คุณอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อภาวะหัวใจโตนัก แต่ภาวะนี้จัดเป็นภาวะเกี่ยวกับหัวใจที่อันตรายร้ายแรงไม่แพ้ภาวะอื่นเลย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักภาวะหัวใจโตกันว่า “เป็นภาวะที่อันตรายขนาดไหน” แล้วมีสาเหตุ วิธีรักษา รวมถึงการป้องกันไม่ให้เกิดได้อย่างไร
มีคำถามเกี่ยวกับ ภาวะหัวใจโต? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ
สารบัญ [show]
ความหมายของภาวะหัวใจโต
ภาวะหัวใจโต (Cardiomegaly) เป็นภาวะที่หัวใจมีขนาดใหญ่กว่าปกติ เป็นภาวะที่ยังไม่จัดเป็นโรค แต่เป็นสัญญาณของความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับหัวใจ
ภาวะหัวใจโตสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ
- ภาวะหัวใจโตซึ่งเกิดจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายล่างหนาตัวผิดปกติ (Dilated cardiomyopathy) รวมถึงมีการบีบตัวที่ผิดปกติด้วย โดยหัวใจห้องซ้ายล่างมีหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
- ภาวะหัวใจโตซึ่งเกิดจากเซลล์กล้ามเนื้อภายในกล้ามเนื้อหัวใจมีขนาดใหญ่ขึ้น (Hypertrophic cardiomyopathy) และผนังหัวใจหนาตัวกว่าเดิม
สาเหตุของภาวะหัวใจโต
มีโรค และความผิดปกติมากมายซึ่งส่งผลทำให้เกิดภาวะหัวใจโตได้ เช่น
- โรคหัวใจทางพันธุกรรม (Inherited heart conditions)
- ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ (Abnormal heart valve) หรือโรคหัวลิ้นหัวใจ (Heart valve disease)
- ภาวะมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจมากกว่าปกติ (Pericardial effusion)
- ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
- ภาวะความดันโลหิตสูง (High blood pressure)
- โรคแอมีลอยโดซิส (Amyloidosis) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากไขกระดูกผลิตสารโปรตีนชื่อ “แอมีลอยโดซิส” มากผิดปกติ จนไปสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
- โรคเบาหวาน (Diabetes)
- โรคอ้วน (Obesity)
- ภาวะธาตุเหล็กในร่างกายมีปริมาณมากเกินไป หรือ “ภาวะเหล็กเกิน” (Hemochromatosis)
- ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ (Underactive thyroid)
- ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Overactive thyroid)
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA)
นอกจากนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมก็มีส่วนทำให้เกิดภาวะหัวใจโตได้ด้วย เช่น การเสพติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด การรับประทานอาหารรสหวาน อาหารมัน ทอด ที่มีไขมันสูง จะเห็นได้ว่า สาเหตุที่สามารถทำให้เกิดภาวะหัวใจโตนั้นมีมากมาย ดังนั้นการเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ หรืออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
อย่างน้อยจะได้ทราบว่า ร่างกายของเราอยู่ในภาวะปกติหรือไม่ หรือมีความผิดปกติใดที่ต้องเฝ้าระวังเพื่อควบคุมไม่ให้ลุกลามกลายเป็นโรคต่อไป หรือหากมีโรคที่เรายังไม่รู้ จะได้เริ่มเข้ากระบวนการรักษาให้ทันท่วงทีนั่นเอง
อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้จากภาวะหัวใจโต
ผู้ที่มีภาวะหัวใจโตอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าเดิมได้ เช่น
- เสียงฟู่ของหัวใจ (Heart murmur) ภาวะหัวใจโตมีส่วนทำให้ลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท ทำให้เลือดเกิดการไหลย้อนกลับ และเป็นสาเหตุทำให้การเต้นของหัวใจมีเสียงฟู่ออกมาด้วย ถึงแม้ว่าภาวะนี้ไม่ใช่ภาวะอันตราย แต่ก็ไม่ควรปล่อยเรื้อรังเอาไว้ และควรรีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
- ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure) เพราะภาวะหัวใจโตสามารถส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจล้า และอ่อนแอลง ส่งผลให้หัวใจไม่สามารถอัดฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ และเสี่ยงเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้
- ภาวะแข็งตัวของเลือด (Blood clots) โดยผู้ป่วยภาวะหัวใจโตจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดในหัวใจได้ เมื่อลิ่มเลือดเข้าไปในกระแสเลือด มันก็จะเข้าไปอุดตันการไหลเวียนของกระแสเลือดและอาจนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) และโรคหัวใจวาย (Heart attack) ได้
- ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน และเสียชีวิต (Cardiac arrest and sudden death) ภาวะหัวใจโตทำให้ระบบการนำไฟฟ้าของหัวใจทำงานผิดปกติ จนส่งผลให้หัวใจหยุดเต้น แต่อาจจบลงด้วยการเสียชีวิตหากไม่สามารถนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา
การวินิจฉัยภาวะหัวใจโต
ภาวะหัวใจโตสามารถวินิจฉัยได้หลายวิธี เช่น
มีคำถามเกี่ยวกับ ภาวะหัวใจโต? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG) เพื่อบันทึกการทำงานของระบบนำไฟฟ้าของหัวใจว่า มีความผิดปกติอย่างไร
- การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือการตรวจเอคโค (Echocardiogram: ECO) วิธีนี้แพทย์จะได้รับเสียงสะท้อนที่แปลงออกมาเป็นภาพการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจรวมถึงลิ้นหัวใจว่า ทำงานปกติดีหรือไม่ หรือมีส่วนใดที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติบ้าง
- การตรวจเลือด (Blood tests) เพื่อหาความผิดปกติของเลือดว่า มีส่วนใดเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะหัวใจโตได้ รวมถึงตรวจดูระดับไขมัน คอเลสเตอรอลในเลือดด้วย
- การตรวจด้วยคลื่นรังสีแม่เหล็ก หรือการเอกซเรย์ (X-ray) เพื่อหาภาวะ หรือความผิดปกติอื่นๆ ของหัวใจ และปอด ซึ่งอาจมีส่วนทำให้เกิดภาวะหัวใจโต
- การสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac catheterization) โดยแพทย์จะฉีดสารทึบรังสีเข้าไปผ่านสายสวนที่จะเจาะเข้าไปในหลอดเลือด จากนั้นจะถ่ายภาพการทำงานของหลอดเลือดว่า มีการอุดตัน หรือตีบตันในส่วนใดหรือไม่ จนส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจ
การรักษาภาวะหัวใจโต
ภาวะหัวใจโตมีวิธีรักษาได้ 4 วิธี ได้แก่
- รักษาด้วยยา โดยอาจเป็นยารักษาความดันโลหิต ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งส่งผลต่อระบบนำไฟฟ้าของหัวใจ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อมารับประทานได้เอง
- รักษาด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ หากรักษาด้วยยาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรืออาการทรุดลง หรือรุนแรงมากกว่าเดิม แพทย์ก็อาจพิจารณาให้ผู้ป่วยติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้กับตัว หรือฝังใต้ผิวหนัง โดยอาจเป็น “เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker implantation)” เพื่อกระตุ้นให้จังหวะการเต้นของหัวใจเป็นไปอย่างปกติ
- รักษาด้วยการผ่าตัด (Surgery) หากรักษาด้วยยา หรือบางรายอาจได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น หรืออาการทรุดลง หรือรุนแรงมากกว่าเดิม แพทย์อาจพิจารณาให้ทำการรักษาโดยการผ่าตัดลิ้นหัวใจ (Heart valve surgery) ผ่าตัดรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือการทำบายพาส (Coronary bypass surgery) หรือผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ (Heart transplant) แต่ทั้งนี้การรักษาด้วยวิธีการใดก็ตาม ต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น
- รักษาด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น งดสูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนปริมาณมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานผักสด ผลไม้สดให้มากขึ้น รับประทานถั่วและธัญพืชที่มีประโยชน์ให้มากขึ้น รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการรับประทานของมันๆ ทอดๆ และอาหารรสจัด
นอกจากการรักษาด้วย 4 วิธีที่กล่าวไปข้างต้น ผู้ป่วยต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพ หรือตรวจโรคอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดภาวะหัวใจโตได้ เช่น ตรวจโรคเบาหวาน ตรวจไต
วิธีป้องกันภาวะหัวใจโต
ภาวะหัวใจโตจะเกิดก็ต่อเมื่อมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นก่อน เช่น โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง จากนั้นภาวะหัวใจโตก็จะเกิดขึ้นตามมา
วิธีป้องกันไม่ให้เป็นภาวะหัวใจโตที่ดีที่สุด จึงเป็นการเฝ้าระวังไม่ให้ความผิดปกติ หรือโรคที่ทำให้เกิดภาวะนี้มีความร้ายแรงมากกว่าเดิม
ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดมาก่อนเป็นอีกกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังการเกิดภาวะหัวใจโต เพราะโรคหัวใจเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ส่งต่อถึงกันได้ในผู้ใกล้ชิดทางสายเลือด ซึ่งสามารถตรวจคัดกรองได้ผ่านการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ปรับวิถีชีวิตให้เหมาะสมก็เป็นอีกตัวช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจโตได้ เช่น ไม่สูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียดจนเกินไป และหมั่นออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อหัวใจ รวมถึงกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ แข็งแรง
ภาวะหัวใจโตเป็นเหมือนภาวะแทรกซ้อนในโรคหลายๆ โรค และหลายคนยังไม่รู้จักภาวะนี้ว่า เป็นอันตรายอย่างไร เมื่อคุณเข้าใจถึงข้อมูลของภาวะนี้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็ควรเริ่มปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อลดความเสี่ยง เพื่อจะได้มีร่างกายแข็งแรง และไม่เสี่ยงภาวะหัวใจโต หรือโรคอื่นๆ ด้วย
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา
มีคำถามเกี่ยวกับ ภาวะหัวใจโต? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ