จากการสำรวจสถิติการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (Heart Attack) ในแต่ละปี พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากการที่หัวใจวายเฉียบพลันในฤดูหนาวจำนวนไม่น้อย ส่วนมากมักเป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังซึ่งร่างกายปรับตัวไม่ทัน รวมถึงผู้ขาดแคลนเครื่องกันหนาว
บทความนี้จะพาไปหาคำตอบว่า เพราะอะไรภาวะหัวใจวายเฉียบพลันจึงมีโอกาสเกิดในฤดูหนาวได้มากกว่าฤดูอื่นๆ และควรหาแนวทางป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับตนเอง หรือคนที่คุณรัก
สารบัญ
สาเหตุที่ทำให้หัวใจวายเฉียบพลันมักเกิดขึ้นในฤดูหนาว
การสัมผัส หรืออยู่ท่ามกลางอุณหภูมิต่ำเป็นเวลานานๆ
ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตหลายอย่าง ได้แก่ ระดับน้ำตาลสะสมในเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงกว่าปกติ เลือดมีความหนืดมากยิ่งขึ้น รวมทั้งหลอดเลือดแดงจะมีการหดตัวในช่วงที่อากาศเย็น ทำให้การลำเลียงเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจยากมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้หัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย และส่งกลับไปฟอกยังปอดให้ได้ปริมาณตามปกติ ส่งผลให้ความดันโลหิตและปริมาณโปรตีนในเลือดสูงขึ้นได้
การที่ปริมาณโปรตีนในเลือดสูงขึ้นนี้เป็นสาเหตุให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มๆ และขัดขวางการลำเลียงเลือดไปยังหัวใจและส่วนต่างๆ ของร่างกายได้
มีรายงานว่า อุณหภูมิที่ลดต่ำลงทุก 1 องศาเซลเซียส สามารถเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันได้ถึง 2%
หลักๆ แล้วผู้ที่เป็นโรคหัวใจและผู้ที่อยู่ในภาวะอุณหภูมิภายในร่างกายต่ำ (Hypothermia) มีโอกาสเสี่ยงหัวใจวายมากที่สุดในช่วงที่อากาศเย็น แต่ผู้ที่ไม่เป็นโรคเหล่านี้ก็มีโอกาสเสี่ยงหัวใจวายได้เช่นกัน
คำแนะนำ:
- ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เช่น หมวกไหมพรม ผ้าพันคอ เสื้อกันหนาว ถุงมือ ถุงเท้า รองเท้าโดยเฉพาะเวลาที่ต้องอยู่นอกอาคารบ้านเรือน หรือเดินทางไปในบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็น
- หากบ้านมีช่องลม หรือหน้าต่างมาก ควรปิดบางส่วนเพื่อป้องกันความหนาวเย็น
- ควรรับประทานอาหารอุ่นๆ ร้อนๆ รวมทั้งอาหารที่ปรุงด้วยสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ขิง ข่า กะเพรา โหระพา ใบมะกรูด พริกไทย เพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่นภายในร่างกาย ลดการทำงานของหัวใจ และป้องกันไม่ให้เส้นเลือดแดงหดตัว
การรับแสงแดดไม่เพียงพอ
นักวิจัยหลายท่านให้เหตุผลว่า การที่สถิติโรคหัวใจวายสูงมากในฤดูหนาวเมื่อเทียบกับสถิติในฤดูร้อน เพราะในช่วงหน้าหนาวมีแสงแดดน้อย อีกทั้งดวงอาทิตย์ก็ตกเร็วกว่าช่วงฤดูร้อน
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีจากแสงแดด (วิตามินดี 3) ไม่เพียงพอ จึงทำให้มีโอกาสเกิดอาการหัวใจวายได้มากกว่าฤดูอื่นๆ นั่นเอง
ประโยชน์ของวิตามินดีในแสงแดด (วิตามินดี 3)
- ช่วยเสริมสร้างระบบการต้านการอักเสบที่เซลล์ได้
- ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
- ช่วยยับยั้งการแข็งตัวของหลอดเลือด
- ช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดบีบตัว
- ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีรายงานว่า ผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำกว่า 15 ng/ml จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น 2 เท่า
- ช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนินออกมามากขึ้น มีผลช่วยลดความเครียด และอาการซึมเศร้าได้
กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดีมากกว่าคนทั่วไปได้แก่ ผู้สูงอายุ คนอ้วน ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง กลุ่มคนทำงานที่ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่อยู่แต่ในที่ทำงาน
คำแนะนำ:
- ปรับไลฟ์สไตล์ทั้งการทำงานและการออกกำลังกายให้มีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดยามเช้า (06.00-09.00 น.) และบ่าย (15.00-17.00 น.) มากยิ่งขึ้น อย่างน้อย 15 นาทีต่อวัน เนื่องจากช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่แดดยังไม่แรง ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น กลุ่มปลาที่มีไขมันสูง ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ไข่ หอยนางรม
- รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของวิตามินดี (Vitamin D Supplementation)
- ควรตรวจเช็คปริมาณวิตามินดีอย่างน้อยปีละครั้ง เพราะหากมีปริมาณวิตามินดีต่ำเกินไปจะได้รีบหาทางแก้ไข ระดับวิตามินปกติคือ 30-100 ng/ml
เป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง จะมีความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันได้มากกว่าคนทั่วไป ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
- โรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว เส้นเลือดขาดความยืดหยุ่นจึงบีบตัวได้ไม่ดีนัก
- โรคความดันโลหิตสูง ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้น หรือหัวใจโต หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง และเสี่ยงหัวใจวายได้
- โรคไขมันในเลือดสูง ทำให้มีโอกาสอุดตัน หรือตีบที่หลอดเลือดหัวใจเฉียบพลันได้
คำแนะนำเพื่อป้องกันหัวใจวายเฉียบพลันในฤดูหนาว
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ควรไปพบแพทย์ตามนัด รับประทานยาอย่างเคร่งครัด และควบคุมโรคให้ดี ไม่ให้อาการกำเริบ
- ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นด้วยการสวมเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ สวมหมวกไหมพรม สวมถุงมือ ถุงเท้า รองเท้า เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย โดยเฉพาะเวลาที่อยู่นอกอาคารบ้านเรือน หรือเมื่อเดินทางไปยังสถานที่ที่มีอากาศหนาวเย็น
- ทาโลชั่นเพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำ
- ควรรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นภายในร่างกาย เพื่อช่วยลดการทำงานของหัวใจและป้องกันไม่ให้เส้นเลือดแดงหดตัว เช่น อาหารอุ่นร้อน อาหารต้ม อาหารที่มีสมุนไพร หรือเครื่องเทศที่มีฤทธิ์ร้อนเป็นส่วนประกอบ เช่น ไก่ผัดขิง ผัดกระเพรา น้ำขิง ปลาผัดพริกไทยดำ
- รับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันและแคลอรีสูง อาหารเค็มจัด อาหารหวานจัด อาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูป
- ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อบรรเทาความหนาวเย็น เพราะอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้
- เตรียมห้องนอนและบ้านเรือนให้อบอุ่น ไม่เปิดหน้าต่างให้ลมพัดผ่านมากจนเกินไป
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที
- รับแสงแดดยามเช้า (06.00-09.00 น.) และบ่าย (15.00-17.00 น.) ให้เพียงพอในแต่ละวัน
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- หากนอนกรนรุนแรง ควรระมัดระวังภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- หลีกเลี่ยงความเครียด ความกดดัน หรือรู้จักวิธีผ่อนคลายความเครียด ความกดดัน
- ไม่สูบบุหรี่
- หมั่นสังเกตความผิดปกติของตนเองอยู่เสมอ อย่านิ่งนอนใจ เช่น หากมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจหอบ เหงื่อออกมาก ตัวเย็น ควรต้องไปพบแพทย์ อย่าปล่อยทิ้งไว้คิดว่า “เดี๋ยวก็หาย”
- หมั่นตรวจสุขภาพทั่วไปและสุขภาพหัวใจเป็นประจำหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือหากสามารถตรวจสุขภาพประจำปีได้ยิ่งดี
จริงๆ แล้วอาการหัวใจวายเฉียบพลันสามารถมาเยือนได้ทุกฤดู เพียงแต่ในฤดูหนาวจะมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรดูแลหัวใจตั้งแต่วันนี้ไม่ต้องรอให้ถึงฤดูหนาวแล้วจึงหันมาดูแล เพราะหากมีแนวโน้มจะมีอาการ หรือความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจอยู่แล้วจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี