อาการปัสสาวะเล็ด เป็นปัญหาสุขภาพที่แม้จะไม่เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ไม่น้อย ทั้งในแง่ของความมั่นใจ ความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน และสุขอนามัยส่วนบุคคล หลายคนอาจรู้สึกอาย หรือละเลยอาการนี้ในระยะแรก จนกระทั่งลุกลามกลายเป็นภาวะเรื้อรัง ซึ่งรักษาได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีแนวทางการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดหลายรูปแบบให้เลือกตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ยา เทคโนโลยีทางการแพทย์ ไปจนถึงการผ่าตัด แต่ละแบบมีข้อดีกับข้อจำกัดอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นวิธีรักษาอาการปัสสาวะเล็ดที่ง่ายที่สุด และแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงแต่ผู้ป่วยก็ยังต้องมีการตรวจวินิจฉัยและปรึกษาแพทย์ เพื่อหาพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดเสียก่อน จากนั้นแพทย์จะให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าว
โดยแนวทางการเปลี่ยนพฤติกรรมที่มักพบได้บ่อย เพื่อรักษาอาการปัสสาวะเล็ด ได้แก่
- ปัสสาวะเล็ดจากการดื่มชาหรือกาแฟบ่อย ให้ลดหรืองดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ซึ่งเป็นชนิดของเครื่องดื่มที่มักทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย
- ปัสสาวะเล็ดจากการดื่มน้ำมากเกินไป หรือดื่มน้ำมากก่อนเข้านอนจนทำให้ตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน ให้จำกัดปริมาณดื่มน้ำให้อย่างเหมาะสม หรือจัดตารางการดื่มน้ำให้เป็นเวลา แต่ยังอยู่ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
- ปัสสาวะเล็ดจากอาการท้องผูก ให้กินอาหารที่มีกากใย กินผักผลไม้ให้เพียงพอ หรืออาจใช้ยารักษาร่วมด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยไม่ต้องออกแรงเบ่งอุจจาระจนปัสสาวะเล็ด
- ปัสสาวะเล็ดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ โดยอาจเกิดจากประวัติเคยคลอดบุตร ให้ฝึกขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทุกวัน วันละประมาณ 3-5 เซ็ต เซ็ตละ 10 ครั้ง ครั้งละ 5-10 วินาทีแล้วคลายออกประมาณ 10 วินาที จากนั้นทำต่อให้ครบเซ็ต
- ปัสสาวะเล็ดระหว่างยกของหนัก หรือออกกำลังกาย ให้ปัสสาวะให้หมดเสียก่อนเริ่มทำกิจกรรมดังกล่าว หรือควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก เพื่อลดโอกาสการเกิดแรงดันในช่องท้องจนทำให้ปัสสาวะเล็ดได้ง่าย
- ปัสสาวะเล็ดหรือราดก่อนเดินทางไปถึงห้องน้ำ ให้ฝึกกลั้นปัสสาวะ โดยเริ่มจากการกลั้นให้ได้ 10 นาทีก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่งระยะเวลาออกไป
ข้อดีของการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นวิธีรักษาอาการปัสสาวะเล็ดที่ง่ายและประหยัดที่สุด นอกจากนี้หลายวิธียังช่วยเสริมความแข็งแรงและสมดุลที่ดีให้กับสุขภาพองค์รวมของผู้ป่วยด้วย เช่น การดื่มน้ำแต่พอดี การกินผักผลไม้อย่างเพียงพอ การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
ข้อจำกัดของการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ในผู้ป่วยบางราย การรักษาด้วยวิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอต่อการหยุดปัญหาปัสสาวะเล็ดได้ หรือต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานจึงจะเห็นผล แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยรักษาร่วมกับวิธีอื่นๆ ด้วย เช่น การนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า การกินยา
2. การใช้ยา
แพทย์จะจ่ายยาที่ช่วยบรรเทาหรือรักษาต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัสสาวะเล็ด ขึ้นอยู่กับผลการตรวจวินิจฉัยของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น
- ยาลดการบีบการบับตัวไวของกระเพาปัสสาวะ
- ยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะขับปัสสาวะออกจนหมด
- ยาฆ่าเชื้อ ในผู้ป่วยที่มีปัสสาวะเล็ดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
- ยาฮอร์โมนสำหรับผู้ป่วยที่ปัสสาวะเล็ดจากภาวะหมดประจำเดือน
- ยาแก้ท้องผูกสำหรับผู้ป่วยที่ปัสสาวะเล็ดจากโรคหรืออาการท้องผูก
- ยาปรับหรือเปลี่ยนยาในผู้ป่วยที่มีอาการปัสสาวะเล็ดจากการกินยารักษาโรคทางจิตเวช หรือยาปรับสมดุลสมอง
ข้อดีของการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดด้วยการใช้ยา
การใช้ยา เป็นวิธีรักษาที่มักเห็นผลลัพธ์ได้ชัดขึ้นกว่าการรักษาด้วยวิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นอกจากนี้ก็ยังสามารถรักษาอาการผิดปกติอื่นที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดด้วย เช่น การติดเชื้อ อาการท้องผูก
นอกจากนี้วิธีรักษาด้วยการใช้ยายังเป็นทางเลือกการรักษา ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเงื่อนไขสุขภาพที่ทำให้ไม่สามารถรักษาอาการปัสสาวะเล็ดด้วยวิธีผ่าตัดได้
ข้อจำกัดของการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดด้วยการใช้ยา
ผู้ป่วยจำเป็นต้องกินยาตามรายการที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดจึงจะเห็นผลลัพธ์ของการรักษา และยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงเป็นอาการอื่นๆ ในระหว่างที่ใช้ยาได้ เช่น ปากแห้ง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก
3. การนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า
อีกแนวทางการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ก็คือ การนั่งเก้าอี้ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีประโยชน์ในการฟื้นฟูความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน กล้ามเนื้อที่มักเกิดความอ่อนแอได้หลังการคลอดบุตร และนำไปอาการปัสสาวะเล็ดได้บ่อยๆ
โดยในการนั่งเก้าอี้ 1 ครั้ง จะเท่ากับผู้ป่วยได้ฝึกขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานประมาณ 5,000-11,000 ครั้ง ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเก้าอี้ที่แต่ละสถานพยาบาลเลือกใช้
ขั้นตอนการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเพื่อรักษาอาการปัสสาวะเล็ดก็ไม่ยุ่งยาก เพียงผู้ป่วยเดินทางมาสถานพยาบาลเพื่อนั่งเก้าอี้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใดๆ เป็นระยะเวลา 30 นาทีต่อครั้ง จำนวนครั้งจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ โดยในระหว่างที่รับบริการอยู่บนเก้าอี้ ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงการหดและขมิบของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเป็นจังหวะต่อเนื่อง
ข้อดีของการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า
นอกจากรักษาอาการปัสสาวะเล็ด การนั่งเก้าอี้ไฟฟ้ายังนิยมใช้เป็นวิธีรักษาโรคหรืออาการผิดปกติเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย เช่น
- ปัญหาอวัยวะเพศชายไม่แข็งแรง
- ปัญหาหลั่งเร็วเกินไปในเพศชาย
- ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
- ปัญหาช่องคลอดหลวม หรือไม่กระชับ
- ในนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำยังสามารถใช้การนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวได้
นอกจากนี้การนั่งเก้าอี้ไฟฟ้ายังเป็นวิธีรักษาที่ง่ายและสะดวก ผู้ป่วยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ หรือเกิดผลข้างเคียงใดๆ หลังการรักษา
ข้อจำกัดของการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า
การรักษาอาการปัสสาวะเล็ดด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าจำเป็นต้องรักษาอย่างต่อเนื่องกันตามจำนวนครั้ง และความถี่ตามที่แพทย์กำหนด เพื่อให้ผลลัพธ์ในการรักษาอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ในระหว่างที่นั่งเก้าอี้ ผู้ป่วยสามารถอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ แต่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดในระหว่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
4. การรักษาด้วยการผ่าตัดใส่สลิง
หากรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัดและอาการยังไม่ดีขึ้น หรือผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะเล็ดอย่างรุนแรงมาตั้งแต่แรก แพทย์ก็มักจะแนะนำให้รักษาด้วยวิธีผ่าตัด
โดยการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการปัสสาวะเล็ดที่ได้รับนิยมในปัจจุบัน คือ การผ่าตัดเพื่อนำ “สลิง” ซึ่งเป็นแผ่นตาข่ายกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร เข้าไปวางใต้ท่อปัสสาวะ เพื่อพยุงท่อปัสสาวะไม่ให้แกว่งและปิดสนิทระหว่างที่ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่เกิดแรงดันในช่องท้อง เช่น ไอ จาม ยกของหนัก ออกกำลังกาย
การผ่าตัดใส่สลิงสามารถผ่าตัดได้ 2 เทคนิค คือ ผ่าตัดทางหน้าท้องและผ่าตัดทางช่องคลอด ตำแหน่งที่แพทย์นำสลิงเข้าไปวาง สามารถแบ่งออกได้ 2 แนวทาง ได้แก่
- ใส่สลิงผ่านออกมาเหนือหัวหน่าว
- ใส่สลิงผ่านออกมาที่ขาหนีบ
- ใส่สลิงและฝังไว้ใต้เนื้อเยื่อ ไม่โผล่ออกมาด้านนอกผิวหนัง
ข้อดีของการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดด้วยการใส่สลิง
การผ่าตัดใส่สลิงเป็นการผ่าตัดที่มีแผลผ่าตัดขนาดเล็ก ใช้เวลาฟื้นตัวเร็ว หลังจากนอนโรงพยาบาลเพียง 1 คืนและผู้ป่วยสามารถปัสสาวะได้ตามปกติ ไม่มีอาการปัสสาวะเล็ดซ้ำอีก แพทย์ก็จะอนุญาตให้เดินทางกลับบ้านได้เลย
ข้อจำกัดของการรักษาอาการปัสสาวะเล็ดด้วยการใส่สลิง
การผ่าตัดใส่สลิงและฝังไว้ใต้เนื้อเยื่อ เป็นเทคนิคการผ่าตัดที่ค่อนข้างใหม่ ดังนั้นจึงต้องมีการติดตามอัตราความสำเร็จหลังผ่าตัดอยู่
นอกจากนี้การผ่าตัดใส่สลิงมีโอกาสทำให้เกิดการบาดเจ็บที่อวัยวะหรือบริเวณใกล้เคียงได้ เช่น เกิดแผลหรือรูที่ท่อปัสสาวะ หรือที่กระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ในอนาคตยังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ 2 ประการหลักๆ ได้แก่
- สายสลิงเคลื่อน ผู้ป่วยต้องกลับมาผ่าตัดเพื่อปรับตำแหน่งสายสลิงใหม่
- แพทย์วางสายสลิงแน่นเกินไป ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะลำบากหรือปัสสาวะไม่ออกแทน ต้องกลับมาผ่าตัดปรับสายสลิงให้หลวม หรือปรับตำแหน่งสายสลิงใหม่
อาการปัสสาวะเล็ดอาจดูเป็นอาการที่ไม่ร้ายแรง แต่หากละเลย ผู้ป่วยก็อาจต้องรักษาด้วยวิธีที่ซับซ้อนขึ้นอย่างการผ่าตัด หรือต้องใช้หลายวิธีรักษาร่วมกันจึงจะอาการดีขึ้น ดังนั้นการเข้ามาตรวจและปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการปัสสาวะเล็ดจะช่วยให้มีโอกาสรักษาด้วยวิธีที่ง่ายกว่าได้
ตรวจสาเหตุของปัญหาปัสสาวะเล็ด อั้นฉี่ยากขึ้น เกิดจากอะไร ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจตรวจคัดกรองอาการปัสสาวะเล็ด จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย