review femto lasik by amornpan leelaworapong16

รีวิวทำ Femto Lasik จากคนที่ใส่แว่นมากว่า 10 ปี

แหม่มอายุ 35 ปีแล้วค่ะ ปีนี้ก็ใส่แว่นมาครบ 10 ปีแล้ว เพราะแหม่มใส่แว่นมาตั้งแต่อายุ 25 ปี ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะสายตาสั้นเยอะมากมายอะไร คิดแค่ว่าการที่เรามองไม่ชัด คนอื่นก็น่าจะมองไม่ชัดเหมือนกันกับเรา

ปัจจุบัน ปัญหาค่าสายตาของแหม่ม ตาข้างขวาสั้นประมาณ​ 350 ส่วนข้างซ้ายสั้นประมาณ 650 เลย ก็ถือว่าเยอะมากๆ ซึ่งในอดีตเคยปรึกษาจักษุแพทย์มาแล้วเค้าแนะนำให้แหม่มใส่คอนแทคเลนส์ แต่แหม่มเคยลองแล้วรู้สึกระคายเคืองตา ไม่ชอบใส่คอนแทคเลนส์ แต่ชอบใส่แว่นมากกว่า

จนปัจจุบันแหม่มเปลี่ยนแว่นมาแล้วน่าจะประมาณ​ 10 อัน ซึ่งแต่ละอันก็ไม่เหมือนกัน ราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ​ 3-5 พัน รวมๆ แล้วก็หมดเงินไป 5-6 หมื่นแล้วค่ะ ส่วนสาเหตุที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นก็เกิดจากการที่เรานอนทับบ้าง มันตกบ้าง หรือแว่นบางอันก็รัดที่ตรงดั้งจนเกิดรอยเราก็ไม่ชอบ ต้องเปลี่ยนใหม่อยู่ตลอด 

ประสบการณ์ทำ Femto Lasik

อีกหนึ่งอุปสรรคของการใส่แว่นก็คือ แว่นมันไม่ได้ทำให้เรามองเห็นชัดเจนมากขนาดนั้น เพราะด้วยค่าสายตาสองข้างที่มันห่างกันค่อนข้างเยอะ เลยต้องลดค่าสายตาข้างที่สั้นมากกว่าให้มันพอดีกับอีกข้างนึงแทนค่ะ

อีกปัญหาของแหม่มก็คือ แหม่มเป็นคนไม่มีดั้ง เวลาใส่แว่นแต่ละทีแว่นก็ชอบไหลลงมาที่ปลายจมูกอยู่ตลอด เราเลยต้องคอยดันมันขึ้นอยู่ทุกครั้ง 

นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุการณ์นึงที่รู้สึกว่าปัญหาสายตาสั้นเริ่มกระทบกับชีวิตประจำวันนั่นก็คือ เมื่อประมาณ​ 5-6 ปีก่อน แหม่มขึ้นรถเมล์กลับบ้านปกติ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็นั่งรถเมล์มาที่นนทบุรีแล้ว ทั้งๆ ที่คอนโดของแหม่มอยู่บางซื่อ ซึ่งแหม่มขึ้นรถเมล์ผิดสายเพราะปัญหาสายตาสั้น ก็เลยรู้สึกว่าปัญหานี้มันส่งผลกระทบไปหลายอย่างเลย

สารบัญ

ใส่แว่นมา 10 ปี ทำไมถึงตัดสินใจทำ Femto Lasik

หนึ่งสาเหตุที่แหม่มยังไม่ได้ตัดสินใจแก้ไขปัญหาสายตาก็เพราะแหม่มมองว่า แหม่มมีเวลาไม่เยอะ งานที่ทำอยู่ลาหยุดหลายวันติดต่อกันไม่ได้ แล้วก็กังวลว่าทำไปแล้วจะมีภาวะแทรกซ้อนอะไรรึเปล่า ก็เลยทำให้ยังไม่ได้ทำสักที

แต่ไม่ใช่ว่าแหม่มจะล้มเลิกความอยากทำเลสิกไปเลยนะคะ ที่ผ่านมาก็ศึกษาข้อมูลเรื่องการผ่าตัดแก้ไขสายตาอยู่ตลอด ลองทักไปปรึกษาก็หลายที่ จนกระทั่งแหม่มมาเจอกับ HDcare นี่แหละค่ะ 

พอแหม่มลองติดต่อมาทาง HDcare แหม่มรู้สึกว่าเค้าตอบไวมาก แถมการให้ข้อมูลก็ละเอียดชัดเจน มีตารางเปรียบเทียบเทคนิคการผ่าตัดแก้ไขสายตาหลายแบบ ทำให้รู้ว่าเลสิกแบบไหนเหมาะกับสายตาแบบไหน เหมาะกับไลฟ์สไตล์เราหรือเปล่า แต่หลักๆ เค้าจะให้เราตัดสินใจเลือกเองค่ะ 

ซึ่งพอเจอ HDcare แหม่มก็ตัดสินใจได้เลยว่า แหม่มจะทำเลสิกกับ HDcare นี่แหละ แต่บอกก่อนนะคะว่า HDcare เค้าไม่ใช่โรงพยาบาลหรือคลินิก แต่เค้าเป็นบริการที่ช่วยประสานงานให้เราเจอกับคุณหมอเฉพาะทางในสาขาต่างๆ และให้เราได้เลือกโรงพยาบาลที่อยากเข้ารับบริการได้ด้วย 

เรียกได้ว่า HDcare เค้าหาคุณหมอเก่งๆ มาให้เราเลือก และให้เราเลือกได้ด้วยว่าจะใช้บริการที่โรงพยาบาลไหนที่เป็นพาร์ตเนอร์กับเค้าค่ะ 

ซึ่งในการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาแหม่มเลือกทำ Femto Lasik กับ นพ. อัมพร จงเสรีจิตต์ (ว.14220) จักษุแพทย์ ต่อยอดจักษุวิทยากระจกตาและการแก้ไขสายตา และก็เลือกใช้บริการที่โรงพยาบาลวิมุต สะพานควายค่ะ

Femto Lasik คืออะไร

ก่อนอื่นแหม่มขอเล่าให้ฟังก่อนว่า Femto Lasik คือเทคนิคที่พัฒนาต่อยอดจากเลสิกแบบดั้งเดิมค่ะ ถ้าเป็นเลสิกแบบดั้งเดิม เค้าจะใช้ใบมีดขนาดเล็กๆ ในการแยกชั้นกระจกตาออกมาก่อน แล้วค่อยปล่อยพลังงานเลเซอร์เพื่อปรับค่าสายตา ซึ่งฟังดูแล้วก็น่ากลัวใช่มั้ยคะ เพราะมีใบมีดมาเกี่ยวข้อง

จากที่คุยกับคุณหมอ คุณหมอเล่าว่า Femto Lasik จะต่างกันตรงที่ไม่ใช้ใบมีดเลยค่ะ เค้าจะใช้เลเซอร์ที่เรียกว่า Femtosecond Laser ในการแยกชั้นกระจกตาแทน ซึ่งทำให้แผลมีขนาดเล็กกว่า ความแม่นยำสูงกว่า แล้วก็ลดความเสี่ยงจากการใช้มีดได้มากเลย

นพ. อัมพร จงเสรีจิตต์

อีกอย่างคือ แผลจากการทำ Femto Lasik จะบางกว่า ฟื้นตัวไวกว่า แล้วก็เจ็บน้อยกว่าด้วยนะคะ คนที่มีค่าสายตาสองข้างไม่เท่ากันจะเหมาะกับเทคนิคนี้มากกว่าค่ะ

ซึ่งแหม่มเองพอได้คุยกับคุณหมออัมพร เค้าก็แนะนำว่า Femto Lasik น่าจะเหมาะกับเคสมากที่สุด เพราะตาแหม่มมีปัญหาทั้งค่าสายตาสองข้างไม่เท่ากัน และเรื่องความหนาของกระจกตา ซึ่งถ้าไปใช้เทคนิคแบบ PRK หรือ TransPRK อาจจะต้องพักฟื้นนานกว่ามาก

ปรึกษาก่อนทำ Femto Lasik

อีกอย่างคือ หลังจากที่แหม่มตรวจดูค่าสายตากับคุณหมอ คุณหมอก็แจ้งว่าแหม่มมีภาวะที่เรียกว่าตาขี้เกียจอยู่ข้างหนึ่งด้วยค่ะ

ตาขี้เกียจคืออะไร?

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “ตาขี้เกียจ” มาบ้างใช่มั้ยคะ? ตอนแรกแหม่มเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่าตาขี้เกียจมันคืออะไร จนกระทั่งไปตรวจสายตาแล้วคุณหมอก็แจ้งว่า แหม่มมีภาวะที่เรียกว่าตาขี้เกียจอยู่ข้างหนึ่ง

ภาวะตาขี้เกียจ คือ ภาวะที่สมองกับดวงตาไม่สื่อสารกันดีเท่าที่ควรค่ะ ถึงแม้ตาข้างนั้นจะดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลยจากภายนอก แต่มันมองเห็นได้ไม่ชัดเท่ากับอีกข้างนึง เพราะตอนเด็กๆ เราอาจจะใช้ตาข้างที่ดีกว่ามากเกินไปจนสมองละเลยการรับภาพจากตาข้างที่อ่อนแอไป

ตาขี้เกียจคืออะไร

บางคนอาจเกิดจากการมีค่าสายตาสองข้างไม่เท่ากันมากๆ เหมือนอย่างแหม่มนี่แหละค่ะ ข้างนึงสั้น 350 อีกข้าง 650 พอสมองได้รับภาพชัดจากข้างนึง ส่วนอีกข้างภาพเบลอ สมองก็เลยเลือกจะรับแค่ภาพที่ชัดจากข้างเดียว แล้วค่อยๆ ลดบทบาทของตาอีกข้างไปแบบไม่รู้ตัว

พอเกิดภาวะนี้ขึ้นแล้ว มันรักษาให้หายขาดแบบ 100% ไม่ได้นะคะ โดยเฉพาะถ้าเรารู้ตัวช้าหรือเลยวัยเด็กมาแล้ว โอกาสที่จะแก้ให้กลับมาชัดเท่ากันเป๊ะๆ ก็จะน้อยลง ทีนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วถ้าเป็นตาขี้เกียจแบบนี้ทำ Femto Lasik แล้วจะช่วยอะไรได้มั้ย?

แหม่มก็ถามคุณหมอเหมือนกันค่ะ ซึ่งคุณหมอก็บอกตามตรงเลยว่า ทำ Femto Lasik ช่วยได้บ้าง แต่ไม่มากนะ แต่ถึงอย่างนั้นคุณหมอก็บอกว่า ถ้าเราทำเลสิกเพื่อให้ตาทั้งสองข้างมองเห็นชัดขึ้น มันก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย เพราะช่วยลดความเหนื่อยล้าของดวงตา ช่วยให้สมองไม่ต้องพยายามปรับสมดุลระหว่างภาพชัดกับภาพเบลออยู่ตลอดเวลาด้วย

การเตรียมตัวก่อนทำ Femto Lasik

หลังจากที่แหม่มตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำ Femto Lasik แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วการเตรียมตัวก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย แต่อยากมาเล่าให้ฟัง เผื่อใครที่กำลังคิดจะทำจะได้เตรียมตัวได้ถูกต้องเนอะ

1. หยุดใส่คอนแทคเลนส์ก่อนทำ Femto Lasik ล่วงหน้าอย่างน้อย 3-7 วัน

สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ คุณหมอจะแนะนำให้หยุดใส่ล่วงหน้าหลายวันเลยค่ะ เพราะคอนแทคเลนส์จะไปกดกระจกตา ทำให้ผลวัดคลาดเคลื่อน ซึ่งอาจทำให้แผนการยิงเลเซอร์ผิดพลาดได้

แหม่มเองโชคดีหน่อย เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบใส่คอนแทคเลนส์อยู่แล้ว ใส่แว่นอย่างเดียวมาตลอด ก็เลยไม่ต้องกังวลตรงนี้ค่ะ

2. เตรียมร่างกายให้พร้อม – อย่านอนดึก อย่าเครียด

ก่อนวันผ่าตัดจริง แหม่มพยายามนอนให้พอ ไม่นอนดึก เพราะคุณหมอบอกว่าการพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้เราผ่อนคลาย ไม่กังวลตอนผ่าตัดค่ะ แล้วถ้าร่างกายฟื้นตัวดี การมองเห็นก็จะกลับมาเร็วด้วย

3. งดแต่งหน้า งดน้ำหอม งดใช้สกินแคร์รอบดวงตา

ในวันตรวจและวันผ่าตัด แหม่มไม่ได้แต่งหน้าเลยค่ะ ไม่ทาครีม ไม่ลงรองพื้น ไม่ฉีดน้ำหอม เพราะสารเคมีบางอย่างอาจระเหยและรบกวนเครื่องเลเซอร์ได้ รวมถึงไม่ควรใช้ครีมรอบดวงตาด้วย เพราะอาจไหลเข้าตาแล้วระคายเคืองค่ะ

4. เตรียมแว่นกันแดดไว้ล่วงหน้า

หลังผ่าตัดจะมีอาการแพ้แสงอยู่ช่วงนึงค่ะ คุณหมอจะแนะนำให้พกแว่นกันแดดไว้เลย เพื่อใส่ตอนออกจากโรงพยาบาล แหม่มเองก็เตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนวันผ่าแล้วจะได้ไม่ลืม และควรเลือกแว่นที่กันแสง UV ได้จริงนะคะ ไม่ใช่แว่นแฟชั่นธรรมดา

5. เตรียมใจให้พร้อม อย่ากลัวเกินไป

บอกตรงๆ ว่าแหม่มก็เคยกลัวเหมือนกันค่ะ กลัวว่ามันจะเจ็บ กลัวว่าจะมองไม่เห็น แต่พอถึงเวลาจริงๆ แล้วทุกอย่างผ่านไปเร็วมากและไม่ได้เจ็บอย่างที่คิดเลย มีแค่รู้สึกกดๆ ตาเบาๆ ตอนทำเท่านั้นเอง

พอมาถึงโรงพยาบาลในวันผ่าตัด แหม่มก็รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่พี่ๆ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนให้การต้อนรับดีมาก พูดจาน่ารัก เป็นกันเอง ทำให้เราผ่อนคลายขึ้นเยอะค่ะ

ขั้นตอนการตรวจสุขภาพตาก่อนผ่าตัดทำ Femto Lasik

ก่อนที่จะไปผ่าตัดทำ Femto Lasik แหม่มต้องตรวจสุขภาพตาอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนค่ะ บอกเลยว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวชี้เลยนะคะว่าเราสามารถทำเลสิกได้หรือไม่ แหม่มขอเล่าแบบเรียงตามขั้นตอนที่ตัวเองได้เจอมานะคะ เผื่อใครจะได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า

1. วัดค่าสายตาแบบละเอียด (Refraction)

ขั้นตอนแรกคือการวัดค่าสายตาทั้งสองข้างค่ะ ทั้งสายตาสั้น สายตายาว รวมถึงสายตาเอียงด้วย ซึ่งเค้าจะวัดหลายรอบมากเพื่อให้ได้ค่าที่แม่นที่สุด เพราะมันจะนำไปใช้ในการตั้งค่าการยิงเลเซอร์ระหว่างการผ่าตัดค่ะ

วัดค่าสายตา ก่อนทำ Femto Lasik

2. ตรวจวัดความโค้งกระจกตา (Corneal Topography)

เครื่องนี้จะสแกนกระจกตาเราค่ะ ว่ารูปร่างของกระจกตามีความโค้งมากน้อยแค่ไหน มีความผิดปกติหรือเปล่า เพราะถ้ากระจกตาบางเกินไป หรือมีความโค้งที่ไม่ปกติ ก็อาจจะไม่เหมาะกับการทำเลสิกค่ะ

3. วัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry)

การทำเลสิกจะต้องมีการแยกชั้นกระจกตาแล้วยิงเลเซอร์เข้าไปปรับความโค้งของกระจกตา เพราะฉะนั้นถ้ากระจกตาบางเกินไป ก็อาจเสี่ยงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เครื่องนี้จะวัดว่าเรายังมีความหนาเหลือพอให้ยิงเลเซอร์ไหม

วัดความหนากระจกตา ก่อนทำ Femto Lasik

4. ตรวจวัดรูม่านตา (Pupil Size)

ตอนที่เราอยู่ในที่มืด รูม่านตาจะขยายออก และสำหรับบางคนที่รูม่านตาขยายใหญ่เกินไป อาจมีโอกาสเจออาการแสงกระจายหรือเห็นแสงฟุ้งหลังผ่าตัดได้ ซึ่งคุณหมอก็จะพิจารณาว่าควรใช้เทคนิคไหน หรือมีข้อควรระวังอะไรบ้างค่ะ

5. ตรวจวัดความดันตา (Eye Pressure)

เหมือนการตรวจสุขภาพทั่วไปเลยค่ะ แต่จะโฟกัสเฉพาะดวงตา การวัดความดันตาจะช่วยดูว่าเรามีความเสี่ยงต่อโรคต้อหินหรือเปล่า เพราะถ้ามีโรคทางตาบางอย่างอยู่ อาจจะต้องเลื่อนหรือพิจารณาเทคนิคอื่นแทนค่ะ

6. ตรวจจอประสาทตา (Retina Check)

ขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นการขยายม่านตาด้วยยาหยอด แล้วตรวจดูว่าจอประสาทตาของเรามีความแข็งแรงดีไหม มีรอยฉีกขาดหรือจุดเสื่อมที่ไหนรึเปล่า ซึ่งสำคัญมาก เพราะถ้าจอประสาทตามีปัญหาก็อาจไม่สามารถทำเลสิกได้ค่ะ

ตรวจจอประสาทตา ก่อนทำ Femto Lasik

โดยรวมแล้วแหม่มใช้เวลาตรวจทั้งหมดประมาณ 2-3 ชั่วโมงค่ะ เพราะเค้าวัดหลายอย่างจริงๆ แต่ไม่ได้น่ากลัวเลยนะ พี่ๆ เจ้าหน้าที่ใจดี คอยอธิบายทุกขั้นตอนให้เข้าใจง่ายมาก 

ตรวจตาก่อนทำเลสิก

ขั้นตอนการทำ Femto Lasik

หลังจากตรวจครบทุกขั้นตอนแล้วแหม่มก็รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่พี่ๆ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนให้การต้อนรับดีมาก พูดจาน่ารัก เป็นกันเอง ทำให้เราผ่อนคลายขึ้นเยอะเลยค่ะ

โดยก่อนเข้าห้องผ่าตัดจะมีการเซ็นเอกสารอีกครั้ง และเจ้าหน้าที่จะอธิบายขั้นตอนให้ฟังชัดเจน พร้อมวัดสายตาอีกครั้งเพื่อความแม่นยำค่ะ

ทำเลสิก เจ็บไหม

ก่อนเข้าไปในโซนผ่าตัด พี่พยาบาลจะให้เราเปลี่ยนเป็นชุดคลุมของทางโรงพยาบาล สวมหมวกคลุมผม แล้วก็มาล้างบริเวณดวงตาก่อน โดยเค้าจะมีอุปกรณ์ทำความสะอาดเอาไว้ให้ และสอนว่าจะต้องล้างทำความสะอาดยังไง

ทำความสะอาดก่อนทำ Femto Lasik

พอเข้าโซนห้องผ่าตัด พี่พยาบาลจะประคองเราขึ้นไปนอนบนเตียง ห่มผ้าให้ แล้วก็จะหยอดยาฆ่าเชื้อและยาชาให้ที่ตา ซึ่งขั้นตอนนี้ไม่มีเข็ม ไม่มีเจ็บเลยค่ะ แค่รู้สึกเย็นๆ แล้วภาพที่มองเห็นก็จะเริ่มเบลอขึ้น

จากนั้นขั้นตอนแรกคุณหมอจะใช้อุปกรณ์มาทำให้เราลืมตาเอาไว้พร้อมกับวางอุปกรณ์บนดวงตา จากนั้นก็ให้เราจ้องไปที่แสงตรงหน้าค่ะ ระหว่างนี้ไม่ได้เจ็บอะไรนะคะ แต่จะรู้สึกหน่วงๆ หนักๆ ที่ดวงตาเท่านั้นเอง

จากนั้นคุณหมอจะใช้เลเซอร์ Femtosecond Laser เปิดกระจกตา ซึ่งแหม่มรู้สึกแค่เหมือนมีแรงกดเบาๆ บนดวงตาเท่านั้นเอง ไม่เจ็บเลยค่ะ แถมใช้เวลาแค่ประมาณ 20-30 วินาทีก็เสร็จแล้ว

หลังจากเปิดฝากระจกตาเรียบร้อย ต่อไปจะเป็นขั้นตอนยิงเลเซอร์เพื่อปรับความโค้งของกระจกตาค่ะ ซึ่งตรงนี้ใช้เวลาเร็วมาก ประมาณ 10-20 วินาทีต่อตาเองค่ะ แหม่มแค่นอนนิ่งๆ แล้วมองไปที่แสงไฟตรงกลาง ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

พอยิงเลเซอร์เสร็จ คุณหมอจะปิดฝากระจกตากลับเข้าที่เดิมแล้วจัดให้เรียบสนิท จากนั้นก็หยอดยาฆ่าเชื้อแล้วเปลี่ยนไปทำอีกข้างนึงให้

จากที่คุณหมออธิบายขั้นตอนการทำ Femto Lasik ในตอนแรกว่าจะมีการเปิดกระจกตา แต่จริงๆ แล้วแหม่มก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่ามันมีการทำอะไรกับตาเลยนะคะ ระดับความเจ็บแหม่มให้ติดลบศูนย์เลยค่ะ เพราะทำ Femto Lasik ไม่เจ็บ แค่รู้สึกตึงๆ ตอนคุณหมอใช้เครื่องมือไปวางที่เบ้าตานิดเดียวไม่เกินหนึ่งนาที 

ส่วนความน่ากลัวของการทำ Femto Lasik ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่เป็นความตื่นเต้นของเราเองมากกว่า เวลาเราไปโรงพยาบาล เวลาต้องเข้าห้องผ่าตัดก็จะรู้สึกเย็นๆ ยะเยือกนิดนึง แต่พยาบาลที่นี่คอยช่วยทำให้เราผ่อนคลายได้ดีมากจริงๆ และคุณหมอก็คอยชวนคุยและบอกเราทุกขั้นตอนเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็ช่วยลดความกังวลไปได้เยอะค่ะ

หลังทำ Femto Lasik ทันทีเป็นยังไง?

ตอนออกจากห้องผ่าตัดแหม่มยังมองไม่ค่อยชัดนะคะ เหมือนภาพขุ่นๆ เหมือนมีหมอกอยู่ในตา แล้วตาก็จะไวต่อแสงมาก พี่พยาบาลก็จะเอาที่ครอบดวงตามาปิดไว้ให้ แล้วคุณหมอก็จะเข้ามาบอกว่าภายใน 4-6 ชั่วโมงแรก อาจมีอาการแสบตา น้ำตาไหล หรือรู้สึกเคืองๆ ตา ซึ่งแหม่มก็มีอาการบ้างค่ะ แต่ทนได้ ไม่เจ็บ ไม่ทรมานอะไรขนาดนั้น

ผลลัพธ์หลังทำ Femto Lasik

ตอนนี้มองเห็นชัดประมาณ​ 80-90% แต่เพราะมีที่ครอบตาติดอยู่ก็เลยยังพูดได้ไม่เต็มปากว่ามองเห็นชัดเจน แต่แหม่มรู้สึกดีมากที่ไม่มีแว่นอยู่บนดั้งแล้ว

การดูแลตัวเองหลังทำ Femto Lasik

หลังจากที่แหม่มทำ Femto Lasik เสร็จเรียบร้อย ก็ต้องบอกเลยว่าขั้นตอนต่อไปที่สำคัญไม่แพ้การผ่าตัดก็คือการดูแลตัวเองหลังทำ เพราะถึงแม้จะใช้เวลาในห้องผ่าตัดแค่ไม่กี่นาที แต่การพักฟื้นและการปฏิบัติตัวหลังออกจากห้องผ่าตัดจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของสายตาโดยตรงเลยค่ะ

การดูแลหลังทำเลสิก

พอกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่ทำก็คือรีบพักผ่อนเลย เพราะช่วง 4-6 ชั่วโมงหลังผ่าตัด คุณหมอแนะนำว่าอย่าใช้สายตาเยอะ ไม่ควรดูโทรศัพท์ ไม่ควรดูทีวี และไม่ควรเปิดไฟจ้าๆ เพราะจะยิ่งระคายเคืองตาได้ง่าย 

ซึ่งตอนนั้นแหม่มก็นอนทั้งวันเลยค่ะ ตื่นมาอีกทีคือช่วงค่ำๆ รู้สึกดีขึ้นเยอะ น้ำตาไหลน้อยลง อาการแสบตาก็เบาลงมากแล้ว

หลังจากวันแรกผ่านไป ชีวิตของแหม่มก็จะวนลูปอยู่กับการหยอดตาค่ะ เพราะคุณหมอจะให้ยาหยอดตามาหลายตัว ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาลดการอักเสบ และน้ำตาเทียม ซึ่งต้องหยอดตามเวลาที่กำหนดเป๊ะๆ ทุกวัน แหม่มถึงขั้นตั้งนาฬิกาปลุกไว้เลย เพราะไม่อยากพลาดแม้แต่รอบเดียว 

อีกอย่างที่สำคัญมากคือ เวลานอนต้องใส่ที่ครอบตาด้วยนะคะ เพื่อป้องกันไม่ให้เผลอขยี้ตา หรือมือไปโดนตาโดยไม่รู้ตัวตอนนอน ซึ่งเป็นช่วงที่เสี่ยงมากถ้ากระจกตายังไม่แน่นสนิทดี

นอกจากนี้ช่วงแรกหลังผ่าตัด แหม่มจะไม่ล้างหน้าแบบให้โดนน้ำเลยค่ะ ใช้วิธีเช็ดหน้าด้วยผ้าชุบน้ำแทน เพราะต้องระวังไม่ให้น้ำเปล่าหรือสบู่เข้าตาเด็ดขาด ซึ่งอาจทำให้แผลติดเชื้อได้ และเวลาสระผมก็ต้องให้ร้านสระให้หรือให้คนช่วย เพราะเราจะเงยหน้าหลบไม่ได้เหมือนปกติค่ะ

แม้ว่าแหม่มจะเริ่มมองเห็นได้ชัดขึ้นตั้งแต่เช้าวันถัดมา แต่คุณหมอก็แนะนำว่าอย่าเพิ่งใช้สายตาหนักๆ นะคะ โดยเฉพาะการจ้องหน้าจอนานๆ แหม่มเลยพยายามพักสายตาบ่อยๆ เดินช้าๆ มองใกล้มองไกลสลับกันไป ซึ่งช่วยให้รู้สึกสบายตามากขึ้น ไม่ล้า ไม่เวียนหัว

ผ่านไปไม่กี่วัน แหม่มก็รู้สึกได้เลยค่ะว่าสายตาเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ภาพคมขึ้น เห็นรายละเอียดต่างๆ ชัดเจนขึ้น และที่สำคัญคือความรู้สึกตอนตื่นนอนโดยไม่ต้องควานหาแว่นมันดีมากจริงๆ เหมือนได้ดวงตาคู่ใหม่กลับมาอีกครั้ง ทั้งหมดนี้ก็เพราะเราดูแลตัวเองตามคำแนะนำของคุณหมอเป๊ะๆ ไม่มีขาด ไม่มีเกเรเลยค่ะ

ก่อนทำแหม่มก็ลังเลมากเหมือนกัน เพราะกลัวว่าทำไปแล้วจะไม่ช่วย แต่พอได้ลองปรึกษาผ่าน HDcare ทุกอย่างมันเปลี่ยนเลยค่ะ เพราะที่นี่เค้าไม่ได้แค่ขายการผ่าตัดให้เรานะ แต่เค้าให้ข้อมูลละเอียดมาก มีตารางเปรียบเทียบเทคนิคการผ่าตัดแต่ละแบบว่าแบบไหนเหมาะกับใคร ไลฟ์สไตล์แบบไหนเหมาะกับเทคนิคไหน แล้วที่แหม่มชอบที่สุดคือเค้าไม่บังคับว่าเราต้องเลือกอะไรเลยค่ะ เค้าให้ข้อมูลครบ แล้วก็ให้เราตัดสินใจเอง

ทำ Femto Lasik ที่ไหนดี

ใครที่มีภาวะตาขี้เกียจ ค่าสายตาสองข้างไม่เท่ากัน หรือใส่แว่นมานานแล้วอยากเริ่มต้นใหม่แบบไม่ต้องพึ่งแว่นอีก แหม่มแนะนำเลยค่ะ ลองทักไปปรึกษา HDcare ดูก่อน ไม่มีค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา แล้วก็จะได้รู้ว่าตาของเราเหมาะกับเทคนิคไหน จะได้วางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่เสียเวลา ไม่เสียใจทีหลัง

เพราะบางครั้ง…การมองเห็นชัดขึ้นแค่ “ข้างเดียว” ก็ทำให้ชีวิตเราชัดเจนขึ้นได้ทั้งภาพเลยค่ะ

Scroll to Top