face lift scaled

ดึงหน้า จบปัญหาความหย่อนคล้อย

ปัจจุบันมีเทคนิคการยกกระชับผิวมากมายหลายรูปแบบให้ผู้เข้ารับบริการเลือกใช้ ทั้งการฉีด Botulinum toxin A การทำไฮฟู่ การทำเทอร์มาจ อย่างไรก็ตาม วิธีเหล่านี้จัดเป็นวิธีลดความหย่อนคล้อยชั่วคราว และมักเห็นผลได้แค่ในหลักเดือนหรือไม่กี่ปีเท่านั้น ผ่านไประยะเวลาหนึ่งก็ต้องกลับมาทำซ้ำเพื่อคงสภาพผิวเอาไว้ ต่างจากวิธียกกระชับผิวแบบผ่าตัด หรือที่หลายคนเรียกว่า “การดึงหน้า” ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาความหย่อนยานของเนื้อผิวที่เห็นผลได้นานถึงหลายปีโดยไม่ต้องกลับมาพบแพทย์ซ้ำ

ในบทความนี้ HDmall.co.th จะมาเจาะลึกเกี่ยวกับวิธีเสริมความงามที่เรียกว่า การดึงหน้า อย่างละเอียดว่าใครเหมาะกับบริการนี้ และต้องมีการดูแลตนเองเพิ่มเติมอย่างไรทั้งก่อนและหลังจากรับบริการ

ดึงหน้าคืออะไร?

ดึงหน้า (Face lift) คือ การแก้ปัญหาความหย่อยคล้อยของผิวหน้าที่มักมีสาเหตุหลักมาจากอายุที่มากขึ้น ผ่านวิธีการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อดึงเนื้อผิวให้กลับมาตึงกระชับขึ้นอีกครั้ง

ดึงหน้ามีกี่แบบ?

การดึงหน้าเป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาผิวที่มีมาอย่างยาวนาน และได้พัฒนาเทคนิคการผ่าตัดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดความซับซ้อนในการผ่าตัด ผลข้างเคียง รวมถึงทำให้ผิวหน้าที่ได้รับการแก้ไขดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น

1. การผ่าตัดดึงหน้าบริเวณชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ

มีอีกชื่อเรียกว่า “ดึงหน้าชั้น SMAS” เป็นเทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยแพทย์จะผ่าตัดเลาะเนื้อผิวลงไปยังชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อส่วนบน หรือชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) แล้วปรับดึงเนื้อผิวชั้นนี้ให้ตึง รวมถึงตัดแต่งเนื้อผิวส่วนที่หย่อนยานมากทิ้งไป

2. การผ่าตัดดึงหน้าโดยไม่ใช้ยาสลบ

เป็นเทคนิคการดึงหน้าที่มีขั้นตอนการผ่าตัดไม่ต่างกับการผ่าตัดในข้อหนึ่ง แต่จะแตกต่างในส่วนของการงดใช้ยาสลบ เพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแพ้ยาสลบ อาการง่วงซึม หรือมึนเบลอหลังจากผู้เข้ารับบริการตื่นขึ้นมา และแพทย์จะฉีดเพียงในส่วนของยาชาเพื่อป้องกันอาการเจ็บให้เท่านั้น

การพิจารณาผ่าตัดดึงหน้าโดยไม่ใช้ยาสลบจะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับบริการ เงื่อนไขการให้บริการในแต่ละสถานพยาบาล และตามดุลยพินิจของแพทย์

3. การผ่าตัดดึงหน้าโดยใช้ Endotine

เอนโดไทน์ (Endotine) คือ วัสดุขนาดไม่ถึง 1 เซนติเมตรที่มีรูปร่างคล้ายกับหมุดเล็กๆ มีก้านคล้ายกับหนามยื่นออกมาทั่วบริเวณหมุด ใช้สำหรับดึงผิวหน้าให้ตึงกระชับโดยเฉพาะ ผ่านการผ่าตัดเปิดเนื้อผิว จากนั้นใส่เอนโดไทน์ลงไปตามตำแหน่งต่างๆ เพื่อยึดและดันผิวที่หย่อนคล้อยหรือยุบตัวลงจนเห็นเป็นร่องให้กลับมาตึงอีกครั้ง เหมือนกับการใช้หมุดยึดผ้าผืนหนึ่งที่กำลังหย่อนและมีรอยยับให้กลับมาตึงแน่นทุกมุม

วัสดุเอนโดไทน์ที่นำมาใช้ในการดึงหน้ามักเป็นวัสดุที่สามารถละลายเองได้ตามธรรมชาติ ไม่สร้างอันตรายต่อเนื้อเยื่อ และยังมีหลายชนิดเพื่อให้เลือกใช้ได้กับบริเวณต่างๆ ของใบหน้าได้อย่างหลากหลาย เช่น

  • Endotine Forehead เป็นหมุดขนาดเล็กมีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยม ใช้สำหรับดึงหน้าส่วนหน้าผาก อาจรวมถึงร่องเหนือคิ้วด้วย
  • Endotine TransBleph เป็นก้านหมุดที่มีหนามยื่นออกมาสามส่วนคล้ายกับส้อม ใช้สำหรับยกหางคิ้ว เพิ่มระยะของชั้นตาเพื่อแก้ปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ดวงตาเศร้า และปรับให้ดวงตาดูกลมโตขึ้น
  • Endotime Midface เป็นก้านหมุดยาวที่ส่วนปลายเป็นวงกลม ใช้สำหรับดึงผิวแก้มที่หย่อนจนเห็นร่องแก้มชัด
  • Endotine Ribbon เป็นเส้นหมุดขนาดเล็กเป็นก้านยาวเหมือนริบบิ้น มีหนามเล็กๆ ตั้งแต่ต้นจรดปลาย ใช้สำหรับดึงผิวส่วนล่างของใบหน้า เช่น มุมปาก ลำคอ กรอบหน้าที่ผิวหย่อนยาน ไม่ดูอ่อนเยาว์

4. การผ่าตัดดึงหน้าโดยการส่องกล้อง (Endoscopic lift)

อีกเทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าแบบใหม่เพื่อให้ได้แผลที่เล็กกว่าและไม่ต้องพักฟื้นนาน ผ่านการใช้อุปกรณ์กล้องขนาดเล็กในการผ่าแยกชั้นผิวออก แล้วจึงดึงเนื้อผิวส่วนที่มีปัญหาให้กลับมาตึงและดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง

การผ่าตัดดึงหน้าแบบส่องกล้องมักนำมาใช้ทดแทนเทคนิคการผ่าตัดดั้งเดิมซึ่งจะต้องมีการกรีดเปิดผิวขนาดใหญ่ และยังนิยมใช้ในการผ่าตัดร่วมกับใช้วัสดุเอนโดไทน์ด้วย เพื่อให้แพทย์หาตำแหน่งในการติดตั้งเอนโดไทน์ได้อย่างแม่นยำร่วมกับมีแผลหลังผ่าตัดขนาดเล็กและในตำแหน่งที่ยากจะสังเกตเห็น

ดึงหน้าส่วนไหนได้บ้าง?

การดึงหน้าเป็นการทำหัตถการที่สามารถปรับความกระชับของผิวหน้าได้อย่างทั่วถึงแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็น

  • หน้าผาก
  • หางตา
  • หนังตา
  • หัวคิ้ว
  • ร่องแก้ม
  • มุมปาก
  • กรอบหน้าหรือกราม
  • ผิวคอ

การดึงหน้าไม่จำเป็นต้องทำกับผิวหน้าทุกส่วนเสมอไป ผู้เข้ารับบริการสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ในการเลือกบริเวณสำหรับผ่าตัดดึงหน้าได้ หรือแพทย์เป็นผู้ประเมินถึงบริเวณที่ควรรักษาผ่านการดึงหน้ามากที่สุด

ดึงหน้าอยู่ได้กี่ปี?

การดึงหน้าเป็นการรักษาความงามที่อยู่ในระดับกึ่งถาวร ผลลัพธ์หลังทำจะคงอยู่ได้ประมาณ 5-10 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับปัญหาผิวและการดูแลบำรุงผิวหลังทำ

ดึงหน้าเหมาะกับใคร?

กลุ่มผู้ที่เหมาะกับการดึงหน้า คือ กลุ่มผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนยาน ไม่กระชับบริเวณใบหน้า จนเกิดปัญหาผิวดังต่อไปนี้

  • หนังตาตก คิ้วตก
  • ปัญหาตาหลบใน
  • มีรอยเหี่ยวย่นที่หน้าผากชัดเจน
  • มีปัญหาร่องลึกหรือรอยขมวดคิ้วระหว่างคิ้วสอง 2 ข้าง
  • ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อตาหย่อน
  • ผู้ที่มีปัญหาตาเศร้า หรือเปลือกตาหย่อน
  • ร่องแก้มเห็นเป็นเส้นชัด
  • ผิวแก้มหย่อนหรือห้อย
  • กรอบหน้าไม่ชัด ไม่เป็นวีไลน์ หรือมีเหนียงเยอะ
  • ผิวลำคอมีเนื้อเยอะและหย่อนคล้อย

นอกจากนี้วิธียกกระชับผิวผ่านการดึงหน้า ยังเหมาะกับผู้มีความต้องการวิธีรักษาความหย่อนคล้อยของผิวแบบเห็นผลลัพธ์ได้กึ่งถาวร คงอยู่ได้นานหลายปี และไม่ต้องกลับมาพบแพทย์บ่อยๆ รวมถึงผู้ที่ผ่านการยกกระชับผิวด้วยวิธีอื่นๆ มาแล้ว แต่ยังรู้สึกไม่พึงพอใจ และอยากใช้วิธีผ่าตัดแก้ปัญหาผิวแทน

ข้อดีของการดึงหน้า

จุดเด่นของการดึงหน้าคือ สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยของผิวได้อย่างครอบคลุมทุกส่วนบนใบหน้า ทำให้สามารถเลือกตำแหน่งในการทำได้อย่างหลากหลายและเฉพาะจุด และยังถือเป็นการแก้ปัญหาผิวที่อยู่ได้นาน ต่างจากการรักษาความหย่อนคล้อยผ่านวิธีอื่นๆ

ข้อเสียของการดึงหน้ามีอะไรบ้าง? แผลเห็นชัดหรือไม่?

ถึงแม้การดึงหน้าจะช่วยลดปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าได้ทั่วถึง และยังเป็นวิธีรักษาความงามที่ทำกันมาอย่างยาวนาน แต่การดึงหน้าก็ยังมีข้อจำกัดที่ควรจะทราบ เพื่อประกอบการพิจารณารับบริการ เช่น

  • ต้องรับบริการกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น มิฉะนั้นใบหน้าที่ได้รับการดึงผิวแล้วอาจดูมีโครงหน้าที่แปลกไปและดูไม่สวยงามอย่างที่คาดหวัง ทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกผิดหวังกับผลลัพธ์หลังทำได้
  • ยังต้องมีการพักฟื้นหลังรับบริการ เพื่อสังเกตดูอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อบรรเทาอาการเจ็บระบมแผลหลังผ่าตัด
  • มีรอยแผลเป็น เพราะเป็นการผ่าตัดที่ต้องมีการเปิดเนื้อผิว แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาวิธีผ่าตัดให้แผลจากการดึงหน้าซ่อนอยู่บริเวณที่อำพรางต่อการมองเห็นจากคนภายนอกแล้ว เช่น บริเวณไรผม ตรงขมับ หรือบนหนังศีรษะ นอกจากนี้ยังมีขนาดเล็กไม่กี่เซนติเมตร ซึ่งยากต่อการสังเกตเห็นด้วย
  • ผลลัพธ์ไม่คงอยู่ตลอดไป แม้หลายสถานพยาบาลมักจะหยิบยกข้อมูลว่า การดึงหน้าสามารถทำให้ปัญหาผิวหย่อนยานบรรเทาลงไปได้ถึง 5-10 ปี แต่ความจริงแล้วผลลัพธ์จากการดึงหน้าจะคงอยู่ไปได้กี่ปีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะสภาพผิวและการดูแลตนเองหลังทำ ซึ่งจะแตกต่างและมีระยะเวลาของผลลัพธ์ไม่เท่ากัน

ดึงหน้าไม่เหมาะกับใคร?

  • ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับช่วงเวลาที่สามารถรับบริการได้ ซึ่งต้องผ่านพ้นการคลอดและให้นมบุตรไปก่อน
  • ผู้ที่มีปัญหาแพ้ยาสลบหรือยาชา
  • ผู้ที่มีประวัติโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด มีปัญหาเลือดหยุดยาก โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ผู้ที่กำลังป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ ภาวะผิวหนังติดเชื้อ

นอกจากนี้ยังควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับระยะเวลาของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเสียก่อน เพื่อจะได้เข้าใจถึงกลไกการเปลี่ยนแปลงและความเสื่อมของผิวที่เป็นไปตามอายุ และอาจไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นตลอดไปได้

ดึงหน้าบวมกี่วัน?

หลังจากรับบริการผ่าตัดดึงหน้าแล้ว ผู้เข้ารับบริการอาจเผชิญกับอาการผิวบวมบริเวณผ่าตัดได้ โดยระยะเวลาที่ผิวบวมโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1-4 สัปดาห์ แตกต่างกันไปตามการตอบสนองต่อการผ่าตัดของแต่ละบุคคล รวมถึงเทคนิคการผ่าตัดเพื่อลดปัญหาแผลบวมหลังผ่าของแต่ละสถานพยาบาล

การเตรียมตัวก่อนดึงหน้า

เพื่อลดอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัด และเพื่อสุขอนามัยที่สะอาดและพร้อมต่อการทำหัตถการ ผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ก่อนเข้ารับการผ่าตัดดึงหน้า

  • แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา แพ้สารเคมี ยาประจำตัวที่กำลังใช้อยู่ทั้งหมดให้แพทย์ทราบ
  • งดยาบางกลุ่มก่อนรับบริการ เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือหากไม่แน่ใจยากลุ่มใด ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับบริการล่วงหน้า
  • งดสูบบุหรี่และงดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป
  • อาบน้ำทำความสะอาดผิวให้เรียบร้อยก่อนเดินทางมาผ่าตัด
  • ถอดเครื่องประดับ อุปกรณ์ที่เป็นโลหะทุกชนิดออกจากร่างกาย
  • งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดเป็นระยะเวลา 6-8 ชั่วโมง
  • ลางานหรือลาหยุดล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อพักฟื้นแผลหลังผ่าตัด

ขั้นตอนการดึงหน้าเป็นอย่างไร?

การผ่าตัดดึงหน้าจะใช้เวลาโดยประมาณ 2-4 ชั่วโมง กระบวนการในการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาล แต่โดยทั่วไปมีขั้นตอนต่อไปนี้

  • แพทย์ให้ยาชาและยาสลบ หรืออาจให้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ก่อนผ่าตัด
  • แพทย์กรีดเปิดแผลที่หนังศีรษะ ไรผม ขมับ หรือหลังใบหู ขึ้นอยู่กับเทคนิคและวิธีการที่เลือกใช้
  • แพทย์เลาะผิวหนังแต่ละชั้น จากนั้นดึงเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวส่วนบนให้ตึง หรือติดตั้งเอนโดไทม์ลงไป รวมถึงอาจพิจารณาตัดผิวหนังที่หย่อนยานมากๆ บางส่วนออก
  • แพทย์เย็บปิดผิวหนังด้วยไหมเส้นเล็ก

การดูแลตนเองหลังดึงหน้า?

ในส่วนของการดูแลแผลหลังจากดึงหน้า ผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • ประคบเย็นบริเวณแผลเพื่อลดอาการบวมและเจ็บระบมประมาณ 3 วัน
  • นอนหมอนสูงลดอาการบวมประมาณ 3-7 วันหลังผ่าตัด
  • งดการทำกิจกรรมที่อาจเสี่ยงทำให้ใบหน้า ศีรษะ และลำคอถูกกระแทกเป็นเวลา 1 สัปดาห์
  • งดออกกำลังกายและใช้กิจกรรมที่ออกแรง 2 สัปดาห์
  • งดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่แบบระยะยาว เพื่อลดโอกาสแผลอักเสบหรือติดเชื้อ
  • อย่าให้แผลโดนน้ำ 1 สัปดาห์
  • ทำความสะอาดแผลผ่านการใช้สำลีชุบน้ำเกลือแล้วเช็ดแผลเบาๆ
  • หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์สามารถสระผมได้ แต่ให้งดเกา หรือใช้นิ้วฟอกผิวบริเวณแผลและรอบๆ แผล
  • ใช้ครีมขี้ผึ้งฆ่าเชื้อทาที่แผลเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น โดยอาจขอซื้อเพิ่มจากทางสถานพยาบาล
  • ผู้เข้ารับบริการอาจได้รับผ้ารัดใบหน้าเพื่อใช้รัดผิวหน้าเอาไว้ให้ตึงอย่างน้อย 7-10 วันหลังผ่าตัด
  • กินยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • งดย้อมสีผมหรือทำเคมีกับผมนาน 1 เดือนหลังผ่าตัด เพราะอาจไปสร้างความกระทบกับเทือนกับแผลได้
  • เดินทางมาตัดไหมและตรวจเช็กแผลกับแพทย์ตามนัด โดยแพทย์อาจนัดให้ตรวจหลังผ่าตัด 7 วัน, 1 สัปดาห์, 3 เดือน และ 6 เดือน

สำหรับการดูแลผิวเพื่อให้คงผลลัพธ์จากการดึงหน้าไว้ให้ได้นานที่สุด มีดังต่อไปนี้

  • งดการออกไปสัมผัสแสงแดดจัดอย่างต่อเนื่อง เพราะจะทำให้เซลล์ผิวเสื่อมและทำให้ความหย่อนยานของผิวกลับมา
  • งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่แบบระยะยาว เพราะสารพิษจากทั้ง 2 อย่างนี้มีแต่จะไปทำให้สภาพผิวเสื่อมโทรมลงกว่าเดิม
  • พักผ่อนให้เพียงพอทุกคืน
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงอาหารที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุเสริมที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ
  • หมั่นใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือมีการดูแลผิวเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อให้สุขภาพผิวดีอยู่เสมอ โดยอาจปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่เหมาะสมกับตัวผู้เข้ารับบริการ
  • งดการกด นวด หรือถูผิวหน้าแรงๆ บ่อยๆ

วิธีการเหล่านี้เป็นเพียงวิธีสร้างโอกาสให้สุขภาพผิวหลังดึงหน้าดีขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ความหย่อนคล้อยที่อาจกลับมาในภายหลังบรรเทาช้าลงไป อย่างไรก็ตาม ความยาวนานของผลลัพธ์จากการดึงหน้าก็ขึ้นอยู่กับแต่ละตัวบุคคล ซึ่งไม่สามารถตีออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการดึงหน้า

อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ จากการดึงหน้า ได้แก่ ผิวบวม แผลมีรอยจ้ำช้ำ อาการปวดหรือเจ็บระบมแผล ซึ่งเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง อาการเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่หากคุณเผชิญกับอาการข้างเคียงอื่นๆ ดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงขึ้นได้ ให้รีบกลับมาพบแพทย์โดยด่วน

  • รอยแผลมีเลือดออก
  • แผลส่งกลิ่นเหม็น หรือมีน้ำหนองไหลออกมา
  • เป็นไข้สูงหรือรู้สึกหนาวสั่น
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • มีอาการที่อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท

ดึงหน้าพักฟื้นนานไหม?

โดยปกติระยะเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดดึงหน้าจะอยู่ที่ 2-4 สัปดาห์

ในปัจจุบันได้มีเทคนิคการผ่าตัดใหม่ๆ เข้ามา เพื่อลดข้อจำกัดด้านการพักฟื้นที่ยาวนานให้สั้นลงอีก ดังนั้นระยะเวลาในการพักฟื้นของผู้เข้ารับบริการแต่ละท่านจะขึ้นอยู่กับคำแนะนำให้แพทย์เป็นหลัก

Scroll to Top