อาการแพ้ยาและผลข้างเคียงจากยา เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังการใช้ยาเหมือนกัน ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นภาวะเดียวกัน ความจริงแล้ว สองภาวะมีความต่างกัน ทั้งอาการและความรุนแรงที่เกิดขึ้น
มาทำความรู้จักกับอาการแพ้ยาและผลข้างเคียงจากยาให้ชัดเจนขึ้น พร้อมวิธีรับมือเบื้องต้น เพื่อความปลอดภัยจากการใช้ยากัน
สารบัญ
ผลข้างเคียงจากยา (Side effects) คืออะไร
ผลข้างเคียงจากยา คือ อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการใช้ยาในปริมาณปกติ เนื่องจากการตอบสนองของร่างกายต่อยา ไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน อาการมีตั้งแต่เล็กน้อยถึงรุนแรง ขึ้นอยู่กับชนิดยา ปริมาณยา อายุและสุขภาพผู้ใช้ การใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์อื่นร่วมด้วย
ผลข้างเคียงจากยาเกิดขึ้นได้หลังใช้ยาครั้งแรก อาการมักไม่เป็นอันตราย และค่อย ๆ ดีขึ้นได้หลังหยุดใช้ยา เช่น ปากแห้ง ปวดท้อง ท้องเสีย ง่วงซึม ปวดกล้ามเนื้อ ปัสสาวะบ่อย บางกรณี ตัวยาอาจส่งผลต่ออวัยวะภายในอย่างรุนแรง จนเสี่ยงเสียชีวิตได้ แต่พบได้น้อย
ยาแต่ละชนิดมีผลข้างเคียงแตกต่างกัน ก่อนใช้ยาควรอ่านฉลากยาให้ละเอียด ใช้ยาตามแพทย์หรือเภสัชกรแนะนำอย่างเคร่งครัด หากพบผลข้างเคียงจากยาหลังใช้ยา ไม่ว่าจะเป็นอาการทั่วไปที่เรื้อรังหรือรุนแรง ควรไปพบแพทย์
ผลข้างเคียงจากยาไม่จำเป็นต้องหยุดใช้ยาเสมอไป แพทย์อาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิธีกินยา หรือการปฏิบัติตัวของผู้ใช้ยาเอง เช่น ยาแก้แพ้มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอน หลังใช้ยา ควรหลีกเลี่ยงการขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล เพื่อความปลอดภัย
อาการแพ้ยา (Drug allergy) คืออะไร
อาการแพ้ยาเป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อส่วนประกอบในยาผิดปกติมากเกินไป โดยร่างกายมองว่าส่วนประกอบภายในยาเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงสร้างแอนติบอดีหรือสารภูมิคุ้มกันขึ้นมาทำลายยานั้น ๆ ทำให้เกิดเป็นอาการแพ้ยาขึ้น เช่นเดียวกับอาการแพ้อาหาร
อาการแพ้ยามักเกิดขึ้นทันทีหรือภายใน 1 ชั่วโมงหลังการใช้ยา แต่บางคนที่ไม่ได้แพ้ยาเฉียบพลัน อาการอาจเกิดอาการหลังได้รับยาเป็นวันไปถึงเดือน โดยอาการที่พบได้ เช่น ผื่นแดงคัน ไข้ขึ้น อ่อนเพลีย ใบหน้าและริมฝีปากบวม คันตา ปวดตามข้อ ผิวลอก เกิดแผลพุพอง
รวมถึงอาการแพ้ยารุนแรงที่เรียกว่า Anaphylaxis ทำให้เกิดอาการแพ้พร้อมกันหลายส่วน และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างเร่งด่วน เช่น
- ลมพิษ
- อาการบวมทั่วร่างกาย
- หายใจไม่ออก
- คลื่นไส้ อาเจียน
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ปวดท้องรุนแรง
- ท้องเสีย
- เวียนศีรษะ
- ชัก สูญเสียการรับรู้รอบตัว หรือหมดสติ
หากเกิดอาการแพ้ยาควรหยุดใช้ยา ถ่ายรูปผื่นหรืออาการแพ้ที่เกิดขึ้น พร้อมนำยาที่แพ้หรือจดชื่อยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที
คนที่มีประวัติแพ้ยาควรระวังในการใช้ยา ห้ามกินยาที่เคยแพ้ เพราะจะทำให้เกิดอาการแพ้ยาซ้ำ กรณีที่ต้องเข้ารับการตรวจหรือการรักษาใด ๆ ควรแจ้งประวัติแพ้ยากับเจ้าหน้าที่หรือแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย
สรุปความแตกต่างของผลข้างเคียงจากยา และอาการแพ้ยา
ผลข้างเคียงจากยา
- ผลข้างเคียงจากยาเกิดจากฤทธิ์ของยา ร่วมกับปัจจัยทางสุขภาพของผู้ป่วย ไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
- ผลข้างเคียงจากยาคาดเดาได้ สามารถดูจากในฉลากยา
- ผลข้างเคียงจากยาก่อให้เกิดอาการแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของยา ปริมาณของยา อายุและสุขภาพผู้ใช้ การใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์อื่นร่วมด้วย
- ผลข้างเคียงจากยาเกิดได้จากยาทุกชนิด พบได้บ่อยมากกว่าอาการแพ้ยาหรือราว 95% อาการจะรุนแรงน้อยกว่า และอัตราการตายน้อยกว่า
- ผลข้างเคียงจากยาอาจไม่จำเป็นต้องหยุดยา แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต่อ โดยปรับลดปริมาณยาลง หรือการปฏิบัติตัวของผู้ใช้ยาเอง
อาการแพ้ยา
- อาการแพ้ยาเกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่รุนแรงต่อสารบางอย่างในยา
- อาการแพ้ยาไม่สามารถคาดเดาได้ มักเกิดอาการทันทีหรือภายใน 1 ชั่วโมงหลังใช้ยา
- ความรุนแรงของอาการแพ้ยาไม่เกี่ยวข้องกับปริมาณการใช้ยา
- อาการแพ้ยาพบได้น้อยหรือแค่ 5% อาการค่อนข้างรุนแรงกว่าผลข้างเคียงจากยา และอัตราการตายมากกว่า กรณีแพ้ยารุนแรงหรือภาวะ Anaphylaxis จำเป็นต้องพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- อาการแพ้ยาควรหยุดใช้ยาทันที และรีบพบแพทย์
ไม่ว่าจะเป็นผลข้างเคียงจากยา หรืออาการแพ้ยา ล้วนเป็นอันตรายได้ทั้งสิ้น การใช้ยาควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร และสังเกตความผิดปกติหลังใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะอาการแพ้ยารุนแรง
คนที่กังวลว่าจะแพ้ยาสามารถปรึกษาแพทย์ถึงการตรวจหาสารที่แพ้ล่วงหน้าได้เช่นเดียวกับอาการแพ้อาหาร เพราะสารบางอย่างในยาอาจมีส่วนประกอบเดียวกับ เตรียมตัวรับมือก่อนเกิดเหตุฉุกเฉิน สนใจ แพ็กเกจตรวจอาการแพ้ ราคาสบายกระเป๋า HDmall.co.th มัดรวมโปรมาให้แล้ว