ดีท็อกซ์ด้วยการสวนล้างลำไส้ (Detox) เป็นหนึ่งในการแพทย์ทางเลือกที่นิยมกันมาก เป็นการกำจัดสารพิษและสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายในเวลาสั้นๆ โดยการทำความสะอาดลำไส้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าตามปกติแล้วร่างกายจะขับสารพิษออกไปได้เอง แต่ก็มักจะมีสารพิษบางส่วนตกค้างอยู่ เพียงแต่ไม่ส่งสัญญาณ จนกระทั่งเมื่อระดับสารพิษเพิ่มขึ้นและร่างกายทนไม่ไหว จึงจะส่งสัญญาณออกมาเป็นความเจ็บป่วยแบบต่างๆ
อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่ระบุว่าการทำ Detox นั้นมีประโยชน์จริง การทำ Detox จึงยังจัดอยู่ในกลุ่มแพทย์ทางเลือกอยู่
สารบัญ
6 สัญญาณสังเกตสารพิษในร่างกาย
เมื่อร่างกายรับสารพิษมากเกินไปก็จะแสดงอาการออกมาให้เห็นชัดเจนว่า ร่างกายกำลังต้องการการล้างพิษแล้ว โดยมี 6 สัญญาณที่สังเกตได้ด้วยตัวเองดังนี้
- ปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูกอย่างหนัก เช่น ถ่ายน้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
- มีปัญหาผิว เช่น สิว ผดผื่น ผิวแพ้ง่าย หยาบกร้าน หรือเป็นฝี
- ลมหายใจ กลิ่นผายลม และอุจจาระมีกลิ่นเหม็นมากจนผิดปกติ
- นอนไม่หลับ อ่อนเพลียตลอดวัน
- ตาเหลือง มีรอยแดงช้ำ อักเสบ และการมองเห็นพร่ามัว
- น้ำหนักขึ้นต่อเนื่อง
Detox มีแบบไหนบ้าง?
การล้างสารพิษแบบสวนล้างลำไส้จะใช้อุปกรณ์เฉพาะสอดเข้าไปทางรูทวาร ก่อนฉีดน้ำเข้าไปทำความสะอาดลำไส้ นิยมทำ 2 วิธีคือ
1. การสวนล้างระดับล่าง
เป็นการล้างในช่วง 30 เซนติเมตรสุดท้ายของลำไส้ด้วยน้ำ 1-1.5 ลิตร ผสมกาแฟบริสุทธิ์สำหรับทำ Detox โดยเฉพาะ หรือสมุนไพร เช่น น้ำมะนาว น้ำส้มมะขาม เป็นต้น ทำได้ทั้งที่บ้านและโรงพยาบาล ซึ่งถ้าเป็นที่โรงพยาบาลก็จะมาพร้อมกับการตรวจวินิจฉัยหรือรักษาด้วย
2. การสวนล้างระดับบน
เป็นการล้างทั่วทั้งลำไส้ใหญ่ยาว 150 เซนติเมตร ด้วยน้ำอุ่น 25 ลิตร ต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่เรียกว่า เครื่องล้างลำไส้ (Colonic) ที่มีการคุมอุณหภูมิ แรงดัน และปริมาณของน้ำ รวมถึงต้องมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลระหว่างการทำเท่านั้น
ประโยชน์ของการ Detox
โดยหลักแล้ว การทำ Detox คือการกำจัดคราบตะกรันจากอาหารที่ผ่านการย่อย รวมกับเซลล์เก่าของผนังลำไส้จากการผลัดเปลี่ยนตามธรรมชาติที่สะสมมานานจนบูดเน่ากลายเป็นพิษ เมื่อล้างพิษออกไป ประโยชน์เหล่านี้จึงตามมา
- กระตุ้นการขับถ่าย ระบบเผาผลาญ ลดการสะสมของไขมัน เพราะการ Detox มีผลให้ลำไส้กลับมามีขนาดปกติ หลังจากการสวนล้างเอากากของเสียที่คั่งค้างรวมถึงคราบตะกรันออกไป ลำไส้ใหญ่ส่วนที่เคยเสียรูปทรงก็จะค่อยกลับคืนสู่ปกติสามารถเคลื่อนไหวบีบรัดตัวตามหน้าที่ได้อย่างเก่า
- ส่งผลดีต่ออวัยวะภายในร่างกายโดยรวม ทั้งตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ไต ต่อมน้ำเหลือง และการหมุนเวียนของเลือด เนื่องจากอวัยวะเหล่านี้จะมีการทำงานเชื่อมต่อกับลำไส้ผ่านจุดตอบสนองภายในลำไส้ ซึ่งการทำ Detox จะช่วยกระตุ้นจุดตอบสนองที่ว่านี้
- ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพราะร่างกายจะดูดซึมน้ำ และสารอาหารจำพวกวิตามินและเกลือแร่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทำให้เซลล์สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การปรับสมดุลและฟื้นฟูระบบต่างๆ ในร่างกาย และทำให้ผิวพรรณกลับมาสดใส เปล่งปลั่งขึ้น
ความเสี่ยงจากการทำ Detox
แม้จะมีประโยชน์หลากหลาย โดยเฉพาะกำจัดสารพิษ แต่การทำ Detox ที่ไม่ถูกวิธี หรือไม่ได้ทำกับผู้เชี่ยวชาญก็อาจส่งผลเสียร้ายแรงได้ เช่น
- ทำให้ร่างกายเสียน้ำและแร่ธาตุอย่างมากในคราวเดียว อาจทำให้ความดันโลหิตต่ำลงจนถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ และอาการขาดน้ำอาจนำไปสู่ภาวะไตวายได้ด้วย
- อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหากอุปกรณ์สวนลำไส้ไม่สะอาด หรือถ้าทำโดยผู้ไม่เชี่ยวชาญอาจเกิดบาดแผลในลำไส้เนื่องจากผนังลำไส้ส่วนล่างฉีกขาด อาการจะเริ่มต้นจากมีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน แต่ก็อาจส่งผลถึงชีวิตได้
- การ Detox ลำไส้เป็นการทำลายแบคทีเรียประจำถิ่นที่มีประโยชน์ ที่ช่วยย่อยอาหารบางประเภท สร้างสารที่จำเป็น และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
- การทำ Detox บ่อยเกินไป เช่น ทุกวันหรือติดกันมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ระบบขับถ่ายแปรปรวนจนไม่สามารถทำงานได้เองตามปกติ ต้องพึ่งพาการ Detox อยู่เสมอ
7 กลุ่มห้ามทำ Detox
แม้ว่าคนทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรงจะทำ Detox ได้ โดยที่แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอาจปรับปริมาณของเหลวที่ใช้ให้เหมาะกับเพศ น้ำหนัก และอายุของแต่ละคน แต่ก็ยังมีคน 7 กลุ่มที่ไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด ได้แก่
- ผู้มีภาวะเสี่ยงในช่องท้องและระบบลำไส้ เช่น เป็นไส้เลื่อน มีภาวะลำไส้อุดตัน มีเลือดออกทางทวารหนักหรือถ่ายเป็นเลือดก่อนทำ 3 วัน หรือเพิ่งผ่าตัดช่องท้องมาไม่เกิน 6 สัปดาห์ เพิ่งผ่าริดสีดวงทวาร หรือเคยผ่าตัดลำไส้ใหญ่และเปิดลำไส้ออกทางหน้าท้อง
- ผู้มีภาวะไตวาย เพราะผู้มีปัญหาเรื่องไตควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำจำนวนมากซึ่งจะต้องดื่มทั้งก่อนและหลังทำ Detox เช่นเดียวกับหลีกเลี่ยงการสูญเสียน้ำปริมาณมากในคราวเดียวที่อาจจะกระตุ้นให้เกิดภาวะไตวายได้อีก
- ผู้มีภาวะเสี่ยงเกี่ยวกับความดันโลหิต เช่น มีความดันโลหิตสูงหรือความดันโลหิตต่ำที่ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้
- ผู้มีภาวะเสี่ยงเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด เคยหัวใจล้มเหลว ภาวะเส้นโลหิตโป่งพอง มีภาวะเลือดจางรุนแรง
- เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
- สตรีมีครรภ์
- ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียมาก หรือมีภาวะเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการ Detox
หากคุณพร้อมแล้ว อย่าลืมทำสิ่งเหล่านี้ก่อนเริ่มทำ Detox เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้
- ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะบางคนอาจมีความเสี่ยงสูงจากภาวะแทรกซ้อน
- ดื่มน้ำเพื่อป้องกันการขาดน้ำทั้งก่อนและหลังการทำ Detox
- หากต้องการทำที่สถานพยาบาล ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจเลือก ทั้งด้านความเชี่ยวชาญ ความสะอาด รวมถึงมีแพทย์ให้รับการปรึกษาก่อนทำ
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรคที่เหมาะสมและใช้อุปกรณ์ที่ใช้แล้วทิ้งทุกครั้งที่ทำได้ เพราะอุปกรณ์ทำความสะอาดลำไส้ใหญ่สามารถเป็นทำให้ติดเชื้อได้หากไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ Detox
1. หากเคยเป็นมะเร็งปากมดลูก แต่รักษาหายแล้ว สามารถทำ Detox ล้างลำไส้ได้หรือไม่?
คำตอบ: หากคนไข้หายดีแล้วจริงๆ ไม่มีอาการข้างเคียงอะไรแล้ว ร่างกายแข็งแรงปกติ ไม่มีการใช้ยาจำพวกยาเคมีที่ใช้ในการรักษาหรือบำบัดแล้ว สามารถทำ Detox ล้างลำไส้ได้
2. มีติ่งเนื้อที่ทวารหนักแต่ไม่มีเลือดออก สามารถทำดีท็อกซ์ได้หรือไม่?
คำตอบ: ไม่แนะนำให้ทำ เพราะอุปกรณ์ที่ใช้ทำดีท็อกซ์อาจไปเสียดสีจนทำให้เกิดเลือดออกได้
3. เป็นโรคเกี่ยวกับไทรอยด์ หรือเพิ่งผ่าตัดไทรอยด์ ต้องรักษาตัวกี่เดือน จึงสามารถทำดีท็อกซ์ได้?
คำตอบ: สามารถทำได้เลย หากความดันเลือดไม่สูง และไม่มีอาการใจสั่น ในกรณีเพิ่งผ่านการผ่าตัดไทรอยด์มา หากไม่มีอาการใจสั่น อ่อนเพลีย หน้ามืด ก็สามารถทำดีท็อกซ์ได้เลยเช่นกัน
4. หากเป็นโรคความดัน และเบาหวาน สามารถทำดีท็อกซ์ได้หรือไม่?
คำตอบ: แนะนำให้รักษาจนหายดีก่อน แต่เนื่องจากโรคความดัน และเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรัง อาจทำได้แต่ต้องให้คุณหมอพิจารณาเป็นกรณีไป
5. หากเป็นโรคหัวใจ สามารถทำดีท็อกซ์ได้หรือไม่?
คำตอบ: ไม่สามารถเข้าใช้บริการได้ หากเป็นโรคหัวใจ และมีอาการเหนื่อยง่าย
การทำ Detox ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาโรค หรือแก้ปัญหาดื้อยา เพียงแค่เป็นการชะล้างสารพิษออกจากตัว ป้องกันไม่ให้ระบบในร่างกายถูกทำลายโดยตรง จึงส่งผลให้ร่างกายสามารถต้านอาการป่วยต่างๆ ได้มากขึ้น
ผู้จะทำ Detox ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนทำ และหลังจาก Detox หากไม่ดูแลร่างกายให้ดีเพียงพอด้วยการรับประทานอาหารมีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็มีผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล