มันฝรั่ง เป็นพืชหัวที่ทั่วโลกนิยมนำมาบริโภค อุดมด้วยสารอาหารที่มีคุณค่า นำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งประกอบอาหาร และนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูป
มันฝรั่งให้พลังงานเท่าไร?
มันฝรั่งต้มสุก 100 กรัม (2/3 ถ้วย) ให้พลังงาน 87 Kcal ประกอบด้วย
- โปรตีน 1.9 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 20.1 กรัม
- น้ำตาล 0.9 กรัม
- ใยอาหาร 1.8 กรัม
- ไขมัน 0.1 กรัม
- วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี วิตามินบี 6 โพแทสเซียม โฟเลต
คุณประโยชน์ของมันฝรั่ง
มันฝรั่งนับว่าเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สามารถนำมาต้ม อบ หรือทอด เพื่อรับประทานเป็นอาหารหลักได้
ช่วยให้อิ่มท้องได้นาน ลดความหิวระหว่างมื้อ เนื่องจากมีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนคุณภาพสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งควรเป็นมันฝรั่งต้มหรืออบ และผ่านการปรุงรสน้อยที่สุด
ที่สำคัญคือควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม โดยจากข้อมูลสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวัน สำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป ให้รับประทานอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ไม่เกิน 300 กรัมต่อวัน เพราะหากรับประทานมากเกินไปจะเกิดการสะสมน้ำตาลและไขมันในประมาณมากจะสามารถทำให้อ้วนได้
ในมันฝรั่งประกอบไปด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิด เช่น ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมงกานีส สังกะสี ที่ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน มีโพแทสเซียมที่ช่วยในการขยายตัวของหลอดเลือด ช่วยลดระดับความดันโลหิต
นอกจากนี้ยังพบสารโคลิน (Choline) ช่วยเรื่องระบบประสาท สมอง และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
มีโฟเลต ซึ่งเป็นส่วนช่วยการสร้างและซ่อมแซมดีเอนเอ (DNA) ป้องกันการสร้างเซลล์มะเร็ง
ที่สำคัญ ในมันฝรั่งยังมีใยอาหาร วิตามินซี วิตามินบี 6 และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย และระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานดีขึ้น
นอกจากมันฝรั่งจะสามารถนำมาเป็นอาหารได้แล้ว ยังสามารถนำมาใช้ภายนอกเพื่อดูแลผิวพรรณได้ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยทำความสะอาด ปกป้อง และบำรุงผิวได้ดี อีกทั้งช่วยลดรอยด่างดำและรอยย่นบนใบหน้า
ปัจจุบันจึงมีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากมันฝรั่ง เช่น โลชันมันฝรั่ง มาส์กบำรุงผิว
ข้อควรระวังในการบริโภคมันฝรั่ง
- มันฝรั่งเป็นพืชที่มีดัชนีน้ำตาล (Glycemic index: GI) สูง โดยมันฝรั่งต้มมี GI ประมาณ 78-85 จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะหากรับประทานเข้าไปจะทำให้มีภาวะน้ำตาลสูง
- มันฝรั่งที่เปลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียว มีรอยแผลดำ หรือมีรากงอก จะพบสารโซลานีน (Solanine) ซึ่งมีมากในราก เปลือก และตาของมันฝรั่ง เป็นสารที่ทำให้เกิดรสขม และเป็นพิษต่อระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือด
- หากได้รับสารโซลานีนปริมาณน้อยๆ จะทำให้มีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน หากได้รับปริมาณมากจะส่งผลต่อระบบประสาทให้ทำงานผิดปกติ หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ มีไข้ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
- มีรายงานจากงานวิจัยว่า ระดับโซลานีนที่เป็นพิษนั้น คือ มากกว่า 55 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมขึ้นไป แต่โดยทั่วไป ในหัวมันฝรั่งจะพบโซลานีนไม่เกิน 5-8 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตราย และโซลานีนสามารถถูกทำลายได้ด้วยความร้อน เช่น การต้ม อบ ทอด
- นอกจากนี้ในมันฝรั่งที่ถูกปรุงให้สุกด้วยความร้อนสูงกว่า 120 องศาเซลเซียส จะเกิดสารอะคริลาไมด์ (Acrylamide) เป็นสารที่จะพบในกาว พลาสติก ควันบุหรี่ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยอะคริลาไมด์ (Acrylamide) มักพบใน มันฝรั่งทอดกรอบ (Potato chips) เฟรนช์ฟรายส์ (French fries)
จะเห็นได้ว่า มันฝรั่งเป็นพืชที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากรับประทานปริมาณมากเกินก็สามารถเกิดโทษ ผู้บริโภคจึงต้องพิจารณาความเหมาะสม จากภาวะสุขภาพร่างกาย โรคและความเจ็บป่วย ที่อาจเป็นข้อจำกัดในการรับประทานมันฝรั่ง