ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้ช่วงอายุในการตั้งครรภ์ของคนส่วนใหญ่เขยิบจากเดิมไปมาก อายุเลยวัยไปแล้ว แต่อยากมีลูก คุณควรเตรียมตัวอย่างไรกันบ้าง เพื่อให้การตั้งครรภ์เป็นไปด้วยความราบรื่น บทความนี้มีคำตอบ
มีคำถาม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ
สารบัญ [show]
1. ตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์
อายุไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลข แต่มาพร้อมกับความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ที่มากขึ้นด้วย สิ่งสำคัญแรก ๆ ที่ควรทำเลย คือ การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ เพราะแม้ภายนอกจะดูสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีโรคภัยใด ๆ แต่ก็ใช่ว่าภายในเราไม่เสี่ยง
การตรวจสุขภาพจะช่วยค้นหาความเสี่ยงหลายด้านที่มีผลต่อการตั้งครรภ์ ทั้งจากฝั่งคุณพ่อและคุณแม่ โดยแนะนำให้ตรวจก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน เพื่อเตรียมความพร้อมของสุขภาพ ถ้าตรวจสุขภาพแล้วพบปัญหา จะได้รักษาให้อยู่ในระดับปกติหรือปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์
รายการตรวจสุขภาพก่อนมีบุตรที่มักต้องตรวจ คือ การตรวจร่างกายทั่วไป การตรวจภายในดูความสมบูรณ์ของมดลูกและรังไข่ การตรวจเลือด การคัดกรองโรคทางพันธุกรรมและโรคอื่น ๆ เพื่อป้องกันการส่งต่อโรคไปยังทารก
2. ฉีดวัคซีนที่จำเป็น
การฉีดวัคซีนจะช่วยป้องกันโรค ทั้งก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังจากตั้งครรภ์ โดยวัคซีนบางชนิดจำเป็นต้องฉีดก่อนตั้งครรภ์ และอาจต้องรอระยะหนึ่งถึงเริ่มมีลูกน้อยได้ เช่น วัคซีนป้องกันโรคหัด โรคหัดเยอรมัน โรคคางทูม โรคอีสุกอีใส โรคไวรัสตับอักเสบเอและบี
3. ตรวจสุขภาพช่องปาก
นอกจากตรวจสุขภาพร่างกายแล้ว การตรวจสุขภาพช่องปากก่อนตั้งครรภ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะโรคเหงือกและฟันมีความสัมพันธ์กับการที่แม่ขาดสารอาหาร ทำให้ลูกน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงให้คุณแม่เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด หรือการติดเชื้ออาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้
คุณแม่ที่วางแผนตั้งครรภ์ควรไปตรวจสุขภาพช่องปากและฟันกับทันตแพทย์ก่อนเริ่มตั้งครรภ์ ประมาณ 5 เดือน ซึ่งจะช่วยเผื่อเวลาสำหรับการรักษาฟันหรือเหงือกที่มีปัญหาไปด้วย
4. เสริมกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์
กรดโฟลิกมีส่วนช่วยสำคัญหลายอย่างในการตั้งครรภ์ เช่น สร้างตัวอ่อนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการแบ่งเซลล์ ลดความผิดปกติของระบบประสาท ช่วยซ่อมแซมพันธุกรรม สร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวในไขกระดูกของทารกในครรภ์
คุณแม่ควรเสริมกรดโฟลิกอย่างน้อย 400 ไมโครกรัมต่อวัน ตั้งแต่วางแผนมีบุตร หรือก่อนตั้งครรภ์ 1–3 เดือน ไปจนถึงอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ เพราะช่วงอายุครรภ์ 3–4 สัปดาห์ ทารกจะมีพัฒนาการของสมองและระบบประสาทอย่างต่อเนื่อง ถ้ารอตั้งครรภ์แล้วอาจช้าเกินไป
5. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
คุณแม่ที่เตรียมตั้งครรภ์รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นโปรตีนจากหลายแหล่ง ทั้งเนื้อสัตว์ นม ไข่ ธัญพืช เพิ่มอาหารที่มีโอเมก้า 3 และดีเอชเอสูง ซึ่งพบมากในปลาทะเลน้ำลึก และปลาน้ำจืดหลายชนิด เช่น ปลากะพง ปลาช่อน ปลาแซลมอน โดยให้รับประทาน 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์
มีคำถาม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ
รวมถึงให้รับประทานผักผลไม้ให้ครบ 5 สี เพื่อให้ได้เกลือแร่และวิตามินที่ครบถ้วน ซึ่งช่วยในการขับถ่าย รู้สึกสดชื่น และควรหลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป อาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันมากเกินไป
6. ออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักตัว
หลายคนไม่ทราบว่าน้ำหนักตัวมีผลต่อการตั้งครรภ์ ผู้หญิงน้ำหนักตัวมากมักตั้งครรภ์ยากกว่าผู้หญิงน้ำหนักปกติถึง 2 เท่า เพราะไขมันในร่างกายมีผลต่อการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไป ทำให้กระทบต่อการตกไข่
รวมถึงน้ำหนักตัวที่มากยังเสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ อย่างโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และครรภ์เป็นพิษ ซึ่งเป็นอันตรายทั้งตัวคุณแม่และทารก เช่น ทารกตัวโต ทารกพิการแต่กำเนิด คลอดยากจนอาจต้องผ่าตัดคลอดแทน
ส่วนน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์น้อยเกินไป อาจส่งผลให้ทารกมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย การเจริญเติบโตช้า และเพิ่มความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด จึงควรออกกำลังกายเป็นประจำ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
7. เลี่ยงแอลกอฮอล์ บุหรี่ คาเฟอีน
การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่และการใช้สารเสพติด ล้วนกระทบต่อการตั้งครรภ์ ทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการแท้ง ทารกเกิดปัญหาด้านพัฒนาการทางสมองและสติปัญญา ทารกพิการแต่กำเนิด หรือเสียชีวิตในครรภ์ได้
คนที่ดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มคาเฟอีนเป็นประจำอยู่แล้ว แนะนำให้ดื่มน้อยลง ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบกับกาแฟ 1–2 แก้วต่อวัน เพราะการดื่มมากไปจะทำให้นอนไม่หลับแล้ว ร่างกายขับน้ำออกมามาก ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น หรือเกิดปัญหาท้องผูกตามมา
8. ดูแลสุขภาพจิตใจ ฝึกคิดบวกอยู่เสมอ
อารมณ์ของคุณแม่มีผลต่อการตั้งครรภ์ คุณแม่ที่อารมณ์ดีมักส่งผลให้ลูกน้อยมีภาวะอารมณ์ที่มั่นคง เป็นเด็กอารมณ์ดี เลี้ยงง่าย การทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่วิตกกังวลหรือเคร่งเครียดมากเกินไป เป็นสิ่งที่คุณแม่ควรฝึกทำอยู่เสมอ
9. ระวังการใช้ยา
ยาหลายชนิดส่งผ่านจากแม่และมีผลต่อทารกในครรภ์ จึงไม่ควรซื้อยารับประทานเอง และยาบางชนิดอาจลดโอกาสการตั้งครรภ์ ถ้าคุณแม่เคยคุมกำเนิดมาก่อน อาจต้องรอเวลาประมาณ 2–3 เดือน ถึงเริ่มมีการตกไข่เป็นปกติอีกครั้ง
ทั้งนี้ การหยุดรับประทานยาคุมกำเนิดล่วงหน้าก็มีส่วนช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น ทำให้ตัวอ่อนฝังตัวได้ง่ายขึ้น คุณแม่ที่วางแผนจะมีน้อง ควรปรึกษาคุณหมอแต่เนิ่น ๆ เพื่อตรวจดูว่ายาชนิดไหนส่งผลกระทบหรือไม่
10. สำรวจโรงพยาบาลฝากครรภ์
เมื่อเตรียมตัวให้พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจแล้ว ขั้นถัดไปอย่าลืมตระเวนดูโรงพยาบาลสำหรับฝากครรภ์ล่วงหน้าไว้หลาย ๆ แห่ง คุณแม่สามารถพิจารณาจากความสะดวก ค่าใช้จ่าย การเดินทาง หรือแม้แต่สูติแพทย์และกุมารแพทย์ที่คุณแม่วางใจ
อายุมากไม่ใช่อุปสรรค อยากมีน้องต้องเตรียมพร้อมเรื่องสุขภาพ ดูโปรตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ โปรฝากครรภ์และคลอดบุตร คลิกเลย จองผ่าน HDmall.co.th รับส่วนลดพิเศษไปอีกขั้น
มีคำถาม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ