การติดเชื้อโดยทั่วไป เช่น การติดเชื้อของแผลผ่าตัด มักจะเกิดขึ้นที่บริเวณนั้นเพียงบริเวณเดียว ต่างจากการติดเชื้อในกระแสเลือดที่เกิดขึ้นเมื่อเชื้อเฉพาะที่เข้าไปในกระแสเลือดและกระจายไปทั่วร่างกาย
เมื่อเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) จะทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองเป็นอาการอักเสบอย่างรุนแรงของร่างกาย เช่น อุณหภูมิไม่สม่ำเสมอ (สูงไป หรือต่ำไป) รบกวนการหายใจ ร่วมกับปัญหาอื่นๆ
ปัญหาหนึ่งจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดที่มีความรุนแรงมากก็คือ ภาวะความดันโลหิตต่ำ เพราะทำให้เกิดการล้มเหลวของอวัยวะและระดับความดันโลหิตลดต่ำลง
ภาวะที่เกิดขึ้นนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการให้สารน้ำและต้องให้ยาเพื่อช่วยเพิ่มระดับความดันโลหิต
สารบัญ
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และภาวะความดันโลหิตต่ำ
แบคทีเรียมักเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือดที่พบได้บ่อย แต่ภาวะนี้ก็สามารถเกิดจากเชื้อราที่เข้าสู่กระแสเลือดได้เช่นกัน
นอกจากนั้นปัจจัยต่อไปนี้ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และภาวะความดันโลหิตต่ำจากการติดเชื้อในกระแสเลือด (Septic Shock) มากกว่าคนทั่วไปได้
- การติดเชื้อหลายตำแหน่ง
- การผ่าตัด
- การมีปัญหาด้านภูมิคุ้มกัน
- การติดยาเสพติดที่เสพโดยการฉีด
- การมีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน
- การมีโรคร้ายแรงถึงชีวิต
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อ
- การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
- ทารกแรกเกิด หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี
- การตั้งครรภ์
อย่างไรก็ตาม คนปกติที่มีสุขภาพดีและไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลยก็สามารถติดเชื้อในกระแสเลือดได้ โดยที่บางคนอาจไม่รู้ตัวว่า มีการติดเชื้อแล้วด้วยซ้ำ จนกระทั่งเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด และมีอาการรุนแรงมากขึ้น
การวินิจฉัยการติดเชื้อในกระแสเลือด
การวินิจฉัยการติดเชื้อในกระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำอาจเป็นไปได้ยาก เพราะผู้ป่วยมักมีอาการคล้ายกับการเจ็บป่วยทั่วไป เช่น ไอ มีเสมหะ หรืออาหารเป็นพิษ
ด้วยเหตุนี้แพทย์จึงมักไม่สงสัยว่า ผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดจนกว่าอาการจะแย่ลง ได้แก่ อาการสั่น คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้
การติดเชื้อในกระแสเลือดวินิจฉัยได้จากการตรวจเลือด ได้แก่ การส่งตรวจเพาะเชื้อจากเลือด และการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count: CBC) ซึ่งแพทย์มักให้ตรวจด้วยวิธีนี้เมื่อสงสัยว่า จะมีการติดเชื้อในกระแสเลือด
ขั้นตอนในการตรวจเลือด
- แพทย์สั่งเจาะเลือดและส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ใช้เวลารอผลไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยจำนวนของเม็ดเลือดขาวที่เพิ่มมากขึ้นอาจแสดงถึงการติดเชื้อได้
- เพื่อยืนยันการวินิจฉัย เลือดจะถูกนำไปเพาะเชื้อเป็นระยะเวลา 5 วัน เพื่อดูว่า มีแบคทีเรียโตขึ้นหรือไม่
- หากไม่มีการติดเชื้อ จะไม่พบแบคทีเรียในผลเพาะเชื้อจากเลือด
- หากพบแบคทีเรียจะมีการตรวจความไว ซึ่งเป็นการตรวจสอบต่อไปว่า เป็นการติดเชื้อจากแบคทีเรียชนิดใด และควรใช้ยาปฏิชีวนะตัวใดในการรักษา
ภาวะความดันโลหิตต่ำจากการติดเชื้อในกระแสเลือด คืออะไร
การติดเชื้อในกระแสเลือดสามารถทำใหเกิดภาวะที่อันตรายอย่างความดันโลหิตต่ำ และทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
อาการของภาวะความดันโลหิตต่ำจากการติดเชื้อในกระแสเลือดสังเกตได้ ดังนี้
- สับสน
- ได้รับออกซิเจนไม่พอ (วินิจฉัยได้จากเครื่องมือพิเศษ หรือการส่งตรวจวิเคราะห์ก๊าซในหลอดเลือดแดง: ABG)
- ความดันโลหิตต่ำ
- ชีพจรเต้นเร็ว
- หายใจเร็ว
- ปัสสาวะออกน้อย
ภาวะความดันโลหิตต่ำจากการติดเชื้อในกระแสเลือดอาจนำไปสู่ภาวะอวัยวะล้มเหลว และความดันโลหิตต่ำอย่างรุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องมีการให้ยาทางเส้นเลือด ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ และยาเพิ่มความดันโลหิต
ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำจากการติดเชื้อในกระแสเลือดมักไม่รู้สึกตัวและจะได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ รวมทั้งใช้เครื่องช่วยหายใจด้วย เนื่องจากภาวะความดันโลหิตต่ำจากการติดเชื้อในกระแสเลือดนั้นเป็นเรื่องรุนแรงมาก และอาจทำให้เสียชีวิตได้ แม้ว่าจะมีการรักษาอย่างทันท่วงที และเหมาะสมแล้วก็ตาม
การรักษาภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
การติดเชื้อในกระแสเลือดมักรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากผู้ป่วยบางรายที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดอาจมีภาวะความดันโลหิตต่ำตามมาได้ ดังนั้นการเฝ้าระวังอาการที่บ่งบอกว่าไม่มีการตอบสนองต่อการรักษา หรือมีอาการที่แย่ลงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือด
วิธีการป้องกันการติดเชื้อตามมาตรฐาน ได้แก่
- การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการควรปรึกษาแพทย์
- การดูแลทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี
- การล้างมือบ่อยๆ ทุกครั้งก่อนและหลังทำแผล
- หากมีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ควรควบคุมโรคให้อยู่ในกณฑ์ปลอดภัย
- ไม่ใช้สารเสพติด
การติดเชื้อในกระแสเลือดในบางกรณีอาจมีความรุนแรงจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี