ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้ โดยไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่มีหลายสายพันธุ์ หนึ่งในนั้นคือ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A” ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อยและสามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ได้
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A อย่างละเอียดกัน ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การติดต่อ กลุ่มเสี่ยง ไปจนถึงวิธีป้องกันและการรักษา เพื่อให้คุณสามารถประเมินความเสี่ยงและดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างทันท่วงที
สารบัญ
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A คืออะไร?
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A คือ อาการป่วยที่เกิดจากการติดเชื้อ Influenza virus ชนิด A เมื่อได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว ไวรัสจะเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการเฉียบพลัน เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย8
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เป็นสายพันธุ์ที่มีความสำคัญทางการแพทย์ เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่มีความสามารถในการกลายพันธุ์สูง ทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ภูมิคุ้มกันของคนส่วนใหญ่ยังไม่มีได้ รวมถึงเป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ (Pandemic) ทั่วโลก เช่น ไข้หวัดใหญ่ 2009 (H1N1)8
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เกิดจากอะไร?
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีต้นตอมาจากสัตว์ โดยเฉพาะ “นกน้ำ” ซึ่งเป็นแหล่งรังโรคตามธรรมชาติ ไวรัสชนิดนี้สามารถกลายพันธุ์ได้ตลอดเวลาและยังสามารถผสมสารพันธุกรรมกับไวรัสตัวอื่นได้ ทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ร่างกายมนุษย์ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น15
- สายพันธุ์ A/H1N1 : เกิดจากการผสมสารพันธุกรรมของไวรัสจาก คน หมู และนก ไม่ได้ติดต่อผ่านการกินเนื้อหมู แต่แพร่กระจายและติดต่อจากคนสู่คน เมื่อได้รับเชื้อ ผู้ป่วยอาจมีอาการตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงปอดบวมรุนแรงได้16
- สายพันธุ์ A/H3N2 : เกิดจากการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่ในคนกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ในนก เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่ระบาดอยู่บ่อยครั้ง เมื่อได้รับเชื้อมักทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงในผู้สูงอายุ1
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ติดต่อกันได้อย่างไร?
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สามารถติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็ว ส่วนใหญ่จะติดต่อผ่านทางการหายใจรับละอองฝอยขนาดเล็ก (Droplets) ที่ผู้ป่วยไอ จาม หรือพูดออกมา โดยละอองฝอยเหล่านี้สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ในระยะใกล้ และเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุตา จมูก หรือปาก4,11
นอกจากนี้ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ยังสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสพื้นผิวหรือวัตถุที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได แล้วนำมือมาสัมผัสใบหน้าได้อีกด้วย รวมถึงในบางสถานการณ์ เช่น ในพื้นที่ปิดที่อากาศถ่ายเทไม่ดีมากๆ ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะสามารถแพร่กระจายได้ผ่านอากาศ แต่ก็ยังพบได้น้อยมาก จนอาจไม่นับเป็นช่องทางหลักในการแพร่เชื้อ4,11
อาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่ควรสังเกต
อาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา โดยทั่วไปจะปรากฏภายใน 1-4 วันหลังจากได้รับเชื้อ โดยอาการที่พบบ่อยมีดังนี้12
- มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียส หรือหนาวสั่น
- ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ อย่างรุนแรง
- ปวดศีรษะรุนแรง
- ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ
- เจ็บคอ
- น้ำมูกไหล คัดจมูก อาจมีน้ำมูกใสหรือข้น
- รู้สึกอ่อนเพลีย หมดแรง
- เบื่ออาหาร
ในบางรายโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ปอดบวม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตได้
ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
แม้ว่าทุกคนจะมีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A แต่คนบางกลุ่มก็มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะกลุ่มดังต่อไปนี้5,12
- เด็กเล็ก : โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่
- ผู้สูงอายุ : โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ
- หญิงตั้งครรภ์ : โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 14-40 สัปดาห์ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันและระบบทางเดินหายใจ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง : เช่น โรคปอด หอบหืด ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง โรคอ้วน และผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานดูแลผู้ป่วยระยะยาว : เช่น บ้านพักคนชรา
- บุคลากรทางการแพทย์และผู้ดูแล : ผู้ที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรให้ความสำคัญกับการป้องกันไข้หวัดใหญ่และรีบไปพบแพทย์หากมีอาการไข้หวัดใหญ่รุนแรง
วิธีรักษาเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
การรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เน้นที่การบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายจากไข้หวัดใหญ่ได้เองโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา แต่อย่างไรก็ตามหากมีอาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา เพื่อให้ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม13
สำหรับวิธีรักษาเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A โดยทั่วไปสามารถทำได้ดังนี้
1. การดูแลตนเองเบื้องต้น10,13
- พักผ่อนให้เพียงพอ : การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น
- ดื่มน้ำมากๆ : เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและช่วยให้เสมหะอ่อนตัวลง
- รับประทานยาลดไข้และยาบรรเทาอาการ : เช่น พาราเซตามอล เพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวดเมื่อย แต่ในเด็กควรหลีกเลี่ยงยาแอสไพริน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงของกลุ่มอาการเรย์ (Reye’s Syndrome) ที่มีผลต่อตับและสมองได้
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ : ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ
- ใช้สเปรย์พ่นจมูกน้ำเกลือ : ช่วยลดอาการคัดจมูก
2. ใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่
ในบางรายโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ที่มีอาการรุนแรงแพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาต้านไวรัส เช่น โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) หรือซานามิเวียร์ (Zanamivir) โดยยาเหล่านี้จะออกฤทธิ์ได้ดีเมื่อใช้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ15
การใช้ยาต้านไวรัสจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและระยะเวลาการป่วย รวมถึงลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนลงได้15
วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
การป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่กระจายของโรค โดยสามารถทำได้ดังนี้
1. รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปี
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปี เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยวัคซีนชนิดนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้นๆ ได้6
โดยปัจจุบันในไทยนิยมใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ผลิตจากเชื้อที่ตายแล้ว ซึ่งมีให้เลือกใช้ 3 ชนิด ดังนี้6
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent) : ครอบคลุมไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H1N1 และ H3N2) และไข้หวัดใหญ่ B (Victoria และ Yamagata)18
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ (Trivalent) : สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H1N1 และ H3N2) และไข้หวัดใหญ่ B สายพันธุ์ Victoria ได้ ถึงแม้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้จะครอบคลุมน้อยกว่า แต่ในปี 2020 ไม่พบการระบาดของสายพันธุ์ Yamagata แล้ว ทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ก็เพียงพอและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเช่นกัน7,18
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด High Dose : เป็นวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มากที่สุด โดยวัคซีนชนิดนี้มีสารกระตุ้นภูมิมากกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทั่วไปถึง 4 เท่า จึงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นและลดการเข้าโรงพยาบาลจากปอดอักเสบได้2,17
2.การรักษาสุขอนามัยที่ดี6
- ล้างมือบ่อยๆ : ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดหรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะหลังไอ จาม หรือเมื่อสัมผัสสิ่งของที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า : โดยเฉพาะตา จมูก และปาก เนื่องจากเชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางช่องทางเหล่านี้
- ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม : ควรใช้กระดาษทิชชูหรือข้อพับแขนปิดปากเมื่อไอหรือจาม จากนั้นทิ้งทิชชูที่ใช้แล้วลงถังขยะและล้างมือทันที
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย : หากจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วย ควรสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลาและหมั่นล้างมือบ่อยๆ
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิว : โดยเฉพาะพื้นผิวที่สัมผัสบ่อยๆ ในบ้านหรือที่ทำงาน
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรง : รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
นอกจากนี้ หากเริ่มสังเกตเห็นอาการผิดปกติของตัวเอง ควรสวมหน้ากากอนามัยและหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น
คำถามที่พบบ่อย
1. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A อันตรายไหม?
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เป็นอันตรายได้โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจหรือโรคหอบหืด14
หากมีอาการรุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ รวมถึงอาการอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต14
อย่างไรก็ตามในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงหากได้รับการดูแลที่ไม่เหมาะสมก็อาจมีอาการรุนแรงและต้องนอนโรงพยาบาลได้เช่นกัน
2. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กี่วันหาย?
โดยทั่วไปแล้วอาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักดีขึ้นภายใน 3-7 วัน แต่บางรายโดยเฉพาะผู้ที่มีอาการรุนแรง อาจใช้เวลาในการฟื้นตัวนานถึง 2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น รวมถึงอาการไอและอ่อนเพลียอาจคงอยู่ได้นานกว่าอาการอื่นๆ แต่ถ้าหากได้รับยาต้านไวรัสอย่างทันท่วงที อาการจะทุเลาลงและหายเร็วขึ้น9
3. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับสายพันธุ์ B แตกต่างกันอย่างไร?
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับสายพันธุ์ B เป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่คนละชนิดที่มีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน
โดยไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะพบได้ในทั้งมนุษย์ สุกร นก และสัตว์อื่นๆ จึงมีโอกาสเกิดการผสมพันธุกรรมข้ามสายพันธุ์และกลายพันธุ์ได้ง่าย ทำให้มีความเสี่ยงต่อการระบาดใหญ่ทั่วโลกและมักทำให้มีอาการรุนแรงรวมถึงมีภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า8
ในขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B พบได้เฉพาะในคนเท่านั้น มีการกลายพันธุ์น้อยกว่าและช้ากว่าสายพันธุ์ A จึงมักทำให้เกิดการระบาดตามฤดูกาลในวงจำกัด และโดยทั่วไปอาการจะไม่รุนแรงเท่ากับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A8
อย่างไรก็ตามทั้งสองสายพันธุ์สามารถทำให้เกิดอาการรุนแรงในกลุ่มเสี่ยงได้ การรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถป้องกันได้ทั้งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B8