อาการแพ้คาเฟอีนเป็นอย่างไร

อาการแพ้คาเฟอีนเป็นอย่างไร?

กาแฟ ออกฤทธิ์ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางตื่นตัว จึงเป็นหนึ่งในตัวช่วยสำคัญของผู้คนที่ทำให้ตาสว่าง รวมถึงช่วยให้สามารถตื่นตัว และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสารสำคัญในกาแฟที่นั้นก็คือ คาเฟอีน ที่พบได้ในใบชา และฝักโกโก้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คาเฟอีนจะเป็นสารที่อยู่ในเครื่องดื่มหลายชนิด แต่ก็มีหลายคนที่แพ้สารชนิดนี้

ฤทธิ์ และปริมาณการรับประทานของคาเฟอีน

คาเฟอีน เป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง มีประโยชน์ในการกระตุ้นสมองเกิดการตื่นตัว บางครั้งก็ถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นการหายใจสำหรับรักษาผู้ป่วยบางราย

เราสามารถพบคาเฟอีนได้ในเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง

ผู้หญิงที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร หากดื่มกาแฟมากเกินไป ยังทำให้คาเฟอีนขับออกมาทางน้ำนมด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทารกได้

ปริมาณการรับประทานคาเฟอีนที่ปลอดภัย จำกัดอยู่ที่ 400 มิลลิกรัม และจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเครื่องดื่ม และความถี่ของการบริโภคคาเฟอีนของแต่ละคนด้วย

กาแฟ มีปริมาณคาเฟอีนมากกว่าชา และช็อกโกแลต โดยมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 60-200 มิลลิกรัม เครื่องดื่มประเภทชาจะมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 55-100 มิลลิกรัม และช็อกโกแลตจะมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 2-5 มิลลิกรัม

อาการแพ้คาเฟอีน

ถึงแม้คาเฟอีนจะมีประโยชน์ในแง่ของการตื่นตัว รวมถึงสมาธิในการทำงาน แต่ขณะเดียวกัน คาเฟอีนก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายจนทำให้เกิดเป็นอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ร่างกายไวต่อสารคาเฟอีน เช่น

  • หัวใจเต้นเร็วขึ้น
  • เกิดอาการกระวนกระวาย วิตกกังวล
  • มือไม้สั่น
  • ปวดศีรษะ
  • นอนไม่หลับ หรือการนอนหลับแย่ลงกว่าเดิม
  • ท้องเสีย

หากคุณมีอาการคล้ายกับร่างกายไวต่อคาเฟอีน อย่าเพิ่งตกใจไปว่าตนเองแพ้คาเฟอีน เพราะอาการแพ้คาเฟอีนจริงๆ นั้นจะรุนแรงกว่านั้น เช่น

  • ผื่นลมพิษขึ้น โดยเฉพาะตุ่มแดงบวมที่อาจมีจำนวนมาก
  • ปาก และคอบวมขึ้น
  • รู้สึกระคายเคืองที่ริมฝีปาก ข้างในปาก และลิ้น

อาการแพ้คาเฟอีนมักจะเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากร่างกายรับสารคาเฟอีนเข้าไป นอกจากนี้ผู้แพ้คาเฟอีนยังมีความเสี่ยงที่จะช็อกจากอาการแพ้รุนแรง (Anaphylactic Shock) ได้ แต่กรณีนี้มักพบได้ไม่บ่อยนัก และผู้ที่แพ้คาเฟอีนหนักมากๆ จะมีอาการต่อไปนี้

  • เกิดอาการบวมตามร่างกายหลายที่ เช่น ดวงตา ริมฝีปาก ใบหน้า และลิ้น
  • หายใจไม่สะดวก
  • มีปัญหาด้านการพูด
  • หายใจมีเสียงฟืดฟาด
  • ไอเรื้อรัง
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • เวียนหัว

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้คาเฟอีน

กลไกร่างกายของผู้ที่แพ้สารคาเฟอีนจะมองว่า สารคาเฟอีนที่รับเข้ามาในร่างกายเป็นตัวบุกรุก ดังนั้นเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีสารคาเฟอีนเข้ามา ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตสารอิมมูโนโกลบูลิน อี ให้ไปกระตุ้นสารฮิสตามีนให้หลั่งออกมามากขึ้น

เพื่อกำจัดโมเลกุลของสารคาเฟอีนที่ร่างกายเข้าใจผิดว่า เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดการอักเสบกับร่างกาย

การรักษาอาการแพ้คาเฟอีน

หากมีอาการแพ้คาเฟอีนเกิดขึ้น สามารถใช้ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) บรรเทาอาการได้ หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป

หากมีอาการแพ้อย่างรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการ และอาจรักษาเบื้องต้นโดยการฉีดยาอีพิเนฟริน (Epinephrine)

วิธีป้องกันอาการแพ้คาเฟอีน

ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกชนิด หรือหากไม่แน่ใจ ให้อ่านฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนทุกครั้ง

อาการข้างเคียงจากการเลิกติดคาเฟอีน

ผู้ที่มีอาการติดคาเฟอีน และต้องการเลิกอาจต้องเผชิญกับอาการข้างเคียงที่เกิดจากการเลิกคาเฟอีน โดยเฉพาะในผู้ที่เลิกแบบหักดิบ โดยอาการดังกล่าวอาจมีดังนี้

  • มือสั่น
  • ปวดศีรษะ
  • หงุดหงิดง่าย
  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย

หากคุณต้องการเลิกคาเฟอีน และมองหากิจกรรมที่มาทดแทนการบริโภคคาเฟอีน คำแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยได้

  • พักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์บ้าง
  • ออกไปเดินเล่นในช่วงพักกลางวัน
  • ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

คาเฟอีนอาจเป็นสารที่หลายคนคิดว่า ไม่น่าจะเกิดอาการแพ้ แต่หากคุณมีอาการคล้ายกับอาการแพ้คาเฟอีนเกิดขึ้น ก็ไม่ควรมองข้ามอาการเหล่านั้น และไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการที่โรงพยาบาลให้แน่ใจ

นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอมากกว่าการหันไปพึ่งสารคาเฟอีนเพื่อให้ร่างกายตื่นตัว และสามารถทำงานได้นานมากขึ้น


ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี

Scroll to Top