things you need to know before mtf sex reassignment surgery scaled

ข้อควรรู้ก่อนผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง

การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แปลงน้องชายให้เป็นน้องสาว ไม่ใช่สิ่งที่คิดแล้วจะสามารถทำได้ทันที แต่จำเป็นต้องเตรียมตัวหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมร่างกายเบื้องต้น การประเมินสภาพจิตใจ หรือการศึกษาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง

มีคำถามเกี่ยวกับ แปลงเพศ? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

สำหรับใครที่สนใจเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แล้วไม่รู้ว่า ควรเตรียมตัวอย่างไรดี HDmall.co.th ได้สรุปข้อควรรู้ก่อนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงมาไว้ที่บทความนี้แล้ว

หลักเกณฑ์ของผู้ที่สามารถเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แปลงน้องชายให้เป็นน้องสาว มีอะไรบ้าง?

คุณสมบัติของผู้ที่สามารถเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง แปลงน้องชายให้เป็นน้องสาว มีดังนี้

  • มีอายุครบ 20 ปีขึ้นไป ในกรณีที่มีอายุ 18-20 ปี จะต้องให้ผู้ปกครองเซ็นเอกสารยินยอมเข้ารับการผ่าตัด
  • ได้รับฮอร์โมนเพศหญิง หรือที่เรียกว่า “เทคฮอร์โมน” ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี
  • ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง 24 ชั่วโมง ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี
  • มีความรู้สึกเป็นผู้หญิงมานานแล้ว หรือตั้งแต่เริ่มจำความได้
  • รู้สึกรังเกียจอวัยวะเพศของตนเอง คิดว่าเป็นส่วนเกิน
  • ผ่านการประเมินสภาพจิตใจ และได้รับใบรับรองจากจิตแพทย์ อย่างน้อย 2 ท่าน โดยใบรับรองจะต้องมีอายุไม่เกิน 6 เดือน ก่อนวันผ่าตัด
  • มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคประจำตัวรุนแรงที่เป็นข้อห้ามในการดมยาสลบ หรือการผ่าตัด

ตัวอย่างโรค หรือภาวะที่ต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมก่อนเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง

  • โรคประจำตัว หรือความพิการแต่กำเนิด ที่ส่งผลต่อระบบการทำงานในร่างกาย เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ หรือโรคไตชนิดรุนแรง
  • โรคเรื้อรังที่อยู่ระหว่างการรักษา เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE)
  • โรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี
  • ความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น
    • หนังหุ้มปลายองคชาตตีบ (Phimosis and paraphimosis)
    • ภาวะรูเปิดท่อปัสสาวะต่ำกว่าปกติ (Hypospadias)
    • อัณฑะค้างอยู่ในช่องท้อง (Cryptorchidism)
    • ก้อนหรือเนื้องอกของอวัยวะเพศ
    • มีประวัติเคยฉีดสารแปลกปลอมในอวัยวะเพศ
  • โรคไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ (Inguinal hernia) และไส้เลื่อนผนังหน้าท้อง (Abdominal hernia)

ตัวอย่างโรคที่ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงได้

  • โรคประจำตัวที่ยังควบคุมได้ไม่ดี
  • โรคทางจิตเวชที่อาการยังไม่คงที่
  • ใช้สารเสพติดผิดกฎหมาย

ทำไมต้องตรวจสภาวะจิตใจก่อนผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง?

การตรวจสภาวะจิตใจก่อนผ่าตัดแปลงเพศเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทั้งในผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง และหญิงเป็นชาย

เพราะหลังจากที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก เนื่องจากอวัยวะที่บ่งบอกความเป็นเพศ เช่น องคชาต อัณฑะ รังไข่ หรือมดลูก ได้ถูกตัดทิ้งไปแล้ว

นอกจากนี้การตรวจสภาวะจิตใจก่อนผ่าตัดแปลงเพศยังรวมไปถึงการตรวจคัดกรองโรคทางจิตเวชต่างๆ และความสามารถในการรับมือกับความกดดัน หรือความเครียดที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มั่นใจว่า ผู้เข้ารับการผ่าตัดมีสภาพจิตใจพร้อมที่จะรับการผ่าตัดจริงๆ

ในประเทศไทยนั้น ผู้ที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศจะต้องผ่านการประเมินจากจิตแพทย์ 2 ท่าน

ซึ่งปกติแล้ว หากได้รับยืนยันว่า มีภาวะความทุกข์ใจในเพศสภาพ (Gender Dysphoria: GD) จิตแพทย์จะให้รับฮอร์โมน และให้ใช้ชีวิตแบบเพศใหม่ (Real life experience) ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 ปี

หากครบ 1 ปีแล้ว ผู้เข้ารับการรักษายังคงมีความต้องการที่จะผ่าตัดแปลงเพศอยู่ จิตแพทย์ก็จะส่งปรึกษาแพทย์ผู้ผ่าตัดแปลงเพศเพื่อเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดแปลงเพศต่อไป

มีคำถามเกี่ยวกับ แปลงเพศ? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

มั่นใจว่าต้องการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ทำอย่างไรต่อ?

หลังจากที่ได้รับการรับรองจากจิตแพทย์และผ่านการเตรียมตัวเบื้องต้นแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเข้าพบแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดแปลงเพศ​ เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

โดยขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง จะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ

  1. การสร้างอวัยวะเพศภายนอกให้เหมือนผู้หญิง ได้แก่ แคมนอก (Major labia) แคมใน (Minor labia) ท่อปัสสาวะ และปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ หรือที่เรียกว่า “คลิตอริส (Clitoris)” ให้สวยงามเหมือนผู้หญิง
  2. การสร้างช่องคลอดเทียม มีหลายเทคนิคในการสร้างช่องคลอดเทียม แต่ละเทคนิคมีข้อดี-ข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศจะต้องปรึกษากับแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เพื่อเลือกเทคนิคการสร้างช่องคลอดเทียมที่เหมาะสมกับตนเอง
    • การสร้างช่องคลอด โดยใช้ผิวหนังจากองคชาต หรือเรียกว่า “เทคนิคการใช้ผิวหนังองคชาตม้วนกลับ”
    • การสร้างช่องคลอด โดยใช้ผิวหนังจากองคชาต ร่วมกับผิวหนังจากถุงอัณฑะ หรือจากที่อื่นๆ มาทำเป็นผนังช่องคลอด
    • การสร้างช่องคลอด โดยใช้ลำไส้ใหญ่ทำเป็นผนังช่องคลอด หรือเรียกว่า “เทคนิคต่อลำไส้”
    • การสร้างช่องคลอด โดยใช้ผนังหน้าท้อง ร่วมกับผิวหนังจากองคชาต

การขยายช่องคลอด “แยงโม”

การขยายช่องคลอด หรือที่คนนิยมเรียกว่า “แยงโม” เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง โดยเฉพาะในช่วง 1 ปีแรกหลังผ่าตัด เนื่องจากกระบวนการหายของบาดแผลจะทำให้เกิดการหดตัวของช่องคลอด

ทั้งในผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง สร้างช่องคลอดเทียมด้วยเทคนิคใช้ผิวหนังองคชาตม้วนกลับ เทคนิคต่อกราฟ ต่อลำไส้ และเยื่อบุช่องท้อง

โดยแพทย์จะเตรียมแท่งขยายช่องคลอดที่มีความแข็งพอเหมาะ เริ่มจากขนาดเล็กไปใหญ่ โดยผู้เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง ในช่วง 1 ปีแรกจะต้องขยายช่องคลอดทุกวัน วันละ 2 ครั้ง นานครั้งละ 30-60 นาที โดยค่อยๆ เพิ่มขนาดตามที่แพทย์สั่ง

เมื่อครบ 1 ปีแล้ว สามารถขยายช่องคลอดสัปดาห์ละ 1 ครั้งได้ โดยใช้แท่งขยายช่องคลอดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

นอกจากนี้ยังสามารถทำการขยายช่องคลอดเสริมได้ด้วยการใช้ซิลิโคนแบบนิ่มขณะนอนหลับ และสวมใส่กางเกงชั้นในเพื่อป้องกันไม่ให้แท่งซิลิโคนเลื่อนหลุดออกมา

ผลข้างเคียง ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมา หลังผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง มีอะไรบ้าง รับมืออย่างไร

  • ความเสี่ยงทั่วไปที่พบได้จากการผ่าตัด เช่น แพ้ยาชา แพ้ยาสลบ มีเลือดคั่ง เลือดออก ติดเชื้อ แผลบวม รอยช้ำ เลือดออก หรือปวดแผล
  • ช่องคลอดตีบตัน เกิดจากการไม่ใส่วัสดุขยายช่องคลอดเทียมอย่างสม่ำเสมอ สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดสร้างช่องคลอดเทียมใหม่ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ หรือใช้ผนังหน้าท้อง
  • ท่อปัสสาวะตีบตัน ในเบื้องต้นแพทย์จะระบายน้ำปัสสาวะออก โดยการใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อให้น้ำปัสสาวะออก แล้วคาสายสวนไว้ หรือใส่เครื่องมือขยายท่อปัสสาวะ หลังจากนั้นถึงจะหาสาเหตุของการอุดกั้น และให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
  • แคมใหญ่ หรือแคมเล็ก มีขนาดไม่เท่ากัน สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดตกแตกแคมหลังผ่าตัดแปลงเพศ
  • ไม่พอใจในขนาดและรูปทรงของช่องคลอด ท่อปัสสาวะ และคลิตอริส สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดแปลงเพศใหม่
  • มีแผลเป็นที่บริเวณหน้าท้อง ในกรณีที่ผ่าตัดแปลงเพศ สร้างช่องคลอดเทียมด้วยเทคนิคต่อลำไส้ หรือใช้ผนังหน้าท้อง
  • ความรู้สึกทางเพศลดลง
  • ผู้ที่มีประวัติโรคเลือด อาจเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Deep Vein Thrombosis: DVT) จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนผ่าตัด โดยแพทย์จะป้องกันด้วยการใส่เครื่องมือไล่เลือดที่ขาตลอดเวลาหลังการผ่าตัด อย่างน้อย 2-3 วัน

จะเห็นได้ว่า การผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงเป็นการผ่าตัดที่มีหลายขั้นตอน และต้องใช้เวลาเตรียมตัวเป็นปี อีกทั้งยังมีข้อควรระวัง และผลข้างเคียงหลายอย่าง

ผู้ที่สนใจแปลงเพศชายเป็นหญิง จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนเตรียมร่างกายตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิงเป็นไปอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

มีคำถามเกี่ยวกับ แปลงเพศ? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ