Default fallback image

ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) คืออะไร สาเหตุ อาการ การรักษา

อาการปวดท้องประจำเดือนมากๆ ทุกเดือน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แค่รับประทานยาแก้ปวดก็คงหาย เพราะคุณอาจเสี่ยงเป็น ช็อกโกแลตซีสต์

ช็อกโกแลตซีสต์ คืออะไร สาเหตุ อาการ การรักษา และวิธีป้องกันมีอะไรบ้าง มาทำความรู้จักโรคยอดฮิต ภัยเงียบของผู้หญิงกันได้ในบทความนี้

ช็อกโกแลตซีสต์ คืออะไร

ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) เป็นภาวะถุงน้ำที่เกิดขึ้นในรังไข่ ส่วนใหญ่มักเกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ในระยะที่รุนแรงมากขึ้น

การที่ถุงน้ำรังไข่ถูกเรียกว่าช็อกโกแลตซีสต์นั้น เนื่องจากภายในถุงน้ำจะมีของเหลวสีน้ำตาลเข้มคล้ายช็อกโกแลต ซึ่งเกิดจากเลือดประจำเดือนที่ไหลย้อนกลับเข้าไปในถุงน้ำ หากได้รับการกระทบกระเทือนมากๆ อาจส่งผลให้ถุงน้ำแตก เกิดภาวะตกเลือด หรือติดเชื้อที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

สาเหตุของการเกิดช็อกโกแลตซีสต์

ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นภาวะที่มักเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์คือ 25-40 ปี ปัจจัยหลักๆ ที่กระตุ้นให้เกิดช็อกโกแลตซีสต์ขึ้นในบริเวณรังไข่ มีดังนี้

  • ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในรังไข่
  • ความผิดปกติของฮอร์โมนเอสโตรเจน
  • การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
  • การมีประจำเดือนแบบย้อนกลับ (Retrograde Menstruation) ที่ทำให้เลือดประจำเดือนไหลเวียนกลับขึ้นไปที่รังไข่

ช็อกโกแลตซีสต์อันตรายแค่ไหน?

ช็อกโกแลตซีสต์ถือเป็นภาวะที่ค่อนข้างอันตราย และอาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงได้ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ถ้าตรวจพบช็อกโกแลตซีสต์แล้วไม่รีบรักษา ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นได้ในภายหลัง

  • ภาวะมีบุตรยาก เมื่อเกิดช็อกโกแลตซีสต์ขึ้นที่บริเวณรังไข่ ซีสต์จะทำลายเนื้อเยื่อบริเวณรังไข่ และทำให้รังไข่เสื่อมสภาพลงจนส่งผลให้มีบุตรยากขึ้น หรือในกรณีร้ายแรงมากๆ อาจต้องตัดรังไข่ทิ้ง
  • อาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง ช็อกโกแลตซีสต์อาจก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องน้อยแบบเรื้อรังได้
  • การทำงานของรังไข่ผิดปกติ นอกจากช็อกโกแลตซีสต์จะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรังไข่ถูกทำลายแล้ว ยังอาจทำให้เกิดพังผืดบริเวณรังไข่ และท่อนำไข่ จนทำให้รังไข่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย แม้ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก แต่ในกรณีที่บริเวณอุ้งเชิงกรานได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และช็อกโกแลตซีสต์แตกกะทันหัน อาจทำให้เลือดที่อยู่ภายใน ไหลออกมาบริเวณอุ้งเชิงกราน เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และภาวะช็อกจากการสูญเสียเลือดได้

 อาการของช็อกโกแลตซีสต์

โดยทั่วไปแล้ว อาการหลักของช็อกโกแลตซีสต์คือปวดท้องน้อยขณะมีประจำเดือน จึงอาจสับสนระหว่างอาการปวดประจำเดือนธรรมดา กับอาการที่เกิดจากช็อกโกแลตซีสต์ ดังนั้นจึงจะต้องสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่

  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • รู้สึกปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
  • ปวดหลังส่วนล่าง
  • ปวดเวลาถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • อ่อนเพลีย
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์

แม้ว่าอาการของช็อกโกแลตซีสต์จะสังเกตได้ง่าย แต่ในบางกรณี อาการที่เกิดขึ้นก็อาจไม่ใช่สัญญาณของภาวะช็อกโกแลตซีสต์เสมอไป ดังนั้นจึงต้องไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการตรวจอย่างละเอียดจึงจะสามารถวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน

กลุ่มเสี่ยงของภาวะช็อกโกแลตซีสต์

ผู้หญิงทุกคนล้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะช็อกโกแลตซีสต์ได้ แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดช็อกโกแลตซีสต์ ได้แก่

  • ผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 25-40 ปี)
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
  • ผู้ที่ไม่เคยมีบุตร
  • ผู้ที่มีประจำเดือนมาเร็วกว่าปกติ
  • ผู้ที่มีรอบเดือนยาวหรือมีประจำเดือนมามากกว่าปกติ
  • ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์

วิธีการรักษาของภาวะช็อกโกแลตซีสต์

ปัจจุบันมีการรักษาช็อกโกแลตซีสต์มีหลายวิธี แพทย์จะพิจารณาถึงวิธีการรักษาโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ แบ่งวิธีการรักษาเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • การรักษาแบบประคับประคอง เช่น การใช้ยาแก้ปวด การรับประทานยาคุมกำเนิด และการใช้ยาฮอร์โมนเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของซีสต์
  • การรักษาด้วยการผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopy) เพื่อนำช็อกโกแลตซีสต์ออก หรือการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ในกรณีที่ซีสต์มีขนาดใหญ่มาก และการผ่าตัดเอารังไข่ออก ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องตัดรังไข่

การป้องกันช็อกโกแลตซีสต์

ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นภาวะที่ไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีเหล่านี้

  • ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ
  • พบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม

การดูแลตนเองเมื่อเป็นช็อกโกแลตซีสต์

แม้ว่าภาวะช็อกโกแลตซีสต์จะค่อนข้างร้ายแรง และอาจส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงได้ แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีช็อกโกแลตซีสต์ก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยควรปฏิบัติตัวดังนี้

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจกระทบกระเทือนบริเวณท้อง เพราะอาจส่งผลต่อช็อกโกแลตซีสต์ได้
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • หมั่นสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ

ทั้งนี้หากพบว่าเกิดความผิดปกติเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์โดยทันที

  • ปวดท้องน้อยรุนแรงเฉียบพลัน
  • มีไข้ร่วมกับอาการปวด
  • อาเจียนรุนแรง
  • เป็นลมหรือหน้ามืด
  • มีเลือดออกผิดปกติ
  • ปวดท้องร่วมกับอาการช็อก

ช็อกโกแลตซีสต์เป็นภาวะที่สามารถรักษาได้ แต่จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ถ้าตรวจพบเร็ว และรีบรักษาอย่างทันท่วงที จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้

ดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และปรึกษาแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติ เพื่อไม่ให้สายเกินแก้

ปวดท้องน้อยบ่อยๆ ปวดมากเวลามีประจำเดือน บางครั้งก็ปวดร้าวไปที่หลังล่าง เรากำลังเป็นช็อกโกแลตซีส์หรือเปล่า? อยากตรวจให้แน่ใจ ทักหา HDCare ช่วยคุณนัดคิวตรวจภาวะช็อกโกแลตซีสต์ได้รวดเร็ว คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top