ยาชาเฉพาะที่แบบทา มีกี่ประเภท ทำงานอย่างไร ใช้เมื่อไหร่

ยาชาเฉพาะที่ (Local anesthetics) เป็นยาใช้ระงับความรู้สึกเฉพาะที่ ออกฤทธิ์ยับยั้งการกระตุ้นปลายประสาทรับความรู้สึก (Nerve ending) หรือโดยการขัดขวางการส่งสัญญาณประสาทไปยังระบบประสาทส่วนปลายที่ทำให้รับรู้ความรู้สึกที่อยู่ในบริเวณผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ ของร่างกาย แต่ยาชาเฉพาะที่ไม่ได้มีผลทำให้เกิดอาการชาที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่ไม่ได้สัมผัสยาชา

มีคำถามเกี่ยวกับ ยาชาเฉพาะที่? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ยาชาเฉพาะที่มีทั้งรูปแบบยาพ่น ยาทา และยาฉีด  เพื่อให้ผู้ป่วยไม่มีความรู้สึกในบริเวณดังกล่าว เช่น เพื่อระงับรู้สึกเจ็บปวดในขณะทำการรักษา การผ่าตัดเล็ก หรืออาจใช้เพื่อรักษาบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่างๆ

การใช้ยาชาเฉพาะที่

ยาชาเฉพาะที่ใช้โดยการทา พ่น หรือฉีดเข้าไปเฉพาะบริเวณชั้นผิวหนังที่ต้องการระงับความรู้สึก ซึ่งเป็นที่อยู่ของเส้นประสาทรับความรู้สึก

ยาชาจะมีผลทำให้บริเวณที่ทายาหมดความความรู้สึกไประยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ผู้ป่วยจะยังคงมีสติรู้ตัว ไม่หมดสติหรือง่วงซึม สามารถตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ได้ตามปกติ

ยาชาเฉพาะที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในทางการแพทย์และศัลยกรรม เช่น การสักตามร่างกาย การสักคิ้ว การผ่าตัดเล็ก ทันตกรรม รวมถึงการใช้เพื่อระงับความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณเยื่อบุช่องปาก

การใช้ยาชาเฉพาะที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากยาชาแต่ละชนิดมีความแรงที่แตกต่างกัน บริเวณที่ใช้ยาชา รวมถึงระยะเวลาในการใช้ อายุ และน้ำหนักของผู้ป่วย มีผลต่อฤทธิ์การระงับความรู้สึกและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาชาได้

แต่ในบางครั้งยาชาเฉพาะที่ก็ถูกใช้ร่วมกับการให้ยาตัวอื่นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายหรือง่วงนอนด้วยเช่นกัน

ยาชาเฉพาะที่นิยมใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดในระหว่างการผ่าตัดและหลังการผ่าตัด มักใช้ในการผ่าตัดเล็กที่ใช้เวลาสั้นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ป่วยหมดสติ ไม่จำเป็นต้องให้กล้ามเนื้อร่างกายของผู้ป่วยคลายตัวอย่างเต็มที่เพื่อเตรียมรับการผ่าตัด

ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวและกลับบ้านได้ในเวลารวดเร็วหลังการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดไฝหรือหูด การตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ การทำศัลยกรรมใบหน้าหรือบริเวณผิวหนังชั้นตื้น การผ่าตัดฟันกราม การผ่าตัดต้อกระจก เป็นต้น

นอกจากนี้ การใช้ยาชาเฉพาะที่ยังนิยมใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดร่วมกับยาลดปวด หรือยาสลบชนิดอื่น เพื่อลดปริมาณการใช้ยาสลบ เช่น การผ่าตัดอวัยวะ เช่น มือ แขน ขา การคลอดธรรมชาติ และการผ่าคลอด

ความปลอดภัยในการยาชาเฉพาะที่

แม้ยาชาจะใช้ในเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาหลายประเภท และขณะที่ใช้ยาชา แพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือกับผลข้างเคียงฉุกเฉินที่ไม่พึงประสงค์ แต่พบว่ามีการนำยาชามาใช้อย่างแพร่หลายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยที่ไม่มีแพทย์ควบคุมดูแล เช่น การใช้ยาชาตามร้านรับสัก ร้านรับเจาะหู

การใช้ยาชาเกินขนาดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เช่น อาจเกิดภาวะพิษจากยาชาจากการที่ยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดไหลเวียนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยยาชามี

  • มีผลกดการหายใจ อาจทำให้หยุดหายใจจนถึงขั้นเสียชีวิต
  • อาจมีผลต่อการทำงานของหัวใจจนเกิดความผิดปกติได้
  • อาจมีผลต่อการทำงานของสมองจนเกิดความผิดปกติได้

ดังนั้น หากคุณต้องรับบริการใดๆ ที่ต้องใช้ยาชา ควรดูให้แน่ใจก่อนว่าร้านดังกล่าวมีแพทย์ควบคุมดูแลเพื่อให้คำแนะนำการใช้ยา เพราะยาชาถือว่าเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ต้องให้แพทย์เป็นผู้ส่งมอบยาเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ยาชาจะใช้ในสถานพยาบาลที่มีแพทย์ควบคุม

ยาชาเฉพาะที่ หาซื้อเองได้ไหม มีขายที่ไหน

ส่วนใหญ่ ยาชาเฉพาะที่จะถูกสั่งใช้โดย ทันตแพทย์ แพทย์ผ่าตัด หรือบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไป

บางชนิดสามารถหาได้เองจากร้านขายทั่วไป โดยยาชาเฉพาะที่มีหลายรูปแบบได้แก่ ครีม เจล สเปรย์ ฉีด หรือขี้ผึ้ง

อย่างไรก็ตาม ยังมีการลักลอบจำหน่ายยาชาใต้ดินอย่างผิดกฎหมาย ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวัง ตรวจสอบแหล่งที่มา รวมถึงความปลอดภัยของยาชาให้มั่นใจก่อนใช้

ชนิดของยาชาเฉพาะที่

ยาชาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ตามโครงสร้างโมเลกุล ได้แก่ กลุ่มเอสเตอร์ (Ester) และกลุ่มเอไมด์ (Amide)

ในบทความนี้จะกลาวถึงรายละเอียดของยาชาชนิดทาหรือพ่นที่นิยมใช้ภายนอก เช่น ผิวหนัง ช่องปาก และดวงตา ซึ่งสามารถพบได้บ่อย

ยาชาแบบทาหรือพ่นในกลุ่มเอสเตอร์

1. เตตราเคน (Tetracaine)

เป็นยาใช้เพื่อให้เกิดอาการชาบริเวณผิวหนังและดวงตา

รูปแบบยาเตตราเคน

  • ยาครีมความเข้มข้น 1%
  • ยาขี้ผึ้งความเข้มข้น 0.5%
  • ยาเจลความเข้มข้น 4%
  • ยาหยอดตาความเข้มข้น 0.5%

ปริมาณที่ใช้

  • 2-20 มิลลิกรัม (ในผู้สูงอายุควรลดขนาดการใช้ยา)

การออกฤทธิ์

  • ยาชาแบบทา ใช้เวลา 5-10 นาทีในการเริ่มออกฤทธิ์ ยาครีมมีผลต่อร่างกายนาน 30 นาที ยารูปแบบเจลมีผลต่อร่างกายนาน 4-6 ชั่วโมง
  • ยาชาแบบหยอดตา ใช้เวลา 25 วินาทีในการเริ่มออกฤทธิ์ มีผลทำให้ชานาน 15 นาที

ข้อควรระวังในการใช้

หลีกเลี่ยงการทาที่ดวงตาหรือผิวหนังต่อเนื่องเป็นเวลานาน และห้ามขยี้ตาจนกว่าอาการชาที่เกิดจากการใช้ยาจะหายไป

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

  • อาการบวมน้ำ
  • อาการคัน แสบ
  • ผื่นแดง
  • การใช้ในปริมาณที่มากเกินไปสามารถกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางในช่วงแรก ทำให้เกิดอาการวิตกกังวล กระสับกระส่าย อาการชัก ตามด้วยการกดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการง่วงนอน หมดสติ และมีผลกดการหายใจ
  • ผู้ที่ใช้ยาเตตราเคนหยอดตาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบ (Keratitis) ได้

ข้อห้ามใช้

  • ผู้ที่แพ้ P-aminobenzoic acid หรืออนุพันธ์ ห้ามใช้ยานี้

2. เบนโซเคน (Benzocaine)

เบนโซเคน เป็นยาชาในกลุ่มเอสเตอร์ ออกฤทธิ์เร็ว แต่มีระยะเวลาออกฤทธิ์สั้น ประมาณ 30 นาที-1 ชั่วโมง เป็นยาที่ใช้โดยการทาที่เนื้อเยื่อหรือผิวหนัง หรือโดยการอมในปาก

ความเข้มข้นของยาที่ใช้มีหลายขนาด ขนาดสูงสุดคือ 20% หรือ 200 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร

รูปแบบยา

มีคำถามเกี่ยวกับ ยาชาเฉพาะที่? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ยาเจลและยาขี้ผึ้ง

ข้อบ่งใช้

  • ใช้อมเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
  • ใช้เป็นยาชาทาในกรณีต้องการสอดอุปกรณ์เข้าสู่ร่างกาย
  • ใช้ทาบริเวณผิวหนังหรือเนื้อเยื่อเพื่อลดอาการปวดที่เกิดจากการระคายเคือง เช่น ผิวหนังถูกแดดเผา ผื่นจากแมลงกัด ผื่นคัน ปวดบริเวณริดสีดวงทวาร ปวดเหงือก ปวดฟันและปวดในช่องปาก

วิธีใช้และขนาดยา

ขึ้นอยู่กับอายุและบริเวณที่จะใช้ เนื่องจากยามีขนาดความเข้มข้นต่างๆ กัน จึงควรดูสลากกำกับการใช้ยาและควรใช้

  • บรรเทาอาการเจ็บคอ
    ใช้การอมด้วยลูกอมซึ่งมียาชา 10-15 มิลลิกรัม ให้ละลายช้าๆ ในช่องปาก อมยาซ้ำได้ทุก 2 ชั่วโมง (สำหรับเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่
  • รักษาแผลริดสีดวงทาที่แผลริดสีดวง ใช้ได้ตั้งแต่ 5-20% ทาบริเวณที่เป็น ใช้ได้ 6 ครั้ง/วัน (สำหรับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่)
  • เพื่อบรรเทาปวดผิวหนัง
    ทาที่ผิวหนังที่ถูกแมลงต่อยหรือแพ้แดด ใช้ขนาด 5-20% ทาบางๆ  3-4 ครั้ง/วัน (หากทาในปาก ให้ใช้ขนาด 10-20% ทาบางๆ บริเวณที่ปวดแสบ 4 ครั้ง/วัน (สำหรับเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่)
  • บรรเทาปวดจากการสอดใส่อุปกรณ์เข้าสู่ร่างกาย
    ใช้เป็นสารหล่อลื่น ใช้ขนาด 20% ทาที่ภายนอกอุปกรณ์

ข้อห้ามใช้

  • ตามข้อห้ามใช้ของยาชา (Local anesthetics)
  • ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานี้และยาชาในกลุ่มเอสเตอร์
  • ห้ามใช้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์
  • ห้ามใช้ในบริเวณที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาในบริเวณที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อมีการแตกเป็นแผลหรือฉีกขาด
  • ห้ามใช้ทาที่ดวงตา

ข้อควรระวัง

  • การใช้ยาชานี้อมในปริมาณมากเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ จะทำให้เสี่ยงต่อการสำลักอาหาร หรือน้ำหลั่งกระเพาะอาหารเข้าปอด (Pulmonary aspiration)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาอมหรือทาในปากก่อนนอน เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการสำลัก
  • เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเมธทีโมโกลบินนีเมีย (Methemoglobinemia) ทำให้เกิดการขาดออกซิเจนในเลือด โดยพบได้บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เด็กที่มีประวัติโรคที่เกี่ยวกับเอนไซม์ผิดปกติกรณีที่ใช้ยาเกินขนาด และกรณีที่ใช้ยาติดต่อกันนาน
  • มีอุบัติการณ์การเกิดปฏิกิริยาแพ้ค่อนข้างสูง โดยเกิดเป็นผื่น บวม แดง
  • การใช้ในสตรีมีครรภ์ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์

อาการไม่พึงประสงค์

  • พบได้เช่นเดียวกับยาชาทั่วไป แต่ที่มีอุบัติการณ์มากกว่ายาชาตัวอื่น คือ การเกิดเมธทีโมโกลบินนีเมียและปฏิกิริยาแพ้ยา

ยาชาแบบทาหรือพ่นในกลุ่มเอไมด์

1. ลิโดเคน (Lidocaine)

ลิโดเคน เป็นยาชาซึ่งมีหลายรูปแบบ และหลายขนาดความเข้มข้นใช้เพื่อให้เกิดอาการชาและลดอาการปวดบริเวณผิวหนัง

รูปแบบยา

  • ยาสารละลายความเข้มข้น 2%, 4% และ 10%
  • ยาสารละลายข้นหนืด (Viscous solution) ความเข้มข้น 4%
  • ยาขี้ผึ้งความเข้มข้น 1-5%
  • ยาเจลความเข้มข้น 1-2%
  • ยาหยอดตาความเข้มข้น 0.5%
  • ชนิดแผ่นแปะความเข้มข้น 5%
  • สเปรย์ใช้พ่นในช่องปากความเข้มข้น 10%

ข้อบ่งใช้

  • ใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ โดยการทา พ่น หรือฉีด
  • ใช้พ่นในลำคอ เพื่อให้เกิดการชาและลดการกระตุ้นหัวใจและระบบไหลเวียนเลือดจากการใส่ท่อช่วยหายใจ
  • ลดอาการปวดในบริเวณที่ฉีดยาโปรโพฟอล (Propofol-ยาสลบหรือยานำในช่วงเริ่มต้นเพื่อทำให้คนไข้สลบ)

วิธีใช้และขนาดยา

การใช้ยาชาลิโดเคน ปริมาตรของยาที่จะใช้ขึ้นกับอายุ น้ำหนักตัว วิธีใช้ ตำแหน่งที่ใช้ และความเข้มข้นของยาชา เช่น

  • กรณีเจล ขี้ผึ้ง สเปรย์ และสารละลายข้นหนืด ใช้โดยการทาหรือพ่นบริเวณเนื้อเยื่อหรือในช่องปาก เพื่อให้เกิดการชา ซึ่งจะมีประโยชน์ลดการระคายจากการใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจ หรืออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อตรวจหลอดลมและหลอดอาหาร ในขณะที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวและยังใช้ทาที่อุปกรณ์ที่จะสอดใส่เข้าร่างกาย เพื่อบรรเทาอาการปวดขณะใส่
  • สำหรับชาเฉพาะที่บริเวณผิวหนัง แพทย์จะให้ยาปริมาณ 20 กรัม ใน 24 ชั่วโมง
  • สำหรับการลดปวดในช่องปาก แพทย์จะให้ยาปริมาณ 300 มิลลิกรัม
  • สำหรับให้ยาก่อนการทำทันตกรรมในช่องปาก แพทย์จะให้ปริมาณ 40-200 มิลลิกรัม ขนาดสูงสุด 2.4 กรัมต่อวัน

การออกฤทธิ์

ลิโดเคนเป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว ส่วนระยะเวลาออกฤทธิ์จะขึ้นกับรูปแบบของยาที่ใช้

  • ยาหยอดตา ใช้เวลา 25 วินาที-5 นาทีในการเริ่มออกฤทธิ์ มีผลทำให้ชานาน 5-30 นาที
  • ยาทาหรือพ่น ใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการเริ่มออกฤทธิ์ อาการชาจะอยู่ได้นานประมาณ 30 นาที-1 ชั่วโมง แต่หากผสมยาอิพิเนฟฟริน (Epinephrine) ด้วย อาจอยู่ได้นานถึง 4 ชั่วโมง

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นช้า หลอดเลือดแดงหดตัว อาการบวมน้ำ หน้าแดง หัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตต่ำ
  • เกิดความวิตกกังวล โคม่า สับสน ง่วงนอน ประสาทหลอน ชัก มึนงง เคลิ้มฝัน ง่วงซึม คลื่นไส้ อาเจียน ปากมีรสโลหะ หูอื้อ เวียนศีรษะ
  • สำหรับชนิดแผ่นแปะ อาจเกิดอาการผิวหนังช้ำ ระคายเคือง อาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ยาสัมผัสมีสีซีดลงหรือแดงผิดปกติ หรือเกิดอาการคันได้
  • การใช้ยาขนาดสูงหรือปิดทับยาไว้นานกว่า 2 ชั่วโมงอาจทำให้เกิดพิษจากยาชา ทำให้มีอาการทางระบบประสาท และระบบไหลเวียน
  • สำหรับชนิดหยอดตา อาจมีการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผิวกระจกตา เห็นภาพซ้อน การมองเห็นเปลี่ยนแปลง

ข้อห้ามใช้

  • ผู้ที่แพ้ยา หรือแพ้ยาชาในกลุ่มเอไมด์
  • สัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวางระดับที่ 2 หรือ 3 ในกรณีที่ไม่มีการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (pacemaker)
  • ผู้ป่วยที่ได้ยารักษาการเต้นหัวใจผิดจังหวะ (antiarrhythmic) เช่น procainamide, disopyramide, flecainide, quinidine และ amiodarone
  • Stokes-Adams syndrome (ความผิดปกติที่มีอาการเกร็งกระตุกจากภาวะเลือดไปเลี้ยงสมอง/กล้ามเนื้อไม่พอ)
  • Wolff-Parkinson White syndrome (เป็นภาวะที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติอย่างกะทันหัน)
  • ผู้ป่วยโรคตับ
  • ผู้ป่วยโรคไต
  • ผู้ที่ไม่สามารถหายใจเองได้
  • หญิงตั้งครรภ์
  • หญิงให้นมบุตร

2. ลิโดเคนผสมพรีโลเคน (Lidocaine + Prilocaine)

รูปแบบยา

  • ยาครีมความเข้มข้น 2.5% (ใน 1 กรัม ประกอบด้วยลิโดเคน 25 มิลลิกรัม และพรีโลเคน 25 มิลลิกรัม)

ข้อบ่งใช้

ใช้ลดความเจ็บปวดจากการทำหัตถการที่ผิวหนัง โดยใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ โดยการทา พ่น หรือฉีด ได้แก่

  • การผ่าตัดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผิวหนัง เช่น การลอกผิว การตัดไฝ การสักบนผิวหนัง การสักคิ้ว
  • การผ่าตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย
  • การแทงเข็มน้ำเกลือ
  • การสอดใส่สายสวน (Catheter) เข้าหลอดเลือด

วิธีใช้และขนาดยา

ใช้โดยการทาที่ผิวหนังแล้วใช้แผ่นเทปปิดทับรอบยาชากับผิวหนัง เพื่อให้ยาชาซึมเข้าสู่ผิวหนัง

ควรปิดทับในเวลาไม่น้อยกว่า 45-60 นาที ยาจึงจะเริ่มออกฤทธิ์ ถ้าปิดทับรอบยาชานานขึ้น ยาก็จะออกฤทธิ์นานขึ้นเช่นกัน

แต่ไม่ควรปิดทับเกิน 2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ยาชาซึมลึกมากจนอาจเกิดพิษจากยาชาได้ ระยะเวลาการออกฤทธิ์ประมาณ 3-5 ชั่วโมง ขึ้นกับระยะเวลาที่ปิดทับยาชาบนผิวหนัง

การทำหัตถการอื่นอาจใช้ขนาดยามากขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุและน้ำหนักตัว ดังนี้

  • เด็กอายุ 0-3 เดือน หรือน้ำหนักน้อยกว่า 5 กิโลกรัม ใช้ขนาดสูงสุดไม่เกิน 1 กรัม ทาที่ผิวหนังไม่เกิน 10 ตารางเซนติเมตร
  • เด็กอายุ 3-12 เดือน และน้ำหนักมากกว่า 5 กิโลกรัม ใช้ขนาดสูงสุดไม่เกิน 2 กรัม ทาที่ผิวหนังไม่เกิน 20 ตารางเซนติเมตร
  • เด็กอายุ 1-6 ปี และน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัม ใช้ขนาดสูงสุดไม่เกิน 10 กรัม ทาที่ผิวหนังไม่เกิน 100 ตารางเซนติเมตร
  • เด็กอายุ 6-12 ปี และน้ำหนักมากกว่า 20 กิโลกรัม ใช้ขนาดสูงสุดไม่เกิน 20 กรัม ทาที่ผิวหนังไม่เกิน 200 ตารางเซนติเมตร

ข้อห้ามใช้

  • ผู้ป่วยโรคโลหิตจาง
  • ผู้ป่วย Congenital หรือ Acquired methemoglobinemia (ภาวะที่ร่างกายมีปริมาณ Methemoglobin มากเกินกว่าที่จะกำจัดได้)
  • ผู้ที่แพ้ยาชาในกลุ่มเอไมด์
  • เด็กแรกคลอดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์

ข้อควรระวัง

  • การใช้ยาทาก่อนเจาะเลือดตรวจ จะไม่มีผลต่อการแปรผลเลือด แต่ถ้าใช้ทาเพื่อทำการทดสอบผิวหนังในชั้นหนังหนังแท้ อาจทำให้การแปลผลผิดไปได้
  • ไม่ควรใช้ยาในผู้ป่วยโรคหัวใจที่ได้รับยารักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ (เช่น Tocainide, Mexiletineเป็นต้น) เพราะจะเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดพิษจากการใช้ยาได้
  • การใช้ยาร่วมกับ Cimetidine หรือ Propanolol อาจทำให้ความเข้มข้นของลิโดเคนในเลือดสูงขึ้นได้
  • ไม่ควรทายาบริเวณผิวหนังที่ถลอก ลอก หรือเป็นแผล รวมทั้งบริเวเยื่อบุอ่อน
  • ไม่ควรทายาแล้วปิดทับยาชาเกิน 60 นาทีในเด็กเล็ก

ข้อห้ามใช้ของการใช้ยาชาโดยทั่วไป

  1. ไม่ใช้ทาบริเวณที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อ
  2. ห้ามใส่ยาชาไปที่หูชั้นกลาง เพราะอาจเกิดพิษต่อหูได้
  3. ผู้ป่วยที่มีภาวะสัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวางอย่างสมบูรณ์ (Complete heart block)
  4. ผู้ป่วยที่แพ้ยาชากรณีแพ้ยาชากลุ่มเอสเตอร์ อาจใช้ยาชากลุ่มเอไมด์ได้ แต่ควรใช้ที่ไม่มีสารกันเสีย(Preservative free)

ข้อควรระวังของการใช้ยาชาโดยทั่วไป

ยาชาส่วนใหญ่ไม่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร อย่างไรก็ตาม หากในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้ เช่น ระหว่างการผ่าตัด เพื่อระงับปวด ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ระหว่างการใช้เพื่อความปลอดภัย

สำหรับการใช้ยาชาเฉพาะที่ในเด็ก ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดระหว่างการใช้เช่นกัน เนื่องจากแพทย์ต้องทำการปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละบุคคล

นอกจากนี้ ควรระวังการใช้ยาชาในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ทุพพลภาพ ผู้ป่วยที่มีโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยที่มีโรคระบบทางเดินหายใจบกพร่อง ผู้ที่มีภาวะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท หรือเส้นประสาทส่วนปลายบกพร่อง ควรใช้โดยอยู่ในการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อความปลอดภัยสูงสุด


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ

มีคำถามเกี่ยวกับ ยาชาเฉพาะที่? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ