ไข้เลือดออกเป็นภัยร้ายที่หลายคนอาจมองข้าม คนติดเชื้อส่วนมากมักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย หลายคนเลยอาจมีข้อสงสัยว่าทำไมถึงเรียกโรคไข้เลือดออก? ป่วยแล้วต้องมีเลือดออกหรอ? บางคนที่ไม่มีเลือดออกปลอดภัยใช่ไหม บทความนี้มีคำตอบมาฝาก
สารบัญ
รู้จักกับโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เดงกี หรือโรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever: DHF) ที่นิยมเรียกในประเทศไทย เป็นโรคติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4
การติดเชื้อเกิดขึ้นเมื่อยุงลายตัวเมียไปกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน ทำให้ยุงพาหะนั้นได้รับเชื้อ ก่อนจะแพร่เชื้อสู่คนถัดไปที่ยุงบินไปกัด จึงพบการระบาดของโรคได้บ่อยในช่วงฤดูฝน และเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย
เชื้อไวรัสเดงกีทุกสายพันธุ์สามารถก่อโรคไข้เลือดออกได้เหมือนกัน เมื่อติดสายพันธุ์ใดแล้ว อาจป่วยซ้ำได้อีกจากสายพันธุ์อื่นที่ไม่เคยติดมาก่อน
ทำไมถึงเรียกไข้เลือดออก ป่วยแล้วต้องมีเลือดออกจริงไหม
ที่มาของชื่อโรค “ไข้เลือดออก” นั้นมาจากอาการเด่นของโรค คือ ไข้สูงเฉียบพลันนาน 2–7 วัน ร่วมกับอาการเกล็ดเลือดต่ำจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี โดยมักเกิดหลังไข้ลงตั้งแต่วันที่ 3 เป็นต้นไป
ส่งผลให้ร่างกายมีภาวะเลือดออกได้ง่ายตามผิวหนัง โดยเห็นเป็นจุดแดง ๆ ขนาดเล็กกระจายตามลำตัว แขนและขา เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามเหงือกและไรฟัน กรณีอาการรุนแรงจะมีเลือดออกในทางเดินอาหารและอวัยวะภายใน
แม้จะเรียกว่าไข้เลือดออก แต่การมีเลือดออกเป็นเพียงอาการหนึ่งของโรคเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนจะมีภาวะเลือดออกเสมอไป คนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง แต่บางรายก็อาจมีอาการรุนแรงจนเกิดภาวะเลือดออกมากและช็อกได้ จึงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
อาการไข้เลือดออก สังเกตอย่างไร เมื่อไรควรพบแพทย์
โดยทั่วไป คนที่เป็นไข้เลือดออกจะมีอาการน้อยหรือแทบไม่มีอาการเลย โดยจะพบอาการเบื้องต้น ดังนี้
- มีไข้สูงนาน 2–7 วัน อาจสูงได้ถึง 40 องศาเซลเซียส
- ปวดศีรษะ ปวดรอบดวงตา
- ปวดตามข้อต่อและกล้ามเนื้อคล้ายกระดูกหัก
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- หน้าแดง มีจ้ำเลือด หรือเป็นผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย
แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้น โดยอาการที่มักพบได้ เช่น
- ปวดท้องอย่างรุนเเรง
- หายใจ หอบเหนื่อย
- อาเจียนต่อเนื่อง
- อ่อนแรง มีอาการซีด
- กระสับกระส่าย
- มือเท้าเย็น
- ปัสสาวะน้อย
- เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือส่วนอื่น เช่น อาเจียนเป็นเลือด ปัสสาวะปนเลือด อุจจาระปนเลือด ประจำเดือนมามากหรือมานานผิดปกติในผู้หญิง
- ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง
- ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ
- มีอาการช็อก
หากมีอาการดังกล่าว หรือมีไข้นานเกิน 2 วัน ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะหากอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ใครเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรง
โรคไข้เลือดออกเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มคนที่เมื่อเป็นไข้เลือดออกแล้ว อาการจะรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ผู้สูงอายุ เพราะมีโรคประจำตัวหลายโรค และมีภูมิต้านทานต่ำโรค
รวมถึงคนที่เป็นโรคอ้วน หรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคธาลัสซีเมีย
ป้องกันโรคไข้เลือดออกได้อย่างไร
วิธีป้องกันไข้เลือดออก คือ หลีกเลี่ยงการถูกยุงกัดให้มากที่สุด ร่วมกับการฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ดังนี้
- สวมเสื้อผ้ามิดชิด ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว สวมถุงเท้า
- ทาครีม พ่นสเปรย์กันยุง หรือผลิตภัณฑ์กันยุงที่มีสารป้องกันยุงที่มีประสิทธิภาพ เช่น สาร DEET (ดีท) Picaridin หรือ IR3535
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ทั้งในบ้านและนอกบ้าน เช่น จัดข้าวของให้เป็นระเบียบ ภาชนะที่มีน้ำควรปิดฝาให้สนิท หรือเปลี่ยนน้ำทุกอาทิตย์ ปิดฝาขยะ กำจัดน้ำนิ่งและน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆ
- ปิดหน้าต่าง ติดมุ้งลวด เพื่อป้องกันยุงเข้ามาในบ้าน หรือนอนในมุ้งป้องกันยุงกัด
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์
วัคซีนไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ ฉีดอย่างไร ฉีดกี่เข็ม
วัคซีนไข้เลือดออกป้องกันไวรัสเดงกีได้ครอบคลุมถึง 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยวัคซีนจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไข้เลือดออก ลดความรุนแรงของโรค และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ด้วย
วัคซีนไข้เลือดออก แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
- วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม ฉีดห่างกันเข็มละ 3 เดือน ใช้กับคนอายุ 4–60 ปี ไม่ว่าจะเคยเป็น หรือไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน ก็ฉีดได้
- วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม ฉีดห่างกันเข็มละ 6 เดือน ใช้กับคนอายุ 6–45 ปี และเคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน หากไม่แน่ใจว่าเคยติดเชื้อมากก่อนหรือไม่ แนะนำให้ตรวจเลือดก่อน
ใคร ๆ ก็เป็นไข้เลือดออกได้ ป้องกันตั้งแต่วันนี้ เช็กแพ็กเกจวัคซีนไข้เลือดออก จองโปร พร้อมเปรียบเทียบราคาได้ที่ HDmall.co.th