ลองเช็กตัวเองกันบ้างหรือยัง ปวดท้องบ่อยไหม ท้องอืดบ่อยหรือเปล่า หรือท้องเสียสลับท้องผูกอย่างที่ไม่เคยเป็น กิจวัตรการอุจจาระและลักษณะอุจจาระไม่เหมือนเดิม สัญญาณเหล่านี้ถือว่า เข้าข่ายที่ระบบทางเดินอาหารของคุณอาจมีปัญหา
และหนึ่งในแนวทางวินิจฉัยความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารซึ่งได้รับความนิยมในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีกระบวนการที่ง่าย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนคิดก็คือ การตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร ซึ่งเราจะมาเจาะลึกพร้อมกันในบทความนี้ ใครควรตรวจ มีการตรวจกี่แบบ จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองควรตรวจ
ให้ข้อมูลโดย นพ. ธนเดช วงศ์จารุกร ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการผ่าตัดส่องกล้องขั้นสูง มีประสบการณ์ผ่าตัดมากกว่า 10 ปี หนึ่งในทีมแพทย์จากบริการ HDcare
อ่านประวัติคุณหมอธนเดชได้ที่นี่ [รู้จัก “คุณหมอธนเดช” หมอผ่าตัดส่องกล้องกับประสบการณ์ผ่าตัดส่องกล้องแบบแผลเดียว]
สารบัญ [show]
ระบบทางเดินอาหารคืออะไร มีความสำคัญกับร่างกายอย่างไร?
ระบบทางเดินอาหาร (The Digestive System) คือ ระบบของร่างกายซึ่งทำหน้าที่ย่อยและกักเก็บอาหารที่เรากิน จากนั้นทำการเปลี่ยนสภาพอาหารให้กลายเป็นอุจจาระ และขับออกมาจากร่างกาย โดยอวัยวะในระบบทางเดินอาหารซึ่งทำหน้าที่หลัก ๆ ต่อกระบวนการเหล่านี้ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่
แพทย์ยังแบ่งส่วนของอวัยวะในระบบทางเดินอาหารออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งจะมีประโยชน์ในการวินิจฉัยแยกโรคในกรณีที่พบภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร และทำให้สามารถประเมินแนวทางตรวจวินิจฉัยผ่านวิธีส่องกล้องทางเดินอาหารได้อย่างเหมาะสม ตามตำแหน่งที่พบเลือดออก ซึ่งแจกแจงได้ดังนี้
- ระบบทางเดินอาหารส่วนบน ได้แก่ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น ใช้วิธีการวินิจฉัยด้วยการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน ซึ่งจะสอดกล้องผ่านทางช่องปากคนไข้
- ระบบทางเดินอาหารส่วนล่าง ได้แก่ ลำไส้เล็กส่วนปลาย ลำไส้เล็กทั้งหมด ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย และลำไส้ตรง ใช้วิธีการวินิจฉัยด้วยการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่าง ซึ่งจะสอดกล้องผ่านทางทวารหนักของคนไข้ และอาจมีการถ่ายภาพรังสีรูปแบบอื่น ๆ เพื่อประกอบการวินิจฉัยด้วย เช่น การทำ CT Scan ลำไส้
ความเสี่ยงโรค หรือภาวะผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับระบบทางเดินอาหาร
ในแต่ละตำแหน่งของระบบทางเดินอาหารจะสามารถเกิดความผิดปกติได้แตกต่างกันไป โดยตัวอย่างอาการที่สามารถพบได้ตามตำแหน่งต่าง ๆ ได้แก่
- บริเวณหลอดอาหาร อาจเกิดภาวะหลอดอาหารมีการเคลื่อนตัวผิดปกติ มีเนื้องอกในหลอดอาหาร หลอดอาหารอักเสบ เซลล์ที่ปลายหลอดอาหารเกิดการเปลี่ยนแปลง พบได้บ่อยในผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนเกิน 5 ปี
- บริเวณกระเพาะอาหาร อาจเกิดแผลในกระเพาะอาหาร มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ การติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะเชื้อเอชไพโลไร (Helicobacter pylori: H. Pylori) ซึ่งหากติดเชื้อเป็นระยะเวลานาน ก็เสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารตามมาได้
- บริเวณลำไส้เล็ก อาจเกิดติ่งเนื้อหรือเนื้องอก เกิดแผลจากลำไส้อักเสบ
- บริเวณลำไส้ใหญ่ อาจเกิดเลือดออกในทางเดินลำไส้ใหญ่จากผนังเส้นเลือดที่เปราะ การเกิดติ่งเนื้อซึ่งอาจลุกลามกลายเป็นเซลล์มะเร็งในภายหลังได้ การบิดตัวของลำไส้ใหญ่จนเกิดเนื้อตายฉับพลัน การเกิดฝีในลำไส้ใหญ่
วิธีตรวจเช็กความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารด้วยตนเอง
วิธีตรวจคัดกรองความผิดปกติที่ระบบทางเดินอาหารด้วยตนเองสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านการสังเกตอาการเกี่ยวกับการย่อยอาหารและการขับถ่ายที่ไม่เหมือนเดิม เช่น
- กิจวัตรการอุจจาระไม่เหมือนเดิม เช่น ท้องเสีย ท้องผูก เบ่งอุจจาระยากขึ้น ท้องเสียสลับท้องผูกอย่างผิดสังเกต
- ลักษณะอุจจาระเปลี่ยนไป โดยมีสีเข้มขึ้น หรือมีขนาดลีบเล็กลง
- กินอาหารแล้วรู้สึกแน่นท้องเร็วผิดปกติ มีอาการจุกแน่นเร็ว กลืนอาหารไม่ค่อยลง
- มีอาการกรดไหลย้อน ในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นอาเจียนร่วมด้วย
- รู้สึกปวดท้อง ปวดบิดท้องอย่างผิดสังเกต
หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นแม้เพียงอาการเดียว ควรเดินทางมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
ใครบ้างที่ควรตรวจคัดกรองระบบทางเดินอาหาร
ปัจจัยที่เป็นตัวบ่งชี้ว่า ใครควรตรวจคัดกรองโรคในระบบทางเดินอาหารบ้าง จะแบ่งออกได้ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- อายุ ผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต้องรับการตรวจคัดกรองโรคในระบบทางเดินอาหารทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการเกิดขึ้นก่อน แต่หากเป็นผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็จำเป็นต้องตรวจคัดกรองเร็วขึ้น โดยเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 40 ปี
- อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น หากมีอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้น แพทย์อาจประเมินในคนไข้รับการตรวจระบบทางเดินอาหารอย่างละเอียดเพิ่มเติม
- ทางเดินอาหารส่วนบน ได้แก่ กลืนติด กลืนเจ็บ น้ำหนักลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ อาเจียนเป็นเลือด ขับถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือมีเลือดปน อุจจาระเป็นสีดำ
- ทางเดินอาหารส่วนล่าง ได้แก่ ท้องเสีย ท้องผูก ลักษณะและสีอุจจาระเปลี่ยนไป โดยสีที่เป็นอันตรายคือ สีดำและสีแดง ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร น้ำหนักลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
การตรวจระบบทางเดินอาหารมีกี่วิธี?
การตรวจหาความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารสามารถทำได้หลายแนวทาง โดยแจกแจงวิธีหลัก ๆ ได้ดังนี้
- การตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร แบ่งออกได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน และการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่าง สามารถใช้ได้ทั้งเพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคได้ โดยแจกแจงวัตถุประสงค์ในการตรวจได้ ดังนี้
- การส่องกล้องเพื่อดูภาพภายในอวัยวะของระบบทางเดินอาหาร
- การส่องกล้องเพื่อเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปส่งตรวจพยาธิวิทยาเพิ่มเติม สามารถช่วยหาความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
- การส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อหรือติ่งเนื้อออก เพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคต
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ (CT Colonography) ซึ่งสามารถวินิจฉัยติ่งเนื้อเล็ก ๆ ในลำไส้ได้
- การสวนแป้งแบเรียม (Barium enema) ซึ่งเป็นสารทึบรังสีที่จะสวนเข้าทางทวารหนักคนไข้ ตัวสารจะเข้าไปเคลือบผนังลำไส้ใหญ่ ทำให้แพทย์สามารถถ่ายภาพภายในลำไส้ใหญ่ออกมาในรูปแบบภาพขาวดำได้ ช่วยให้สามารถมองเห็นติ่งเนื้อ แผลในกระเพาะอาหาร หรือการบีบตัวของลำไส้ได้ ในคนไข้บางรายอาจใช้ตรวจวินิจฉัยร่วมกับวิธีส่องกล้องทางเดินอาหาร
อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร มีลักษณะอย่างไร มีความคมชัดแค่ไหน?
ความคมชัดของกล้องสำหรับส่องตรวจทางเดินอาหารจะชัดอยู่ในระดับ HD มีกำลังขยายในระดับที่สามารถเห็นเส้นเลือดภายในลำไส้ รวมถึงลักษณะของก้อนเลือดที่อาจกับเป็นก้อนเนื้อหรือก้อนมะเร็งได้
อาการแบบไหนที่ต้องตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน
- กลืนติด กลืนเจ็บบริเวณช่องคอ หรือหน้าอก
- น้ำหนักลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- อาเจียนเป็นเลือด
- ขับถ่ายอุจจาระเป็นเลือด มีเลือดปน หรืออุจจาระเป็นสีดำ
- รักษาโรคในระบบทางเดินอาหารด้วยยามานานแล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น
อาการแบบไหนที่ต้องตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่าง
- ลักษณะและสีอุจจาระเปลี่ยนไป โดยเฉพาะสีอุจจาระที่เป็นสีดำ สีแดง มีลักษณะลีบเล็กลงเหมือนลูกกระสุน
- กิจวัตรการขับถ่ายเปลี่ยนไป เช่น ท้องเสีย ท้องผูก ท้องเสียสลับท้องผูก น้ำหนักลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- ท้องอืด แน่นท้อง
- ปวดจุกท้อง
- อ่อนเพลียง่าย เหนื่อยง่าย
- น้ำหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- ตัวซีด
ขั้นตอนการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร
ปัจจุบันขั้นตอนการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารไม่ได้มีความยุ่งยากซับซ้อนเหมือนกับสมัยก่อน
- 2 วันก่อนวันตรวจส่องกล้อง คนไข้ต้องกินอาหารที่ย่อยง่าย และใน 1 วันหลังตรวจ ให้กินอาหารที่มีเนื้อเหลวใส หลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่มีกากใย เนื่องจากจะทำให้ภาพลำไส้จากการส่องกล้องมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
- คนไข้เตรียมลำไส้ให้พร้อมต่อการส่องกล้องจากที่บ้าน โดยแพทย์จะจ่ายยาระบายเพื่อให้ถ่ายอุจจาระออกมาให้หมดก่อน
- เมื่อเดินทางไปถึงโรงพยาบาล แพทย์จะให้ยาระงับความรู้สึกในรูปแบบยานอนหลับทางหลอดเลือด คนไข้จะไม่รู้สึกตัวและไม่เจ็บตลอดการตรวจ
- ในระหว่างการตรวจ คนไข้จะนอนบนเตียงในท่านอนตะแคง จากนั้นแพทย์จะสอดกล้องตรวจทางเดินอาหารที่มีลักษณะเป็นท่อผ่านทางปาก หรือทางทวารหนักคนไข้ ขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจส่องกล้องที่แพทย์เลือก
- ภาพจากกล้องจะปรากฏขึ้นบนจอภายในห้องตรวจ เพื่อให้แพทย์ได้ตรวจหาความผิดปกติในทางเดินอาหาร โดยส่วนมากใช้เวลาตรวจไม่เกิน 1 ชั่วโมง
หากตรวจพบความผิดปกติ แพทย์จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
แนวทางการดูแลคนไข้หลังตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารจะขึ้นอยู่กับความผิดปกติที่ตรวจพบ หากแพทย์ตรวจพบติ่งเนื้อชนิดที่สามารถตัดกำจัดออกในระหว่างตรวจส่องกล้องได้เลย ก็จะทำการตัดเพื่อรักษาตั้งแต่ในระหว่างการตรวจนั้น
แต่หากแพทย์ตรวจพบติ่งเนื้อที่มีโอกาสจะเป็นติ่งเนื้อชนิดไม่ดี หรือก้อนมะเร็ง ก็จะตัดเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อจากติ่งเนื้อนั้นไปส่งตรวจเพิ่มเติม หากผลการตรวจเพิ่มเติมยืนยันว่า คนไข้มีก้อนมะเร็ง ก็จะดำเนินการรักษาไปตามกระบวนการรักษาโรคมะเร็งต่อไป
หรือในอีกกรณี คือ แพทย์ตรวจพบติ่งเนื้อซึ่งอยู่ในลักษณะที่เป็นก้อนมะเร็งไปแล้ว หลังจากนั้นแพทย์ก็อาจส่งตัวคนไข้ไปตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้เพิ่มเติม เพื่อตรวจดูการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งซึ่งมักลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง ปอด และตับ รวมถึงเพื่อประเมินระยะของโรคมะเร็ง และจะได้วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมต่อไป
การดูแลตนเองหลังการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร
การดูแลตนเองหลังการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารจะขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพที่แพทย์ตรวจพบเช่นกัน หากพบความผิดปกติ และมีการตัดชิ้นเนื้อออกไปด้วย ก็จำเป็นต้องฝ้าสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นประมาณ 1 วัน แต่โดยทั่วไปคนไข้สามารถเดินทางกลับบ้านหลังตรวจได้เลย สามารถกินอาหารได้ตามปกติ และกลับมาฟังผลตรวจชิ้นเนื้อในอีกประมาณ 1 สัปดาห์
การตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารตรวจโรคอะไรได้บ้าง?
การตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารสามารถช่วยคัดแยกโรคในระบบทางเดินอาหารที่มีพยาธิสภาพให้เห็น และไม่มีพยาธิสภาพให้เห็น โดยตัวอย่างโรคที่สามารถตรวจพบได้ และมักพบได้บ่อยจากการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร ได้แก่
- โรคลำไส้อักเสบ
- การติดเชื้อในกระเพาะอาหารจนทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ
- การพบติ่งเนื้อในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น
- แผลในกระเพาะอาหาร
- มีเส้นเลือดโป่งพองในทางเดินอาหาร
- ติ่งเนื้อหรือก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่
- ผนังลำไส้ใหญ่มีกระเปาะยื่นออกมา
ส่องกล้องทางเดินอาหาร กับ นพ. ธนเดช ด้วยบริการจาก HDcare
ปวดจุกท้องนาน ๆ ท้องอืด แน่นท้อง อุจจาระไม่เหมือนเดิม อย่าปล่อยละเลยอาการเหล่านี้เอาไว้ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นกับระบบทางเดินอาหาร
ติดต่อขอคำปรึกษา หรือตรวจวินิจฉัยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านบริการ HDcare ได้เลย มีทีมแอดมินคอยประสานงานให้ ไม่ต้องนัดคุณหมอเอง แถมยังเลือกคุณหมอได้ และเลือกได้ว่าอยากปรึกษาทางออนไลน์ก่อน หรือจะไปพบคุณหมอที่โรงพยาบาล และหากจำเป็นต้องตรวจส่องกล้องทางเดินอาหารเพิ่มเติม ก็ซื้อบริการตรวจและทำนัดผ่านทาง HDcare ได้เช่นกัน
แถมในวันตรวจ ต่อให้ไม่มีญาติหรือคนสนิทไปด้วย คุณก็จะยังมีพยาบาลผู้ช่วยส่วนตัวที่จะคอยอยู่เป็นเพื่อน คอยประสานงาน และคอยตอบคำถามที่คุณสงสัยจนกระทั่งการตรวจเสร็จสิ้นเรียบร้อย
สอบถามทุกประเด็นเกี่ยวกับการตรวจหรือการผ่าตัดที่สงสัย กับทางทีมของ HDcare จนกว่าจะมั่นใจ และหากต้องการผู้ช่วยประสานงานด้านใดในโรงพยาบาล หรืออยากสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบริการ HDcare สามารถพูดคุยผ่านทางไลน์ @HDcare ได้เลย