คุณอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อภาวะหัวใจโตนัก แต่ภาวะนี้จัดเป็นภาวะเกี่ยวกับหัวใจที่อันตรายร้ายแรงไม่แพ้ภาวะอื่นเลย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักภาวะหัวใจโตกันว่า “เป็นภาวะที่อันตรายขนาดไหน” แล้วมีสาเหตุ วิธีรักษา รวมถึงการป้องกันไม่ให้เกิดได้อย่างไร
สารบัญ
ความหมายของภาวะหัวใจโต
ภาวะหัวใจโต (Cardiomegaly) เป็นภาวะที่หัวใจมีขนาดใหญ่กว่าปกติ เป็นภาวะที่ยังไม่จัดเป็นโรค แต่เป็นสัญญาณของความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับหัวใจ
ภาวะหัวใจโตสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ
- ภาวะหัวใจโตซึ่งเกิดจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายล่างหนาตัวผิดปกติ (Dilated cardiomyopathy) รวมถึงมีการบีบตัวที่ผิดปกติด้วย โดยหัวใจห้องซ้ายล่างมีหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
- ภาวะหัวใจโตซึ่งเกิดจากเซลล์กล้ามเนื้อภายในกล้ามเนื้อหัวใจมีขนาดใหญ่ขึ้น (Hypertrophic cardiomyopathy) และผนังหัวใจหนาตัวกว่าเดิม
สาเหตุของภาวะหัวใจโต
มีโรค และความผิดปกติมากมายซึ่งส่งผลทำให้เกิดภาวะหัวใจโตได้ เช่น
- โรคหัวใจทางพันธุกรรม (Inherited heart conditions)
- ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ (Abnormal heart valve) หรือโรคหัวลิ้นหัวใจ (Heart valve disease)
- ภาวะมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจมากกว่าปกติ (Pericardial effusion)
- ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
- ภาวะความดันโลหิตสูง (High blood pressure)
- โรคแอมีลอยโดซิส (Amyloidosis) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากไขกระดูกผลิตสารโปรตีนชื่อ “แอมีลอยโดซิส” มากผิดปกติ จนไปสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
- โรคเบาหวาน (Diabetes)
- โรคอ้วน (Obesity)
- ภาวะธาตุเหล็กในร่างกายมีปริมาณมากเกินไป หรือ “ภาวะเหล็กเกิน” (Hemochromatosis)
- ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ (Underactive thyroid)
- ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Overactive thyroid)
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA)
นอกจากนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมก็มีส่วนทำให้เกิดภาวะหัวใจโตได้ด้วย เช่น การเสพติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด การรับประทานอาหารรสหวาน อาหารมัน ทอด ที่มีไขมันสูง จะเห็นได้ว่า สาเหตุที่สามารถทำให้เกิดภาวะหัวใจโตนั้นมีมากมาย ดังนั้นการเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ หรืออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
อย่างน้อยจะได้ทราบว่า ร่างกายของเราอยู่ในภาวะปกติหรือไม่ หรือมีความผิดปกติใดที่ต้องเฝ้าระวังเพื่อควบคุมไม่ให้ลุกลามกลายเป็นโรคต่อไป หรือหากมีโรคที่เรายังไม่รู้ จะได้เริ่มเข้ากระบวนการรักษาให้ทันท่วงทีนั่นเอง
อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้จากภาวะหัวใจโต
ผู้ที่มีภาวะหัวใจโตอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าเดิมได้ เช่น
- เสียงฟู่ของหัวใจ (Heart murmur) ภาวะหัวใจโตมีส่วนทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท ทำให้เลือดเกิดการไหลย้อนกลับ และเป็นสาเหตุทำให้การเต้นของหัวใจมีเสียงฟู่ออกมาด้วย ถึงแม้ว่าภาวะนี้ไม่ใช่ภาวะอันตราย แต่ก็ไม่ควรปล่อยเรื้อรังเอาไว้ และควรรีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
- ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure) เพราะภาวะหัวใจโตสามารถส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจล้า และอ่อนแอลง ส่งผลให้หัวใจไม่สามารถอัดฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ และเสี่ยงเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้
- ภาวะแข็งตัวของเลือด (Blood clots) โดยผู้ป่วยภาวะหัวใจโตจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดในหัวใจได้ เมื่อลิ่มเลือดเข้าไปในกระแสเลือด มันก็จะเข้าไปอุดตันการไหลเวียนของกระแสเลือดและอาจนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) และโรคหัวใจวาย (Heart attack) ได้
- ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน และเสียชีวิต (Cardiac arrest and sudden death) ภาวะหัวใจโตทำให้ระบบการนำไฟฟ้าของหัวใจทำงานผิดปกติ จนส่งผลให้หัวใจหยุดเต้น แต่อาจจบลงด้วยการเสียชีวิตหากไม่สามารถนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา
การวินิจฉัยภาวะหัวใจโต
ภาวะหัวใจโตสามารถวินิจฉัยได้หลายวิธี เช่น
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG) เพื่อบันทึกการทำงานของระบบนำไฟฟ้าของหัวใจว่า มีความผิดปกติอย่างไร
- การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือการตรวจเอคโค (Echocardiogram: ECO) วิธีนี้แพทย์จะได้รับเสียงสะท้อนที่แปลงออกมาเป็นภาพการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจรวมถึงลิ้นหัวใจว่า ทำงานปกติดีหรือไม่ หรือมีส่วนใดที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติบ้าง
- การตรวจเลือด (Blood tests) เพื่อหาความผิดปกติของเลือดว่า มีส่วนใดเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะหัวใจโตได้ รวมถึงตรวจดูระดับไขมัน คอเลสเตอรอลในเลือดด้วย
- การตรวจด้วยคลื่นรังสีแม่เหล็ก หรือการเอกซเรย์ (X-ray) เพื่อหาภาวะ หรือความผิดปกติอื่นๆ ของหัวใจ และปอด ซึ่งอาจมีส่วนทำให้เกิดภาวะหัวใจโต
- การสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac catheterization) โดยแพทย์จะฉีดสารทึบรังสีเข้าไปผ่านสายสวนที่จะเจาะเข้าไปในหลอดเลือด จากนั้นจะถ่ายภาพการทำงานของหลอดเลือดว่า มีการอุดตัน หรือตีบตันในส่วนใดหรือไม่ จนส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจ
การรักษาภาวะหัวใจโต
ภาวะหัวใจโตมีวิธีรักษาได้ 4 วิธี ได้แก่
- รักษาด้วยยา โดยอาจเป็นยารักษาความดันโลหิต ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งส่งผลต่อระบบนำไฟฟ้าของหัวใจ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อมารับประทานได้เอง
- รักษาด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ หากรักษาด้วยยาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรืออาการทรุดลง หรือรุนแรงมากกว่าเดิม แพทย์ก็อาจพิจารณาให้ผู้ป่วยติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้กับตัว หรือฝังใต้ผิวหนัง โดยอาจเป็น “เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker implantation)” เพื่อกระตุ้นให้จังหวะการเต้นของหัวใจเป็นไปอย่างปกติ
- รักษาด้วยการผ่าตัด (Surgery) หากรักษาด้วยยา หรือบางรายอาจได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น หรืออาการทรุดลง หรือรุนแรงมากกว่าเดิม แพทย์อาจพิจารณาให้ทำการรักษาโดยการผ่าตัดลิ้นหัวใจ (Heart valve surgery) ผ่าตัดรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือการทำบายพาส (Coronary bypass surgery) หรือผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ (Heart transplant) แต่ทั้งนี้การรักษาด้วยวิธีการใดก็ตาม ต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น
- รักษาด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น งดสูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนปริมาณมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานผักสด ผลไม้สดให้มากขึ้น รับประทานถั่วและธัญพืชที่มีประโยชน์ให้มากขึ้น รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการรับประทานของมันๆ ทอดๆ และอาหารรสจัด
นอกจากการรักษาด้วย 4 วิธีที่กล่าวไปข้างต้น ผู้ป่วยต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพ หรือตรวจโรคอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดภาวะหัวใจโตได้ เช่น ตรวจโรคเบาหวาน ตรวจไต
วิธีป้องกันภาวะหัวใจโต
ภาวะหัวใจโตจะเกิดก็ต่อเมื่อมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นก่อน เช่น โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง จากนั้นภาวะหัวใจโตก็จะเกิดขึ้นตามมา
วิธีป้องกันไม่ให้เป็นภาวะหัวใจโตที่ดีที่สุด จึงเป็นการเฝ้าระวังไม่ให้ความผิดปกติ หรือโรคที่ทำให้เกิดภาวะนี้มีความร้ายแรงมากกว่าเดิม
ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดมาก่อนเป็นอีกกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังการเกิดภาวะหัวใจโต เพราะโรคหัวใจเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ส่งต่อถึงกันได้ในผู้ใกล้ชิดทางสายเลือด ซึ่งสามารถตรวจคัดกรองได้ผ่านการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ปรับวิถีชีวิตให้เหมาะสมก็เป็นอีกตัวช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจโตได้ เช่น ไม่สูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียดจนเกินไป และหมั่นออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อหัวใจ รวมถึงกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ แข็งแรง
ภาวะหัวใจโตเป็นเหมือนภาวะแทรกซ้อนในโรคหลายๆ โรค และหลายคนยังไม่รู้จักภาวะนี้ว่า เป็นอันตรายอย่างไร เมื่อคุณเข้าใจถึงข้อมูลของภาวะนี้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็ควรเริ่มปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อลดความเสี่ยง เพื่อจะได้มีร่างกายแข็งแรง และไม่เสี่ยงภาวะหัวใจโต หรือโรคอื่นๆ ด้วย
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา