“ภาวะสมองเสื่อม” ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับผู้สูงอายุเท่านั้น ยังพบได้ในวัยกลางคน หรือแม้แต่คนอายุน้อยหากคนนั้นมีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความเครียดสะสม การใช้ชีวิตเร่งรีบ ขาดการดูแลสุขภาพ หรือโรคเรื้อรังบางชนิด
มีคำถาม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ
นอกเหนือจากสูญเสียความทรงจำแล้ว ยังมีอาการอื่น ๆ เช่น มีปัญหาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ มีปัญหาในการนอนและการเคลื่อนไหว ซึมเศร้า หรือหงุดหงิดง่าย การเข้าใจโรค จะช่วยให้เรารู้จักดูแลสุขภาพร่างกายและสมองอยู่เสมอ เพราะสมองที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องของอายุ แต่เป็นเรื่องของสุขภาพที่ต้องใส่ใจตั้งแต่ตอนนี้!
สารบัญ [show]
ภาวะสมองเสื่อม คืออะไร
ภาวะสมองเสื่อมหรือโรคสมองเสื่อม (Dementia) ไม่ได้หมายถึงโรคใดโรคหนึ่ง แต่เป็นกลุ่มอาการที่มีความบกพร่องในการจดจำ การคิด การตัดสินใจ ความเข้าใจในภาษาและสิ่งต่าง ๆ ลดลง จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ปกติแล้วจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มตามสาเหตุ คือ กลุ่มที่รักษาให้หาย อาการไม่ทรุดลงไปอีก กับกลุ่มที่รักษาไม่หายเพียง แต่ช่วยให้อาการทุเลาและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งโรคพบบ่อยสุดในกลุ่มหลัง คือ โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) ที่เรารู้จักกัน
อาการสมองเสื่อมเป็นแบบไหน
โดยทั่วไปมักเริ่มจากมีปัญหาความจำระยะสั้น เช่น ลืมสิ่งที่เพิ่งทำไป เมื่ออาการรุนแรงขึ้นจะเริ่มส่งผลต่อ ความจำระยะยาว ความสามารถในการใช้เหตุผล อารมณ์ และพฤติกรรม ซึ่งรุนแรงถึงขั้นกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
แต่ละคนอาจมีอาการต่างกันไปได้ ขึ้นอยู่กับขึ้นกับตำแหน่งของสมองที่เกิดความผิดปกติ ชนิดและความรุนแรงของโรค สามารถแบ่งอาการได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
1. ระยะเริ่มต้น
เริ่มมีอาการหลงลืมความจำระยะสั้น เช่น ลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น จำรายละเอียดไม่ได้เท่าเดิม แต่อาจนึกขึ้นได้ในตอนท้าย อาจมีปัญหาทางอารมณ์ อย่างซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย หรือสนใจสิ่งรอบข้างลดลง แต่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ และทำกิจกรรมประจำวันได้อยู่
2. ระยะกลาง
อาการด้านความจำเริ่มเห็นชัดมากขึ้น มีปัญหาในการสื่อสาร การจดจำทางกลับบ้าน การเรียนรู้ และการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อาจมีอาการทางจิตเวชบางครั้ง เช่น หลงผิด หูแว่ว หรือประสาทหลอน เริ่มไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ดีเหมือนเดิม
3. ระยะรุนแรง
ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถของสมองไปเกือบหมด ทำให้ไม่สามารถจดจำเรื่องราวหรือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แม้เป็นกิจวัตรประจำวัน กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ มีความบกพร่องทางการทำงานของระบบร่างกาย เคลื่อนไหวช้า
4. ระยะสุดท้าย หรือระยะติดเตียง
ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยในทุกด้าน ทั้งการเคลื่อนไหวร่างกาย การสื่อสาร การรับประทานอาหาร และเรื่องอื่น ๆ ทำให้ต้องมีคนดูแลตลอดเวลา และมักเกิดภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น เช่น ขาดสารอาหาร ติดเชื้อในระบบต่าง ๆ จนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ
ภาวะสมองเสื่อมเกิดจากอะไร
สมองเสื่อมเป็นผลมาจากระบบประสาทของสมองที่ค่อย ๆ เสื่อมลงจากการถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพ ทำให้สมองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เกิดปัญหาด้านความจำ ความคิด การตัดสินใจ และพฤติกรรมตามมา
สาเหตุทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมที่พบบ่อย ได้แก่
การเสื่อมของระบบประสาท (Neurodegeneration)
พบมากในคนอายุมากกว่า 65 ปี มักเป็นผลมาจากโรคอัลไซเมอร์มากที่สุด ประมาณ 60–70% ของผู้ป่วยสมองเสื่อม ส่วนโรคอื่น ๆ ที่เป็นต้นเหตุได้ เช่น สมองเสื่อมในกลุ่มอาการพาร์กินสัน และโรคสมองส่วนหน้าเสื่อม (Frontotemporal dementia)
โรคหลอดเลือดสมอง หรือเส้นเลือดสมองผิดปกติ (Vascular dementia) มักเกิดกับผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวข้องกับหลอดเลือด เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดแดงตีบ แตก หรือตัน
การติดเชื้อในระบบประสาทส่วนกลาง (Infectious encephalitis) ทำให้เกิดการอักเสบของสมอง เป็นได้ทั้งเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเรื้อรัง โรคซิฟิลิสขึ้นสมอง โรคเอดส์ โรคสมองอักเสบ
มีคำถาม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ
การขาดวิตามินหรือสารอาหาร
การขาดวิตามินหรือสารอาหารบางตัวอาจทำให้เกิดอาการคล้ายภาวะสมองเสื่อมได้ เช่น วิตามินบี12 และโฟเลต ส่วนสารอาหารหรือวิตามินอื่นที่พบไม่บ่อย คือ ธาตุเหล็ก วิตามินบี 1 ไนอะซินหรือวิตามินบี 3
นอกจากนี้ สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้อีก เช่น
- อายุมากขึ้น แม้สมองเสื่อมไม่ใช่เป็นภาวะของการแก่ชราตามปกติ แต่อายุมีผลค่อนข้างมาก โดยความเสี่ยงที่เกิดภาวะสมองเสื่อมจะเพิ่มขึ้นทุก 5 ปีหลังจากอายุ 65 ปี
- พันธุกรรม ถ้ามีพ่อแม่หรือญาติสายตรงมีภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะโรคอัลไซเมอร์ ความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
- โรคที่กระทบต่อสมอง หรือภาวะ เช่น เนื้องอกในสมอง ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ตับวาย
- ภาวะซึมเศร้า ความเครียดเรื้อรัง โรคทางจิตเวช มีผลให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทผิดปกติ ทำให้สมองทำงานลดลง เช่น โรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ ภาวะวิตกกังวล
- การกระทบกระเทือนสมอง เช่น การบาดเจ็บบริเวณศีรษะจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะเมื่อเกิดอย่างรุนแรงหรือเกิดขึ้นซ้ำ ๆ
- การบาดเจ็บของสมอง เช่น สมองขาดออกซิเจน อาการชักต่อเนื่อง หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นเวลานาน
- การใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อการทำงานของสมอง เช่น ยานอนหลับ ยารักษาภาวะซึมเศร้า ยาระงับประสาท ยากลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านโคลิเนอจิก (Anticholinergic drugs)
- การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ ทำให้เซลล์สมองเสียหายและสมองฝ่อ
- มลภาวะทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM2.5 หรือสารโลหะหนัก อาจส่งผลต่อสมองในระยะยาว
- การแยกตัวจากสังคม เช่น การอยู่คนเดียว ไม่มีกิจกรรมทางสังคม อาจทำให้สมองขาดการกระตุ้น และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม
- กิจกรรมทางกายน้อย ขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกาย มีการขยับตัวบ่อย ๆ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียน ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมอง
- การได้ยินลดลงหรือหูตึง มีการศึกษาพบว่าคนที่มีปัญหาการได้ยิน ไม่ใช้เครื่องช่วยฟัง มีความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่าคนทั่วไป
การตรวจวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม
การวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมไม่สามารถทดสอบด้วยเครื่องมือเพียงอย่างเดียว ต้องมีการตรวจร่วมกันหลายอย่าง
ขั้นแรกเป็นการตรวจร่างกาย สอบถามประวัติทางการแพทย์อย่างละเอียด อาการบ่งบอกถึงภาวะสมองเสื่อม เช่น อาการหลงลืม ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรม โดยจะต้องสอบถามคนใกล้ชิดผู้ป่วยร่วมด้วย
หากสงสัยว่ามีภาวะสมองเสื่อม แพทย์จะมีการตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ เช่น
- การประเมินอาการซึมเศร้าเบื้องต้น เพราะคนที่มีภาวะซึมเศร้าจะไม่มีสมาธิ มีผลให้ความจำไม่ดี ถ้ารักษาภาวะซึมเศร้าแล้ว ความจำจะดีขึ้น
- การทำแบบทดสอบ MoCA (Montreal Cognitive Assessment) และ TMSE (Thai Mental State Examination) เป็นแบบทดสอบคัดกรองผู้ป่วยสมองเสื่อมในระยะแรก โดยช่วยประเมินการทำงานของสมองในแต่ละด้าน
- การสแกนภาพสมอง เช่น การสแกนสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI Scan)
- การตรวจเลือด เพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจมีผลให้ความจำไม่ดี เช่น ไทรอยด์ทำงานน้อยไป เกลือแร่ผิดปกติ ขาดสารอาหารหรือวิตามินบางชนิด โรคซิฟิลิส การทำงานของตับและไต หรืออวัยวะที่เกี่ยวข้อง
- การตรวจทางพันธุกรรม เพื่อตรวจสอบความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อการเกิด โรคสมองเสื่อม โดยเฉพาะการตรวจหายีนที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับภาวะอัลไซเมอร์
- การตรวจพิเศษอื่น ๆ ในคนที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค เช่น การตรวจน้ำไขสันหลัง การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram: EEG) หรือการตรวจสแกนสมองด้วยเครื่องถ่ายภาพรังสีโพสิตรอน (PET Scan)
ภาวะสมองเสื่อมรักษาอย่างไร
การรักษาภาวะสมองเสื่อมขึ้นอยู่กับสาเหตุ อาการ และความรุนแรงของโรคเป็นหลัก แม้ว่าภาวะสมองเสื่อมส่วนใหญ่จะรักษาไม่หายขาด แต่การรักษาจะช่วยชะลอการดำเนินโรค และบรรเทาอาการไม่ให้แย่ลงอย่างรวดเร็ว เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและผู้ดูแลที่ดีขึ้น
การรักษาโรคสมองเสื่อมโดยการใช้ยา
การใช้ยาส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการ และชะลอการเสื่อมของสมอง เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาดูแลตนเองได้ โดยมากมักเป็นยาที่ออกฤทธิ์บรรเทาอาการทางสมอง และจำเป็นต้องใช้ยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น เช่น
- ยากลุ่มที่ต้านการทำลายของสารสื่อประสาทชนิดโคลีน (Cholinesterase inhibitor) มีกลไกกระตุ้นการรับรู้เกี่ยวกับความทรงจำและการตัดสินใจ ได้แก่ ยาโดนีพีซิล (Donepezil) ยาไรวาสติกมีน (Rivastigmine) และยากาแลนตามีน (galantamine) ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ คือ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย
- ยาที่ปิดกั้นการทำงานของสารสื่อประสาทชนิดกลูตาเมทระดับต่ำแบบชั่วคราว เช่น ยาเมแมนทีน (Memantine) อาจให้ร่วมกับยากลุ่มต้านการทำลายของสารสื่อประสาทชนิดโคลีนในข้างต้น
- ยาฉีดที่ออกฤทธิ์ต้านการสร้างอะไมลอยด์ (Anti-amyloid therapy)
- ยารักษาอาการอื่น ๆ เช่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หรือภาวะซึมเศร้า
การรักษาโรคสมองเสื่อมโดยการบำบัด
เป็นการฝึกกระตุ้นสมองหรือบริหารสมองด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การเล่นเกม ปรับพฤติกรรมผู้ป่วย ลดความเครียดความกังวล ออกกำลังกาย ปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่ให้ปลอดภัยขึ้น
โดยแพทย์จะพิจารณาจากระยะของโรค พฤติกรรมและอารมณ์ของผู้ป่วยขณะนั้น ความสามารถในการเรียนรู้ สถานที่และอุปกรณ์ที่มี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้ แพทย์จะให้คำแนะนำและความรู้เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมกับผู้ดูแลหรือครอบครัว เพื่อสร้างความเข้าใจโรคให้มากขึ้น และรับมือกับอาการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
การรักษาสมองเสื่อมด้วยการผ่าตัด
หากพบว่ามีสาเหตุของสมองเสื่อมจากโรคทางศัลยกรรมระบบประสาท แพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัดบางกรณี
การรักษาทางเลือกอื่น ๆ
การรักษาแบบทางเลือกอาจช่วยกระตุ้นความจำและความสามารถในการคิดของผู้ป่วยบางราย เช่น การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (TMS) หรือการกระตุ้นสมองด้วยกระแสไฟฟ้าตรงอย่างอ่อน (TDCS)
แม้ว่าโรคสมองเสื่อมจะพบบ่อยในผู้สูงอายุ แต่การดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงบางประการได้ ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่ดี ออกกำลังกายเป็นประจำ ฝึกสมอง และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ
สมองเสื่อมพบบ่อยในผู้สูงอายุก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เป็นภาวะของการแก่ชราตามปกติ มีความเสี่ยงหรืออาการน่าสงสัย อย่ารอช้า ปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมตรวจสุขภาพสมอง คัดกรองภาวะสมองเสื่อมได้
แพ็กเกจตรวจสมองครบวงจร จองผ่าน HDmall.co.th รับส่วนลดพิเศษ พร้อมเลือกเปรียบเทียบราคา ดูรีวิวก่อนรับบริการได้
มีคำถาม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ