gestational diabetes care 1

เบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ คืออะไร? ควรกินอาหารอะไรเพื่อเสริม

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) สามารถเกิดขึ้นได้ทุกระยะของการตั้งครรภ์ เป็นหนึ่งในโรคที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด เพราะสามารถส่งผลเสียต่อมารดา และทารกในครรภ์ได้ หญิงสาวที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ หรือกำลังตั้งครรภ์อยู่ ควรศึกข้อมูลเกี่ยวกับโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ตั้งแต่สาเหตุ วิธีการรักษา วิธีการป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค และสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ด้วยตนเองอย่างถูกต้อง

มีคำถามเกี่ยวกับ เบาหวานขณะตั้งครรภ์? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

สารบัญ [show]

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์คืออะไร

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) เป็นโรคเบาหวานชนิดหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกระยะของการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่มักถูกวินิจฉัยในช่วงสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์ เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ได้เพียงพอ สามารถส่งผลเสียต่อมารดา และทารกได้

อย่างไรก็ตาม โรคชนิดนี้สามารถป้องกันได้ หากเตรียมรับมือตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ หรือเมื่อเกิดโรคในขณะที่ตั้งครรภ์แล้ว หากเข้ารับการรักษากับแพทย์อย่างถูกวิธี ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้กลับมาเป็นปกติหลังคลอด ป้องกัน หรือชะลอการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ก็สามารถทำได้เช่นกัน

สาเหตุของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์เกิดขึ้น เมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์
  • อินซูลิน คือฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน มีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้เป็นแหล่งพลังงาน และควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
  • ระหว่างการตั้งครรภ์ รกจะมีการผลิตฮอร์โมนบางชนิดขึ้น เช่น human placental lactogen (hPL) ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทำให้ร่างกายไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกภาวะนี้ว่า “ภาวะดื้อต่ออินซูลิน”  เพื่อให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงพอที่จะไปเลี้ยงทารกในครรภ์
    หญิงตั้งครรภ์ทุกคนจะมีภาวะดื้อต่ออินซูลินในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์  แต่ส่วนใหญ่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาได้ แต่บางรายที่ไม่สามารถทำได้ จะทำให้เกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ตามมา
  • หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกิน หรืออ้วนมาก่อน จะมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เพราะมีภาวะดื้อต่ออินซูลินก่อนที่จะตั้งครรภ์อยู่แล้ว  การตั้งครรภ์จะทำให้น้ำหนักตัวของหญิงคนนั้นมากกว่าเดิม จึงยิ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมในการเกิดโรค
  • หากประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน จะเพิ่มโอกาสที่หญิงตั้งครรภ์เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

อาการของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

โดยทั่วไป โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะไม่มีอาการใดๆ แต่สามารถสังเกตุอาการได้ คล้ายกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ดังนี้

  • รู้สึกหิว
  • กระหายน้ำมากกว่าปกติ
  • ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
  • รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย

ผลของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ต่อทารก

  • ทารกคลอดก่อนกำหนด
  • น้ำหนักทารกแรกคลอดมากกว่าปกติที่ควรจะเป็น เช่น ทารกมีตัวใหญ่มากขึ้นกว่าปกติ ทำให้คลอดยาก หรืออาจเกิดอันตรายขณะคลอด
  • ทารกมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำทันทีหลังคลอด
  • ทารกมีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ
  • ทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์ได้
  • ทารกที่คลอดจากมารดาที่มีภาวะนี้จะมีโอกาสเป็นโรคอ้วน และอาจเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคตได้

ผลของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ต่อมารดา

  • หญิงที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จะมีโอกาสเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (Pre-eclampsia) ได้ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีความดันโลหิตสูงร่วมกับมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะมากกว่าปกติ พบในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์
    ภาวะครรภ์เป็นพิษก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อมารดา และทารก วิธีเดียวที่จะหายจากภาวะครรภ์เป็นพิษ คือการคลอดทารกออกมา
    หากคุณมีภาวะครรภ์เป็นพิษ และมีอายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ แพทย์อาจพิจารณาให้คลอดก่อนกำหนด แต่ถ้าหากมีอายุครรภ์ไม่ถึง 37 สัปดาห์ แพทย์จะพิจารณาทางเลือกอื่นในการช่วยให้ทารกมีพัฒนาที่เป็นปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่ทารกจะคลอด
  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะเพิ่มความเสี่ยงทำให้ต้องการการผ่าท้องคลอดมากขึ้น เพราะว่าทารกอาจตัวใหญ่เกินกว่าจะคลอดปกติ
  • เมื่อเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จะมีโอกาสพัฒนาเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ในอนาคต
  • การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น เบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy) โรคหัวใจ โรคไต การทำลายของเส้นประสาท  เป็นต้น

เวลาที่ควรตรวจคัดกรองโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

  • การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรทำในช่วงอายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์
  • หากมีความเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แพทย์จะตรวจคัดกรองโรคเบาหวานตั้งแต่ครั้งแรกที่มาฝากครรภ์

แพทย์จะวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์อย่างไร

แพทย์จะนำเลือดไปตรวจค่าระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ โดยจะมีการตรวจอยู่สองแบบ คือ แบบ 1 ขั้นตอน และ แบบ 2 ขั้นตอน ดังนี้

แบบ 1 ขั้นตอน ประกอบด้วยการทดสอบด้วยน้ำตาลกลูโคสขนาด 75 กรัม (75-g oral glucose tolerance test)

แพทย์จะให้ผู้ป่วยอดอาหารเช้ามาก่อน และเจาะเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาล จากนั้นให้ดื่มสารละลายที่มีน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม และเจาะเลือดหลังจากดื่มไปแล้ว 1 และ 2 ชั่วโมงตามลำดับ

แบบ 2 ขั้นตอน ประกอบด้วยการคัดกรองด้วยน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม และกลูโคส 100 กรัม

  1. การทดสอบด้วยน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม  (Glucose Challenge Test)
    • เป็นการคัดกรองเบื้องต้น ในการทดสอบนี้ แพทย์จะให้คุณดื่มสารละลายน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม และเจาะเลือดหลังรับประทาน 1 ชั่วโมงเพื่อไปตรวจ  โดยไม่ต้องงดน้ำและอาหาร
    • ถ้าระดับน้ำตาลที่ตรวจพบสูงกว่า 140 mg/dL  คุณจะต้องได้รับการตรวจซ้ำโดยวิธีการทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคส ซึ่งการทดสอบนี้จะต้องอดอาหารก่อนการตรวจ (มาตรวจในวันอื่น)
    • ถ้าระดับน้ำตาลที่ตรวจมีค่าตั้งแต่ 200 mg/dL  คุณอาจกำลังเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 อยู่แล้ว (overt diabetes mellitus)
  2. การทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคส (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT)
    • การทดสอบนี้จะวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากที่อดอาหารมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
    • วิธีการตรวจ แพทย์จะเจาะเลือดก่อน 1 หลอดแรก เพื่อหาระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร
    • จากนั้นจะให้รับประทานสารละลายน้ำตาลกลูโคส 100 กรัม และเจาะเลือดซ้ำที่ 1 2 และ 3 ชั่วโมง หลังรับประทานน้ำตาลเข้มข้นนี้ เพื่อนำผลระดับน้ำตาลในเลือดทั้งหมดมาประกอบการวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
    • ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่สูงอย่างน้อย 2 ค่าขึ้นไปจากทั้งหมด (ระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร และระดับน้ำตาลหลังรับประทานน้ำตาลกลูโคสที่ 1 2 และ 3 ชั่วโมง) จะถือว่าเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์  ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้อธิบายผลการทดสอบทั้งหมดกับผู้ป่วย
    • บางครั้งแพทย์อาจพิจารณาให้ตรวจความทนต่อน้ำตาลกลูโคสเลย โดยไม่จำเป็นต้องทดสอบด้วยน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม

ปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

  • มีน้ำหนักเกิน
  • เคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มาก่อนในครรภ์ก่อนหน้า
  • ครอบครัวเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • มีภาวะก่อนเป็นเบาหวาน ซึ่งหมายถึงมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ไม่สูงพอที่จะวินิจฉัยว่า เป็นโรคเบาหวาน
  • เป็นโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS)

วิธีลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

หากคุณกำลังวางแผนตั้งครรภ์ แต่มีน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ด้วยการลดน้ำหนักส่วนเกิน และเพิ่มการออกกำลังกายก่อนที่จะตั้งครรภ์ เพื่อทำให้ร่างกายสามารถนำอินซูลินไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดอยู่ในระดับปกติ

หากคุณตั้งครรภ์แล้ว อย่าพยายามที่จะลดน้ำหนักทันที เพราะว่าคุณจะมีน้ำหนักเพิ่มขณะตั้งครรภ์อยู่แล้ว เพื่อให้ทารกมีสุขภาพที่แข็งแรง อย่างไรก็ตาม หากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์นั้นมากและเร็วเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวว่า น้ำหนักที่ควรจะเพิ่มขณะตั้งครรภ์ควรเป็นเท่าใด รวมถึงวิธีการออกกำลังกายระหว่างการตั้งครรภ์ใดที่เหมาะสมสำหรับตนเอง

วิธีรักษาโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

การรักษาโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะมุ่งไปที่การควบคุมระดับกลูโคสในเลือดจากอาหาร ด้วยการออกกำลังกาย และการรับประทานยา

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีความคล้ายกับ เบาหวานประเภทที่ 2 เพราะจะเกิดขึ้นเมื่อตับ กล้ามเนื้อ และ เซลล์ไขมันตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดี (อินซูลิน คือฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมกลูโคสในเลือด) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อตอนตั้งครรภ์เท่านั้น

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งทำให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดที่สูง และถ้าหากถูกปล่อยเอาไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจจะเป็นอันตรายต่อมารดาและบุตร ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้  อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 ให้กับทั้งสองคนในอนาคตอีกด้วย

หัวใจหลักของการรักษาโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คือการควบคุมระดับกลูโคสในเลือดอย่างเข้มงวด โดยให้เปลี่ยนการใช้ชีวิตการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย บางครั้งอาจจะต้องใช้ยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยถ้าหากจำเป็น

อาหารที่เหมาะสำหรับสตรีที่ป่วยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จะเน้นไปที่อาหารที่มีไฟเบอร์สูงและสารอาหารสำคัญอื่นๆ ที่มีปริมาณไขมันและแคลอรี่ต่ำ ซึ่งได้แก่ ผัก ผลไม้ และธัญพืชขัดสีน้อย (Whole grains) รวมถึงหลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตขัดสีต่างๆ และน้ำตาลด้วย

นอกจากนี้จะมีอาหารพิเศษเพื่อสุขภาพ โดยมีนักโภชนาการเป็นผู้แนะนำ รวมถึงกำหนดให้มีการออกกำลังกาย ตามที่ The American Diabetes Association (ADA) ได้รายงานไว้

วารสาร Reviews in Obstetrics and Gynecology ได้รายงานเพิ่มเติมเอาไว้ว่า อาหารที่ช่วยให้ผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ควบคุมระดับกลูโคสในเลือดได้ดีที่สุด คืออาหารที่ 33%-40% ของแคลอรี่มาจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน 35%-40% ของแคลอรี่มาจากไขมัน และ 20% มาจากโปรตีน ทั้งนี้ การกินอาหารมื้อเล็กๆ ตลอดวันก็สามารถช่วยควบคุมระดับกลูโคสให้คงที่ได้

การรักษาโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ด้วยการออกกำลังกาย

โดยปกติแล้ว การออกกำลังกายมีความสำคัญมากในการช่วยควบคุมระดับกลูโคสในเลือด

มีคำถามเกี่ยวกับ เบาหวานขณะตั้งครรภ์? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

The Centers for Disease Control and Prevention ได้ระบุไว้ว่า ผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ควรออกกำลังกายแบบหนักปานกลางถึงหนักมาก อย่างน้อย 30 นาทีต่อวันเป็นประจำ 5 วันต่อสัปดาห์อาทิ การเดินเร็ว การว่ายน้ำ การเต้นแอโรบิคที่มีแรงกระแทกต่ำ หรือการเล่นกับเด็กๆ และควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีอันตรายสูง เช่น บาสเกตบอล และฟุตบอล เพราะมีโอกาสที่ลูกบอลจะกระแทกท้อง การขี่ม้า และการเล่นสกีลงเขา เป็นต้น

ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ คุณควรจะหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องใช้หลัง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดแรงกดบริเวณเส้นเลือดบางเส้น และทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกได้โดยไม่ตั้งใจ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการยกน้ำหนัก การวิ่งเหยาะๆ และการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูกระหว่างตั้งครรภ์จะดีที่สุด

การสังเกตการณ์ระดับกลูโคสในเลือด

ไม่ว่าจะเป็นเบาหวานประเภทใด คุณควรจะหมั่นตรวจระดับกลูโคสในเลือดด้วยเครื่องตรวจวัดระดับกลูโคส ซึ่งหากคุณเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คุณควรตรวจระดับกลูโคสในเลือดในทุกๆ เช้า เป็นอันดับแรก จากนั้นให้ตรวจทุกๆ 1-2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารในแต่ละมื้อของทุกๆ วัน

สมาคม ADA ได้ระบุเอาไว้ว่า ระดับกลูโคสในเลือดที่เหมาะสมควรจะมีค่าดังนี้

  • 95 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตร (mg/dL)หรือต่ำกว่า เมื่อตรวจวัดหลังจากคุณตื่นนอน และก่อนรับประทานอาหาร
  • 140 mg/dL หรือต่ำกว่า เมื่อตรวจวัดหลังรับประทานอาหารแล้ว 1 ชั่วโมง
  • 120 mg/dL หรือต่ำกว่า เมื่อตรวจวัดหลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชั่วโมง

แม้ว่าคุณจะควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อควบระดับกลูโคสในเลือดแล้ว แต่หากตรวจวัดสังเกตการณ์แล้วพบว่าระดับกลูโคสในเลือดไม่ได้อยู่ในค่าที่เหมาะสม คุณอาจจะต้องใช้ยาร่วมด้วย เพื่อช่วยลดระดับกลูโคสในเลือด

การให้ยาสำหรับโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

การฉีดอินซูลินเป็นการให้ยาแบบมาตรฐานสำหรับโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งแพทย์อาจจะสั่งอินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็ว หรืออินซูลินที่ออกฤทธิ์นาน (Basal) โดยจะให้ในช่วงก่อนนอนหรือตอนตื่นนอนในตอนเช้า

ยาทางเลือกนอกจากอินซูลินแล้ว แพทย์อาจจะสั่งยาสำหรับรับประทาน เช่น Glyburide และ Metformin โดยได้รับรองแล้วว่ายาทั้ง 2 ตัวนั้นมีความปลอดภัยในการใช้สำหรับโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

 

Q&A

จะรู้ได้อย่างไรว่าระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดอยู่ในช่วงเป้าหมายที่ควรจะเป็น

แพทย์จะแนะนำให้ใช้เครื่องตรวจวัดน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองที่บ้าน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะเจาะปลายนิ้วมือ เพื่อให้ได้เลือดปริมาณเล็กน้อยสำหรับตรวจวัดระดับน้ำตาล สามารถตรวจได้เป็นประจำทุกวัน ซึ่งระดับน้ำตาลในเลือดเป้าหมายที่แนะนำในหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คือ

  • ก่อนมื้ออาหาร ก่อนนอน และระหว่างกลางคืน: 95 mg/dL หรือน้อยกว่า
  • 1 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร: 140 mg/dL หรือน้อยกว่า
  • 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร: 120 mg/dL หรือน้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ถึงค่าเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล

ควรจดบันทึกผลระดับน้ำตาลในเลือด และนำไปให้แพทย์ดูทุกครั้งที่เข้าตรวจ เพื่อให้แพทย์สามารถตัดสินใจได้ว่า วิธีการรักษาเหมาะสมกับผู้ป่วยหรือไม่

จะรักษาโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้อย่างไร ถ้าการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายไม่เพียงพอ

ถ้าหากปฏิบัติตามโปรแกรมการรับประทานอาหาร และออกกำลังกายแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอที่จะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วงเป้าหมายได้ อาจจำเป็นต้องได้รับยาฉีดอินซูลิน

ยาฉีดอินซูลินไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และเป็นยาทางเลือกแรกสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

หลังคลอดทารก จะรู้ได้อย่างไรว่า ป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่

ควรตรวจซ้ำเพื่อยืนยันภายในระยะเวลาไม่เกิน 12 สัปดาห์หลังคลอดลูก ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดยังคงสูงอยู่ อาจเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2

ถ้าหากผลการตรวจอยู่ในระดับปกติ ก็ยังถือว่า มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคตได้อยู่ ดังนั้น ควรได้รับการตรวจซ้ำทุก 3 ปี เพื่อคัดกรองการเป็นโรคเบาหวานในอนาคต

จะป้องกันหรือชะลอการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคตได้อย่างไร

คำแนะนำต่อไปนี้ จะช่วยป้องกันหรือชะลอการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคตได้ หากเคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มาก่อน

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อควบคุมน้ำหนัก
  • ให้นมบุตรด้วยตัวเอง การให้นมจะช่วยให้เผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น
  • หากผลตรวจมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานในอนาคต และคุณกำลังมีภาวะน้ำหนักเกิน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณน้ำหนักที่ควรลดลง เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว

จะดูแลลูกให้มีสุขภาพที่แข็งแรงได้อย่างไร

คุณสามารถดูแลให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรงได้ โดยวิธีดังนี้

  • ให้ลูกเคลื่อนไหวร่างกาย และออกกำลังกายให้เหมาะสมตามวัย
  • จำกัดเวลาในการดูโทรทัศน์ เล่นเกม การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
  • ให้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานตามวัย

การปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นจะช่วยให้ครอบครัวของคุณมีสุขภาพที่ดี ช่วยลดความเสี่ยงของลูกในการเกิดภาวะอ้วน และการเป็นโรคเบาหวานในอนาคต


เปรียบเทียบราคา แพ็กเกจตรวจเบาหวาน

มีคำถามเกี่ยวกับ เบาหวานขณะตั้งครรภ์? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ