น้ำมันงา (Sesame Oil)

น้ำมันงาได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในด้านโภชนาการและการดูแลสุขภาพ จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่าคุณสมบัติของน้ำมันงาส่งผลดีต่อร่างกายในหลายด้าน นอกเหนือจากการนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพผิวและเส้นผมอีกด้วย

สารบัญ

ประโยชน์ของน้ำมันงา

1. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

น้ำมันงามีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง เช่น เซซามิน (Sesamin), เซซาโมลิน (Sesamolin), และเซซามอล (Sesamol) ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ลดการอักเสบ และอาจช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย รวมถึงป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง

2. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ

ไขมันที่พบในน้ำมันงาส่วนใหญ่เป็น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fats) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated fats) ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

3. ช่วยลดความดันโลหิต

มีงานวิจัยพบว่าน้ำมันงาอาจช่วยลดความดันโลหิต โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง สารเซซามินในน้ำมันงามีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดเลือดและส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต

4. เสริมสร้างสุขภาพกระดูก

น้ำมันงาอุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน

5. ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร

น้ำมันงามีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้สามารถช่วยลดอาการท้องผูกและช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ

6. บำรุงผิวพรรณและป้องกันริ้วรอย

น้ำมันงาเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ธรรมชาติที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวหนัง มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัย และยังมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของผิว เช่น อาการแห้งแตก ผื่นคัน และแผลจากการไหม้แดด

7. บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ

น้ำมันงาช่วยให้เส้นผมแข็งแรง เงางาม และลดการหลุดร่วงของเส้นผม นอกจากนี้ยังสามารถใช้หมักผมเพื่อลดปัญหารังแคและอาการคันหนังศีรษะ

8. ช่วยลดการอักเสบ

น้ำมันงามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดข้อในผู้ที่มีภาวะข้ออักเสบ และช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อเมื่อใช้ทาถูบริเวณที่ปวด

9. ปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด

มีการศึกษาพบว่าน้ำมันงาอาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงอาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

10. มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

น้ำมันงามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส จึงถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์แผนโบราณ เช่น การกลั้วปากด้วยน้ำมันงา (Oil Pulling) เพื่อช่วยลดเชื้อแบคทีเรียในช่องปากและช่วยลดกลิ่นปาก

11. ช่วยให้หลับสบายขึ้น

ในศาสตร์อายุรเวท น้ำมันงามักถูกใช้ในการนวดตัวเพื่อลดความเครียดและช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ซึ่งอาจช่วยให้หลับสบายขึ้นเมื่อใช้ทาฝ่าเท้าหรือนวดตัวก่อนนอน

ข้อควรระวังในการใช้น้ำมันงา

แม้ว่าน้ำมันงาจะมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการที่ควรทราบก่อนนำไปใช้ทั้งในการบริโภคและการใช้ภายนอก

1. อาการแพ้น้ำมันงา

  • งาเป็นหนึ่งในสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็กและผู้ที่มีอาการแพ้อาหารอื่นๆ เช่น ถั่วลิสง หรือถั่วชนิดอื่น
  • อาการแพ้อาจรวมถึงผื่นคัน ลมพิษ อาการบวมของใบหน้าและลำคอ หรือรุนแรงถึงขั้นช็อกจากภูมิแพ้ (Anaphylaxis)
  • ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้โดยการทานในปริมาณเล็กน้อย หรือทาน้ำมันงาที่ผิวหนังแล้วรอดูอาการ

2. อาจส่งผลต่อความดันโลหิต

  • น้ำมันงามีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งอาจเป็นผลดีสำหรับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
  • อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำอยู่แล้ว การบริโภคน้ำมันงามากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด หรือเป็นลม

3. ไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด

  • น้ำมันงามีสารบางชนิดที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด จึงอาจเสริมฤทธิ์ของยา เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) หรือแอสไพริน (Aspirin)
  • หากคุณกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคน้ำมันงาเป็นประจำ

4. อาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด

  • มีงานวิจัยที่ระบุว่าน้ำมันงาอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
  • แต่หากใช้ร่วมกับยาลดระดับน้ำตาลในเลือด อาจทำให้ระดับน้ำตาลต่ำเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หรือหมดสติ

5. ปริมาณแคลอรี่สูง อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น

  • น้ำมันงาเป็นไขมัน แม้ว่าจะเป็นไขมันดี แต่ให้พลังงานสูง (ประมาณ 120 แคลอรี่ต่อช้อนโต๊ะ)
  • หากบริโภคมากเกินไปโดยไม่ควบคุมปริมาณอาหารอื่น อาจส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

6. อาจเกิดกลิ่นหืนหากเก็บรักษาไม่ดี

  • น้ำมันงามีไขมันไม่อิ่มตัวสูง จึงมีแนวโน้มเหม็นหืนได้ง่ายหากเก็บไว้นาน หรือเก็บในที่ร้อน
  • ควรเก็บในขวดปิดสนิท และเก็บไว้ในที่เย็นหรือแช่ตู้เย็นหากต้องการเก็บไว้นาน

7. อาจระคายเคืองผิวในบางคน

  • แม้ว่าน้ำมันงาจะมีสรรพคุณบำรุงผิว แต่บางคนอาจเกิดการระคายเคืองเมื่อใช้ทาผิว
  • ควรทดสอบกับผิวหนังบริเวณเล็กๆ ก่อนใช้ทั่วร่างกาย

8. ไม่ควรใช้ในปริมาณมากระหว่างตั้งครรภ์

  • น้ำมันงามีสารที่อาจส่งผลต่อฮอร์โมน จึงมีคำแนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันงาสกัดเข้มข้นเป็นอาหารเสริมหรือสมุนไพร

การใช้ในการประกอบอาหาร

ทนความร้อนได้สูง

น้ำมันงามีจุดเกิดควันสูงถึงประมาณ 400 องศาฟาเรนไฮต์ ทำให้สามารถใช้ปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงโดยไม่ทำให้เกิดสารอันตรายต่อสุขภาพ

รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

น้ำมันงาให้รสชาติที่มีเอกลักษณ์ คล้ายถั่วและมีกลิ่นหอม นิยมใช้ในอาหารจีน เกาหลี และอาหารอินเดียตอนใต้ มีทั้งน้ำมันงาคั่วที่ให้รสเข้มข้นและน้ำมันงาธรรมดาที่มีรสอ่อนกว่า ซึ่งทั้งสองประเภทควรเก็บในที่เย็นเพื่อป้องกันการเหม็นหืน

น้ำมันงาเป็นแหล่งของไขมันที่ดีต่อสุขภาพ มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงหัวใจ สุขภาพช่องปาก ระบบขับถ่าย ผิวหนัง กระดูก และเส้นผม อีกทั้งยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการประกอบอาหาร ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและความสามารถในการทนความร้อนได้สูง การนำน้ำมันงามาใช้ในชีวิตประจำวันจึงเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ

Scroll to Top