Default fallback image

อันตรายของไข้เลือดออกในคนมีโรคประจำตัว

โรคไข้เลือดออกพบได้ตลอดทั้งปี ถือเป็นภัยเงียบจากยุงลายตัวร้ายที่มาโดยไม่รู้ตัว มิหนำซ้ำคนมีโรคประจำตัวยังเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงจากไข้เลือดออกอีก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? มาหาคำตอบ พร้อมเรียนรู้วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกกัน!

โรคไข้เลือดออกเกิดจากอะไร 

โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) มียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรค 2 ชนิดหลัก คือ ยุงลายบ้านและยุงลายสวน ซึ่งความรุนแรงของโรคในแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากอาการรุนแรงอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว

เชื้อไวรัสเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ย่อย ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 เมื่อเป็นไข้เลือดออกจากสายพันธุ์ใดแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ที่ติดไปตลอด ส่วนสายพันธุ์อื่นจะมีภูมิคุ้มกันในระยะสั้น ๆ เท่านั้น จึงมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกซ้ำได้ในอนาคต  

โรคไข้เลือดออกพบได้ตลอดทั้งปี พบมากสุดในช่วงฤดูฝน เพราะเกิดแหล่งน้ำขังเป็นที่เพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย แม้ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสเดงกี แต่การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก จะช่วยลดโอกาสติดเชื้อไวรัสเดงกี และลดความรุนแรงของโรคลงได้

ไข้เลือดออกเป็นแล้วอันตรายทุกคนไหม

ผู้ป่วยไข้เลือดออกกว่า 80–90% มักไม่มีอาการ มีเพียง 10–20% ที่แสดงอาการหลังการติดเชื้อไวรัส โดยสังเกตได้จากอาการต่อไปนี้ 

  • ไข้สูงเฉียบพลัน อาจสูงได้ถึง 40 องศาเซลเซียส ราว 2–7 วัน
  • ปวดศีรษะ ปวดเบ้าตา
  • ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกหรือข้อ 
  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง
  • ต่อมน้ำเหลืองโต 
  • มีผื่นหรือจุดเลือดออกกระจายทั่วผิวหนังช่วงแขน ขา ลำตัว 

ทว่าการติดเชื้อไข้เลือดออกจะต่างจากการติดเชื้อไวรัสทั่วไปเล็กน้อย ตรงที่มักไม่มีอาการในระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม น้ำมูกไหล หรือเจ็บคอร่วมด้วย เมื่อติดเชื้อแล้วผู้ป่วยมักดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ 

กรณีเกล็ดเลือดต่ำ เกิดพลาสมาในเลือดรั่ว อาจเกิดภาวะช็อกจากไข้เลือดออกรุนแรง (Dengue shock syndrome) และเสี่ยงเสียชีวิตได้ จึงต้องได้รับการรักษาโดยด่วนที่สุด โดยผู้ป่วยจะเกิดอาการต่อไปนี้ หลังจากไข้ลดลงแล้ว 1–2 วัน  

  • เลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกในสมอง เลือดออกในทางเดินอาหาร ทำให้อาเจียนเป็นเลือดหรืออุจจาระปนเลือด 
  • มีน้ำในเยื่อหุ้มปอดหรือในช่องท้อง 
  • อ่อนเพลีย ซึม กินไม่ได้
  • ปวดท้องตรงชายโครงด้านขวา กดแล้วเจ็บจากภาวะตับอักเสบ ตับโต
  • ปัสสาวะออกน้อย
  • ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรเต้นเบา
  • กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น   
  • หายใจลำบาก ชัก
  • อวัยวะล้มเหลว 
  • หัวใจหยุดเต้น หมดสติ

โรคไข้เลือดออกเกิดได้กับทุกคน โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ คนที่มีน้ำหนักตัวมาก และคนที่มีโรคประจำตัว จะมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงจากไข้เลือดออกได้มากกว่าคนทั่วไป หากมีไข้สูงเกิน 2 วัน หรือมีอาการในข้างต้น ควรรีบพบแพทย์ทันที

ทำไมมีโรคประจำตัวแล้วเป็นไข้เลือดออกถึงอันตราย

คนที่มีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ หรือโรคไต แล้วป่วยเป็นไข้เลือดออก จะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้มากกว่าคนทั่วไป เช่น ความดันโลหิตต่ำ ภาวะช็อก ภาวะเลือดออก หรืออวัยวะล้มเหลว ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

เหตุผลมาจากหลายปัจจัย หลัก ๆ คือ

  • โรคเรื้อรังบางชนิดอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อติดเชื้อไวรัสเดงกี ร่างกายจึงตอบสนองต่อเชื้อได้ไม่เต็มที่เท่าคนสุขภาพดี ทำให้โรคมีความรุนแรงมากขึ้น 
  • อาการของคนที่มีโรคประจำตัวอาจแสดงออกแตกต่างไปจากเดิม ทำให้การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกล่าช้า และอาจไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมได้ทัน 
  • โรคประจำตัวอาจทำให้การรักษามีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะต้องรักษาไข้เลือดออก และโรคประจำตัวไปพร้อมกัน 
  • โรคไข้เลือดออกยังไม่มีการรักษายาเฉพาะ จึงต้องรักษาตามอาการ หากมีภาวะแทรกซ้อนร่วมกับโรคประจำตัวจะทำให้การรักษายิ่งยุ่งยาก  

วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก 

ไข้เลือดออกป้องกันได้โดยเลี่ยงไม่ให้ยุงกัด เช่น ฉีดสเปรย์กันยุง ทายากันยุง สวมเสื้อผ้าปกปิดผิวหนัง ติดมุ้งลวด รวมถึงกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย เช่น เทน้ำที่ขังออก หมั่นเปลี่ยนน้ำบ่อยครั้ง หรือหาฝาปิดภาชนะที่ใส่น้ำ

นอกจากนี้ ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้เลือดออก เพื่อลดความรุนแรงของโรค โดยวัคซีนไข้เลือดออกในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ

1. วัคซีนไข้เลือดออกชนิด 2 เข็ม

มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคราว 80% ลดความเสี่ยงอาการรุนแรง และโอกาสเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 90% ฉีดได้ในคนอายุ 4–60 ปี แต่ละเข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน  

ตัววัคซีนให้ประสิทธิภาพดีทั้งในคนที่เคยติดเชื้อและไม่เคยติดเชื้อเดงกีมาก่อน จึงสามารถฉีดได้เลยโดยต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีดวัคซีน

2. วัคซีนไข้เลือดออกชนิด 3 เข็ม 

มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคราว 80% ลดความเสี่ยงอาการรุนแรง 80% และโอกาสเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 75% ฉีดได้ในคนอายุ 6–45 ปี แต่ละเข็มห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน  

วัคซีนให้ประสิทธิภาพดีในคนที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน จึงแนะนำให้ฉีดในคนที่เคยเป็นไข้เลือดออก ไม่แนะนำหากไม่เคยติดเชื้อมาก่อนเลย กรณีไม่แน่ใจว่าเคยติดเชื้อหรือไม่ อาจต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีดวัคซีน

เพื่อป้องกันไข้เลือดออกและลดความรุนแรงของโรคในอนาคต แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีนไข้เลือดออกไม่ว่าชนิดใดก็ตาม จะได้เลือกวัคซีนชนิดที่เหมาะสมกับตัวเราที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว   

อย่ารอให้เข้าหน้าฝนแล้วค่อยดูแลตัวเอง เพราะยุงลายดูดเลือดเราได้ทุกวัน! เลือกเลย โปรวัคซีนไข้เลือดออก จากคลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ ราคาพิเศษที่ HDmall.co.th ที่เดียว!

Scroll to Top