Default fallback image

โรคอัลไซเมอร์ ไม่ใช่แค่ขี้ลืม! รู้ทัน รับมือ ก่อนสายเกินแก้

คุณเคยลืมของ ลืมชื่อคนใกล้ตัว หรือจำเรื่องสำคัญไม่ได้บ้างไหม? ลืมแปป ๆ แล้วนึกขึ้นได้ หรือลืมอยู่บ่อย ๆ อาการเหล่านี้ เป็นสัญญาณของ โรคอัลไซเมอร์ ไหมนะ มาทำความเข้าใจอัลไซเมอร์ หนึ่งในโรคสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยให้มากขึ้นกัน เพื่อดูแลตัวเองและคนที่คุณรัก

โรคอัลไซเมอร์ คืออะไร

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นภาวะสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ มีปัจจัยเกี่ยวข้องหลายอย่าง ทั้งอายุที่เพิ่มขึ้น พันธุกรรม การใช้ชีวิต และสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ใช่ความเสื่อมตามธรรมชาติ จึงเกิดขึ้นได้ก่อนวัยชราเช่นกัน 

ผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะสูญเสียการทำงานของสมองอย่างช้า ๆ เริ่มมีปัญหาด้านความจำ ลืมเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด จากนั้นอาการจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทบต่อการเรียนรู้ การใช้ภาษา ความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป จนท้ายที่สุดไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เอง

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์

โรคอัลไซเมอร์เกิดจากกระบวนการเสื่อมของสมองที่มีความซับซ้อน สาเหตุสำคัญมากจากการสะสมของโปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์ (Beta-amyloid) และโปรตีนทาว (Tau) ในเซลล์ประสาทสมอง ทำให้เกิดปัญหาการสื่อสารระหว่างเซลล์ และนำไปสู่การตายของเซลล์สมอง 

กระบวนการเสื่อมจะเริ่มต้นจากสมองส่วนความจำ และค่อย ๆ ลุกลามไปยังส่วนอื่นของสมอง   ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงในสมองสามารถเกิดได้นานนับสิบปีก่อนผู้ป่วยจะแสดงอาการ 

นอกจากนี้ ยังพบปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ร่วมด้วย ดังนี้

  • อายุ: พบมากในคนอายุ 65 ปีขึ้นไป โดยอัตราการเกิดโรคเพิ่มขึ้นตามอายุ เช่น ช่วงอายุ 65–74 ปี จะเกิด 2 คน ต่อ 1,000 คน ช่วงอายุ 75–84 ปี จะพบ 11 คน และสูงถึง 37 คนในช่วงอายุ 85 ปีขึ้นไป
  • พันธุกรรมและประวัติครอบครัว: หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคอัลไซเมอร์ ความเสี่ยงของการเกิดโรคจะสูงขึ้น โดยเฉพาะคนที่มียีน ApoE ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มียีนนี้จะเป็นโรคอัลไซเมอร์เสมอไป
  • กลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome): คนที่มีภาวะนี้ มีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์ เร็วกว่าคนทั่วไปประมาณ 10–20 ปี เนื่องจากมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา ซึ่งเป็นตำแหน่งของยีนที่ผลิตโปรตีนอะไมลอยด์
  • ปัจจัยเกี่ยวกับระบบหลอดเลือด: คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด หรือสุขภาพหลอดเลือดไม่ดี เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน และโรคหัวใจและหลอดเลือด มักเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม และอาจเชื่อมโยงกับโรคอัลไซเมอร์
  • การบาดเจ็บที่ศีรษะรุนแรง: คนที่เคยได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะ มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์มากขึ้น
  • ความผิดปกติของการนอนหลับ: การนอนกรนระดับรุนแรง หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive sleep apnea) อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรค
  • ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม: การได้รับสารพิษจากมลพิษทางอากาศ ควันบุหรี่ และสารเคมีบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้

หากมีปัจจัยเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หรือเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคเป็นสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจเพิ่มเติม 

อาการของโรคอัลไซเมอร์ สังเกตอย่างไร

อาการของโรคอัลไซเมอร์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ตามความรุนแรงของโรค ได้แก่

1. ระยะเริ่มต้น (Early stage)

ระยะแรกยังใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่เริ่มมีอาการทางความจำถดถอยเล็กน้อย แม้อาการไม่รุนแรง แต่คนใกล้ชิดอาจเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ เช่น

  • ลืมเหตุการณ์หรือข้อมูลที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่  
  • ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ พูดซ้ำเรื่องเดิม ๆ 
  • มีปัญหาในการวางแผนหรือจัดการงานที่ซับซ้อน
  • สับสนเรื่องเวลา สถานที่ และทิศทาง
  • อารมณ์แปรปรวนง่าย เครียด หรือซึมเศร้า

2. ระยะปานกลาง (Middle stage)

เป็นระยะที่อาการเริ่มชัดเจนขึ้น ความจำแย่ลงอีก และมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่น

  • ลืมเรื่องราวสำคัญและคนใกล้ชิด
  • มีปัญหาในการอ่าน การเขียน และการสื่อสาร นึกคำไม่ออก หรือใช้คำผิด
  • พฤติกรรมและอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมาก เช่น หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว พูดจาหยาบคาย เงียบขรึมผิดปกติ หลงทางในที่คุ้นเคย เดินออกจากบ้านโดยไม่มีจุดหมาย
  • อาจมีอาการทางจิตเวช ไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง เช่น หวาดระแวง เห็นภาพหลอน หลงผิด 
  • ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง ใช้ชีวิตประจำวันเองได้ยาก ต้องให้คนอื่นช่วยดูแลมากขึ้น เช่น ชงกาแฟไม่ได้ ใช้รีโมตทีวีหรือมือถือไม่ได้

3. ระยะรุนแรง (Late stage)

เป็นระยะท้ายของโรคที่ผู้ป่วยมีสุขภาพทรุดโทรมลงคล้ายผู้ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยคนดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา

  • จดจำคนในครอบครัวหรือสิ่งรอบตัวไม่ได้
  • ไม่สามารถสื่อสารหรือพูดคุยได้
  • เคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย  
  • รับประทานอาหารได้น้อย มีปัญหาในการกลืนอาหาร เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร
  • ปัสสาวะหรืออุจจาระเล็ด เพราะกลั้นไม่อยู่
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง อาจเกิดการติดเชื้อและนำไปสู่การเสียชีวิต

โดยทั่วไป ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีอาการจนถึงระยะสุดท้ายอาจใช้เวลานานหลายปี การดูแลและให้ความเข้าใจที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

การตรวจวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์

ปัจจุบันยังไม่มีการตรวจเฉพาะวิธีใดวิธีเดียวที่ยืนยันโรคอัลไซเมอร์ได้ 100% การตรวจวินิจฉัยโรคต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ ดังนี้

การซักประวัติและประเมินอาการ
แพทย์จะสอบถามข้อมูลจากผู้ป่วยและญาติ โดยเน้นอาการด้านความจำ การใช้ชีวิตประจำวัน พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ประวัติสุขภาพโดยรวม โรคประจำตัวและการใช้ยา เพื่อแยกอาการที่อาจเกิดจากภาวะสมองเสื่อมประเภทอื่น

การทำแบบทดสอบทางสมอง
การทำแบบทดสอบทางสมองต่าง ๆ เช่น Thai Mental State Examination (TMSE) หรือ Montreal Cognitive Assessment (MoCA) จะช่วยประเมินความสามารถด้านความจำ ทักษะด้านภาษา การใช้เหตุผล ความสามารถในการตัดสินใจ และอื่น ๆ 

โดยใช้เวลาทำประมาณ 15–20 นาที เพื่อคัดกรองอาการว่าเป็นผลจากโรคอัลไซเมอร์ ไม่ใช่ภาวะทางจิตหรือโรคทางกายที่ทำให้มีอาการคล้ายกัน

การตรวจเลือด
การตรวจเลือดจะช่วยตัดสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการความจำเสื่อม เช่น

  • การตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ เพื่อดูว่ามีภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติหรือไม่
  • การตรวจระดับวิตามิน เพราะการขาดวิตามินบางตัวอาจส่งผลต่อความจำ และการทำงานของสมอง
  • การตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด เนื่องจากโรคบางโรคที่ควบคุมได้ไม่ดี เป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม เช่น โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือด

นอกจากนี้ ยังมีการตรวจเลือดหาสารชีวภาพ (Biomarker tests) ที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ เช่น ระดับโปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์ และโปรตีนทาว ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงในการเกิดโรค (ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยเป็นหลัก ยังไม่เป็นการตรวจมาตรฐาน) 

การตรวจภาพสมอง
การสแกนสมองจะช่วยให้เห็นโครงสร้างและการทำงานของสมอง เพื่อช่วยแยกภาวะอื่นที่อาจทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือเนื้องอกสมอง 

ปัจจุบันกาสแกนสมองทำได้ด้วยหลายเครื่อง ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เช่น การสแกนสมองด้วย CT Scan การสแกนสมองด้วย MRI หรือการสแกนสมองด้วย PET Scan 

การตรวจทางพันธุกรรม
การตรวจยีนบางตัว อย่างการตรวจหายีน ApoE โดยเฉพาะคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ จะช่วยประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ แต่การตรวจเจอไม่ได้หมายความว่า จะเป็นโรคอัลไซเมอร์แน่นอน

การวินิจฉัยโรคเจอตั้งแต่ระยะเริ่มแรกช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัววางแผนการดูแลล่วงหน้า ทำให้ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดปัจจัยเสี่ยง และได้รับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อชะลออาการของโรคได้

การรักษาโรคอัลไซเมอร์

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายขาด แต่สามารถชะลออาการและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้  การรักษาแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ การรักษาด้วยยา และ การรักษาที่ไม่ใช้ยา

การรักษาด้วยยา

การใช้ยาจะช่วยเรื่องของความทรงจำและพฤติกรรม มีอยู่หลายกลุ่ม เช่น 

  • ยากลุ่ม Cholinesterase Inhibitors เหมาะกับผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นถึงระยะกลาง ตัวยาจะช่วยชะลออาการความจำเสื่อม โดยเพิ่มระดับสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสมอง เช่น ยาโดนีพีซิล (Donepezil) ยาไรวาสติกมีน (Rivastigmine) ยากาแลนตามีน (Galantamine)
  • ยากลุ่ม NMDA Receptor Antagonists เหมาะกับผู้ป่วยในระยะปานกลางถึงรุนแรง ตัวยาจะช่วยลดอาการของโรค โดยควบคุมสารกลูตาเมตที่มากเกินไป จนอาจทำให้เซลล์สมองถูกทำลาย เช่น ยามีแมนทีน (Memantine)
  • ยาช่วยปรับอารมณ์และพฤติกรรม ผู้ป่วยที่มีอาการด้านอารมณ์หรือพฤติกรรม เช่น กระวนกระวาย หงุดหงิด เห็นภาพหลอน หรือมีภาวะซึมเศร้า แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาบรรเทาตามอาการ และต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เช่น ยากล่อมประสาท หรือยาแก้ซึมเศร้า 

การรักษาที่ไม่ใช้ยา

นอกยาการใช้ยาแล้ว ยังมีการรักษาที่ใช้การบำบัดหรือการทำกิจกรรมที่ช่วยฝึกสมอง ส่งเสริมการเรียนรู้ใหม่ ๆ เช่น 

  • ทำกิจกรรมที่ท้าทายกระตุ้นการทำงานของสมอง เช่น การอ่านหนังสือ การเขียน การคิดเลข หรือการเล่นเกมฝึกสมอง
  • ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ถ้าเป็นผู้สูงอายุควรเลือกกิจกรรมให้เหมาะสม เช่น เดิน โยคะ หรือรำไทเก็ก
  • มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นให้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและความเครียด เช่น เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม พบปะญาติและเพื่อนฝูง
  • ดูแลสุขภาพโดยรวม รับประทานอาหารที่ดีต่อสมอง เช่น อาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และสารต้านอนุมูลอิสระ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยกำจัดสารพิษที่สะสมในสมอง และควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 

แม้ว่าอัลไซเมอร์ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่การวางแผนดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ หากใครมีปัจจัยเสี่ยงอย่าลืมเข้ารับการตรวจคัดกรองโรค และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

ป้องกันก่อนสายเกินแก้! กับแพ็กเกจตรวจสมองครบวงจร ตรวจเร็ว วินิจฉัยแม่นยำ จองผ่าน HDmall.co.th พร้อมเปรียบเทียบราคาได้เลย!

Scroll to Top