โดยปกติแล้ว หัวใจจะมีกลุ่มเซลล์สร้างคลื่นไฟฟ้าจากหัวใจห้องขวาบน (Sinoatrial node: SA node) ส่งมากระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจห้องบนทั้งสองห้อง เพื่อให้เกิดการบีบตัว สูบฉีดเลือดลงมายังห้องล่าง
คลื่นไฟฟ้าจะมากระตุ้นให้เกิดตัวกำเนิดคลื่นไฟฟ้าซึ่งอยู่ระหว่างหัวใจห้องบนและล่าง (Atrioventricular node: AV node) ให้นำคลื่นไฟฟ้านี้ไปยังหัวใจห้องล่างเพื่อสูบฉีดเลือดไปฟอกที่ปอด ส่วนหัวใจห้องซ้ายล่างจะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
คลื่นไฟฟ้าหัวใจจะควบคุมการทำงานของหัวใจให้มีความต่อเนื่องสัมพันธ์กันทั้งสี่ห้อง หากเกิดปัญหาที่ระบบไฟฟ้าส่วนใดส่วนหนึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการทำงานของหัวใจได้ และสามารถตรวจพบความผิดปกตินี้ได้จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
สารบัญ
ประโยชน์ของการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG) มีที่มาจากคำว่า Elektrokardiogram: EKG หมายถึงการทดสอบสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจที่เกิดขึ้นทั่วทั้งหัวใจในแต่ละจังหวะการเต้น เพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอย่างสมบูรณ์
เป็นผลให้การสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายจึงจะสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) บ้างก็เรียกว่า EKG เป็นวิธีการตรวจที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน ใช้เวลารวดเร็ว สามารถตรวจได้ทุกโรงพยาบาล และเป็นการตรวจที่มีประโยชน์มากเพราะสามารถบอกข้อมูลต่างๆ ได้ดังนี้
- จังหวะการเต้นของหัวใจ
- อัตราการเต้นของหัวใจ
- การนำกระแสไฟฟ้าหัวใจ
- ขนาดของหัวใจได้ (ไม่ชัดเจนมาก)
- โรคและความผิดปกติที่เกิดกับหัวใจเบื้องต้นได้ เช่น โรคของเยื่อหุ้มหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
- ช่วยประเมินความแข็งแรงของหัวใจก่อนการผ่าตัดได้
- ช่วยติดตามผลการรักษาโรคหัวใจได้
ขั้นตอนการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้นไม่เจ็บเพราะไม่ได้มีกระแสไฟฟ้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแต่เครื่องจะวัดคลื่นไฟฟ้าที่มีค่าต่ำมากจากการเต้นของหัวใจ
ผู้เข้ารับการตรวจจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร ไม่ต้องงดยาที่รับประทานอยู่ สามารถรับการตรวจได้ทุกเวลา ส่วนมากมักจะใช้เวลาตรวจประมาณ 5 นาที
ขั้นตอนการตรวจมีดังนี้
- ผู้เข้ารับการตรวจเปลี่ยนเสื้อผ้าที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ รวมทั้งถอดเครื่องประดับต่างๆ ออก
- นอนหงายลงบนเตียงแบบผ่อนคลาย สามารถหายใจได้ตามปกติ
- เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดผิวหนัง จากนั้นป้ายเจลลงบริเวณหน้าอก ข้อมือ และข้อเท้าทั้งสองข้าง
- ติดแผ่นขั้วคลื่นไฟฟ้า (Electrode) บริเวณหน้าอก และท้องรวม 6 จุด รวมทั้งข้อมือและข้อเท้าทั้งสองข้าง ข้างละ 1 จุด รวม 10 จุดเพื่อรับสัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจจากหลายทิศทาง
- กรณีผู้ป่วยเด็กที่ไม่ให้ความร่วมมืออาจต้องใช้ยานอนหลับช่วย แต่อาจมีผลข้างเคียงคือ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง
หลังจากนั้นเครื่องจะประมวลผลการวัดคลื่นไฟฟ้าและแสดงผลออกมาเป็นกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ทั้งนี้แพทย์ หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการอบรมในการอ่านกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจและแปลผลจากคลื่นดังกล่าว เพื่อระบุว่า “คุณจำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อหรือไม่”
คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ
การแปลผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ได้ ได้แก่ เต้นปกติ(60-100 ครั้ง/นาที) เต้นเร็ว (มากกว่า 100 ครั้ง/นาที) เต้นช้า (30-40 ครั้ง/นาที) เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นผิดจังหวะ หรือเต้นๆ หยุดๆ
หากหัวใจหยุดเต้นนานกว่า 2.5 วินาทีจะทำให้เกิดอาการวูบ หน้ามืด หรือหมดสติได้
เนื่องจากคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้นเป็นการวัดการทำงานของหัวใจในหลายด้าน ดังนั้นผลที่ผิดปกตินั้นจะช่วยระบุความผิดปกติต่างๆ ได้แก่
- ความผิดปกติของรูปร่างและขนาดของหัวใจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกตินั้นสามารถบอกได้ว่า ผนังของหัวใจด้านใดที่มีขนาดใหญ่กว่าด้านอื่นๆ ซึ่งแสดงว่าหัวใจนั้นอาจจะทำงานมากกว่าปกติในการสูบฉีดเลือด
- หัวใจขาดเลือด ระหว่างที่เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดจะไม่มีเลือดมายังหัวใจ ทำให้เนื้อเยื่อหัวใจนั้นเริ่มขาดออกซิเจน และเริ่มตาย ซึ่งทำให้เกิดคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติได้
- อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ อัตราการเต้นของหัวใจที่ปกติอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสามารถระบุได้ว่า หัวใจกำลังเต้นเร็ว หรือช้าเกินไปหรือไม่
- ความผิดปกติของจังหวะการเต้นหัวใจ โดยปกติแล้วหัวใจมักจะเต้นเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสามารถระบุได้ว่า หัวใจกำลังมีจังหวะการเต้นที่ผิดปกติ หรือมีลักษณะที่ผิดปกติหรือไม่
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยา การใช้ยาบางชนิดสามารถส่งผลต่ออัตราการเต้นและจังหวะของหัวใจได้ บางครั้งยาที่ให้เพื่อทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจดีขึ้นอาจส่งผลให้เกิดหัวใจเต้นผิดตังหวะได้ ตัวอย่างยาที่สามารถส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจเช่น ยาในกลุ่มเบต้า บล็อกเกอร์ (ฺBeta blockers) โซเดียม แชนแนล บล็อกเกอร์ (Sodium channel blockers) และ แคลเซียม แชนแนล บล็อกเกอร์ (Calcium channel blockers)
- ความผิดปกติของเกลือแร่ แร่ธาตุหลายชนิดสามารถนำคลื่นไฟฟ้าในหัวใจและทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานเป็นจังหวะ เช่น โพแทสเซียม แคลเซียมแมกนีเซียม หากระดับแร่ธาตุเหล่านี้ไม่สมดุลก็อาจมีคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติได้
หากมีอาการต่อไปนี้ควรไปพบแพทย์ทันที
มีอาการหลายอย่างที่บ่งบอกว่า ควรไปตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อดูว่า หัวใจของคุณยังทำงานเป็นปกติหรือไม่ หากมีอาการต่อไปนี้ควรไปพบแพทย์ทันที
- เจ็บ หรือแน่นหน้าอก หรือปวดร้าวไปจนถึงคอและไหล่ซ้ายเป็นเวลานาน
- หายใจลำบาก
- หายใจสั้นลงจนรู้สึกหอบ
- ใจสั่น หรือรู้สึกหัวใจเต้นผิดปกติ เช่น จับชีพจรแล้วรู้สึกว่า หัวใจเต้นเร็ว
- รู้สึกว่า คล้ายจะเป็นลม หน้ามืด
- คลื่นไส้อาเจียน
- อ่อนแรงฉับพลัน
การรักษาคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ
การรักษาตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติมักจะขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติ ได้แก่
- ผู้ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจที่ช้ามากจากการที่หัวใจสร้างกระแสสัญญาณไฟฟ้าที่ผิดปกติ กรณีนี้อาจต้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจเพื่อช่วยให้หัวใจเต้นในจังหวะที่เหมาะสม
- บางรายต้องรับประทานยารักษาโรคหัวใจเป็นประจำเพื่อทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ
- ผู้ที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดอาจต้องมีการสวนเส้นเลือดหัวใจ หรือผ่าตัดหัวใจ เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปยังหัวใจได้สะดวกขึ้น
- ผู้ที่มีภาวะเกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุลอาจต้องได้รับการรักษาด้วยยา หรือสารน้ำ เช่น ผู้ที่ขาดน้ำอาจมีเกลือแร่ที่ไม่สมดุลซึ่งทำให้เกิดคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติและอาจจะต้องได้รับสารน้ำ เครื่องดื่มเกลือแร่ หรือยาเพื่อปรับให้เกลือแร่นั้นอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง
- การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
อย่างไรก็ตาม บางครั้งแพทย์อาจไม่แนะนำการรักษาในผู้ป่วยบางรายที่มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยซึ่งไม่มีอาการรุนแรง หรือความผิดปกตินั้นไม่น่ากังวล
การป้องกันคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และถูกสุขลักษณะ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานของมัน ของทอด อาหารรสจัด
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสม
- งดการสูบบุหรี่
- ระมัดระวังเรื่องการใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อหัวใจ หากจำเป็นควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกร
- ผ่อนคลายความเครียด ความวิตกกังวล
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- หมั่นออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
ความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจเป็นเรื่องที่ควรให้ความใส่ใจ แม้เพียงคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติก็ตาม อย่าคิดว่า “เดี๋ยวก็หาย” หรือ “ไม่เป็นไร” เพราะบางครั้งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหัวใจของคุณอาจร้ายแรงจนคาดไม่ถึง
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา