นต้น
สำหรับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือการทำบายพาสหัวใจ ส่วนใหญ่แพทย์จะตัดสินใจรักษาวิธีนี้เมื่อเส้นเลือดตีบและอุดตันแล้วประมาณ 70% ขึ้นไป แต่หากเป็นกรณีผู้มีไขมันเกาะโดยไม่มีหินปูนและมีอายุ 30–40 ปี หรือมีหลอดเลือดอุดตันเส้นเดียว อาจรักษาด้วยการรับประทานยาในการช่วยให้ไขมันลดลง หรือใช้วิธีใส่ขดลวดบอลลูน
หลอดเลือดหัวใจตีบรักษาหายไหม?
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ หากพบอาการเริ่มแรกและทำการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยและพิจารณาการรักษาให้เหมาะกับระยะอาการของผู้ที่เป็น แต่ทั้งนี้อาการตีบของหลอดเลือดก็สามารถกลับมาเป็นได้อีกตลอดเวลา
หากไม่มีการดูแลและป้องกันด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชึวิต เนื่องจากอาการหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันโดยตรง โดยแนวทางการการลดความเสี่ยงและป้องกันสามารถทำได้ ดังนี้
- ควบคุมเบาหวานสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ควบคุมความดันโลหิตสำหรับผู้มีโรคความดันโลหิตสูง
- ควบคุมไขมันสำหรับผู้มีโรคเกี่ยวกับไขมัน
- เลิกสูบบุหรี่ และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
- ลดการบริโภคอาหาร หวาน มัน เค็มจัด
- เพิ่มการรับประทานผักสดและผลไม้ที่ไม่หวานจัด
- ควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- ลดความเครียด หรือมีจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
- เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี รวมถึงการตรวจเช็คสุขภาพหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก หากพบสิ่งปกติสามารถวางแผนการป้องกันอย่างเหมาะสมได้
หลอดเลือดหัวใจตีบห้ามกินอะไร?
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มักได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงของกิน ดังต่อไปนี้
- อาหารรสจัดต่างๆ โดยเฉพาะเค็มจัด หวานจัด
- อาหารที่มีไขมันสูง และคอเรสเตอรอลสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน ขาหมู หมูสามชั้น หนังไก่ทอด เครื่องใน ฯลฯ
- อาหารดองหรือทำเค็ม เช่น เนื้อเค็ม ปลาเค็ม กุ้งแห้ง ผักดอง ผลไม้ดอง ฯลฯ
- ขนมหรือผลไม้รสหวาน ได้แก่ ขนมหวาน น้ำหวาน ผลไม้รสหวานต่างๆ เช่น ทุเรียน ขนุน ลำไย ฯลฯ
- ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน ซึ่งอาจมีผลกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นได้
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องงดโดยเด็ดขาด
เป็นหลอดเลือดหัวใจตีบดูแลตัวเองอย่างไร?
กรณีพบว่า มีอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ชีวิตประจำวันที่ลดความเสี่ยงของหลอดเลือดหัวใจตีบแล้ว ควรดูแลตัวเองเพิ่มเติม ดังนี้
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดและพบแพทย์ตามตารางนัดทุกครั้ง
- รับประทานผัก ผลไม้ มากขึ้น และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร
- ไม่รับประทานอาหารอิ่มเกินไป และหลังจากรับประทานเสร็จควรพักประมาณ 30-60 นาที
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมไม่ให้มีน้ำหนักตัวมากเกินไป
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- ลดความเครียด ด้วยการทำจิตใจให้สงบ และหาโอกาสพักผ่อนในสถานที่ผ่อนคลาย
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ นับเป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรง สามารถทำให้เสียชีวิตได้ฉับพลันไม่รู้ตัว แต่หากผู้เริ่มมีอาการ คอยสังเกตตัวเอง และรู้ตัวได้เร็วแล้วเริ่มต้นดูแลตัวเองอย่างดี โดยเฉพาะการใช้ชีวิตประจำวันที่เป็นการลดความเสี่ยง ควบคู่ไปกับการเข้าตรวจรักษาจากแพทย์ด้วยวิธีการที่เหมาะสม จะช่วยยืดอายุให้ยาวนานขึ้น