ไม่อยากให้ลูกป่วยบ่อยในช่วงอากาศแปรปรวน คุณพ่อคุณแม่ควรรู้จัก 4 โรคติดต่อในเด็กเล็กที่มักระบาดประจำ คือ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคมือ เท้า ปาก และการติดเชื้อโนโรไวรัส
โรคติดเชื้อเหล่านี้มีสาเหตุจากอะไร อาการเป็นแบบไหน อาการรุนแรงไหม มีวัคซีนป้องกันหรือเปล่า บทความนี้มีคำตอบ!
สารบัญ
4 โรคติดต่อพบบ่อยในเด็กเล็ก
หน้าฝนและหน้าหนาวเป็นช่วงการระบาดของโรคติดต่อมากมาย โดยเฉพาะ 4 โรคติดต่อในเด็กเล็กยอดฮิตที่ผู้ปกครองควรเฝ้าระวัง ดังนี้
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ในระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน ผ่านทางสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ และละอองเชื้อจากการไอหรือจาม โดยเชื้อไข้หวัดใหญ่ในคนมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ A, B และ C
เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะสายพันธุ์ย่อย A H1N1 กับ H2N3 และสายพันธุ์ B ตระกูล Yamagata กับ Victoria แต่สายพันธุ์ A เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์รุนแรงและอันตรายที่สุด
เด็กที่เป็นไข้หวัดใหญ่มักมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และท้องเสีย หากอาการไม่รุนแรงแล้วได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม มักหายได้ภายใน 1 สัปดาห์
เว้นแต่เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดลมอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หรือปอดอักเสบ หากอาการรุนแรงขึ้น ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์โดยเร็ว
โรคไข้เลือดออก (Dengue)
โรคไข้เลือดออกมักพบการระบาดหนักในช่วงหน้าฝนของทุกปี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ที่มีอยู่ 4 สายพันธุ์ย่อย คือ DENV–1 ถึง DENV–4 โดยเชื้อไวรัสสามารถแพร่ไปสู่คนได้จากการถูกยุงลายกัด
อาการของโรคไข้เลือดออกมีหลายระดับ ตั้งแต่ไม่มีอาการ มีอาการเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง โดยอาการเด่นของไข้เลือดออก คือ ไข้สูงลอย ปวดกล้ามเนื้อ กระดูก หรือศีรษะ มีผื่นหรือจุดแดงขึ้นตามผิวหนัง ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้อง
กว่า 80–90% ของคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกครั้งแรกมักมีอาการไม่รุนแรง ทว่าหากเป็นซ้ำด้วยสายพันธุ์ที่ต่างกัน อาจมีอาการรุนแรงมากจนเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด เลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือภาวะช็อก และเสียชีวิตได้
โดยเฉพาะทารก หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและเลือด โรคอ้วน โรคเบาหวาน อาจเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนได้สูง จึงควรเพิ่มความระวังเป็นพิเศษ
โรคมือ เท้า ปาก (Hand, foot, mouth disease)
โรคมือ เท้า ปากเป็นโรคพบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 สาเหตุมาจากเชื้อกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ที่ประกอบด้วยหลายสายพันธุ์ สามารถแพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของเด็กที่ป่วย
สายพันธุ์ย่อยพบบ่อยคือ คอกซากีไวรัส เอ16 (CA16) มักไม่ก่ออาการรุนแรง เช่น มีไข้ เจ็บปาก ไม่อยากอาหาร มีแผลในปาก กระพุ้งแก้ม หรือเพดานอ่อน ผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ เท้า หรือรอบทวารหนัก ส่วนมากเด็กที่แข็งแรงจะหายได้ใน 1 สัปดาห์
อีกหนึ่งสายพันธุ์ย่อยพบน้อยกว่า คือ เอนเทอโร 71 (EV71) แต่กลับก่ออาการรุนแรง และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนในหลายระบบ เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ระบบหายใจและไหลเวียนเลือดล้มเหลว ท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การเสียชีวิต
เด็กที่มีอาการรุนแรงมักมีไข้สูง เซื่องซึม เหนื่อยหอบ ไม่รู้สึกตัว แขนขาอ่อนแรง อาเจียนบ่อย ร่างกายกระตุก และชัก หากพบอาการเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกส่งโรงพยาบาลทันที
การติดเชื้อโนโรไวรัส (Norovirus)
นอกจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจแล้ว อีกหนึ่งโรคที่ต้องเฝ้าระวังคือ การติดเชื้อโนโรไวรัสที่ก่อการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ อาการเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน คล้ายกับอาหารเป็นพิษ ทำให้อาจเข้าใจผิดได้
โนโรไวรัสทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี แอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อกำจัดไม่ได้ สามารถแพร่กระจายได้จากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส จากการสัมผัสหรือสูดดมเชื้อที่มาจากตัวผู้ป่วย
เด็กที่ติดเชื้อโนโรไวรัสจะมีอาการอาเจียนรุนแรง ปวดเกร็งท้อง ท้องเสีย หรือถ่ายเหลว มีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย อาการจะเป็นอยู่ราว 1–3 วัน แล้วค่อย ๆ ดีขึ้นได้ กรณีเกิดอาการรุนแรง อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ หากเด็กถ่ายไม่หยุดหรืออาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพาไปโรงพยาบาล
4 โรคติดต่อในเด็กเล็ก รักษาอย่างไร
โรคติดต่อในเด็กเล็กเหล่านี้ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ จะเป็นการรักษาตามอาการของเด็ก หากอาการไม่รุนแรง ผู้ปกครองสามารถดูแลลูกหลานตามแพทย์แนะนำได้ที่บ้าน เช่น
- เมื่อมีไข้สูง หมั่นเช็ดตัวเป็นประจำ และให้เด็กนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- กินอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย ดื่มน้ำ นม หรือเกลือแร่ ORS เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะเด็กที่อาเจียนหรือท้องเสีย
- กินยาตามอาการตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ ยาแก้แพ้ ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก ยาแก้อาเจียน หรือยาทาแผลในปาก
- ห้ามให้เด็กที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกกินยาแก้ปวดแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟน และยากลุ่มเอ็นเสด (NSAID) เพราะอาจเสี่ยงเลือดออกมากยิ่งขึ้น
- ไม่ควรให้เด็กทานยาปฏิชีวนะโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์ เพราะยาไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ และอาจทำให้เด็กดื้อยาได้ในอนาคต
กรณีที่เด็กมีอาการรุนแรงหรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจพิจารณาให้รักษาตัวในโรงพยาบาล เพื่อการดูแลอย่างใกล้ชิด และรักษาได้ทันท่วงที เช่น ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด หรือให้ยาปฏิชีวนะในเด็กที่ติดเชื้อซ้ำ
รู้วิธีป้องกันและวัคซีน 4 โรคติดต่อในเด็กเล็ก
โรคติดต่อในเด็กเล็กหลาย ๆ โรคป้องกันได้ด้วยการรักษาความสะอาด ดูแลสุขอนามัย และฉีดวัคซีนป้องกันโรค ดังนี้
รักษาความสะอาด และดูแลสุขอนามัย
- สอนให้ลูกล้างมือ นิ้วมือ และเล็บด้วยน้ำและสบู่ให้ทั่ว ครั้งละ 20 วินาทีเป็นอย่างต่ำ ทั้งก่อนและหลังทานอาหาร และเข้าห้องน้ำ
- หมั่นทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้และของเล่นของลูก รวมถึงพื้นที่ในบ้านที่สัมผัสเป็นประจำ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ สวิตช์ไฟ ลูกบิด หรือราวจับ
- หลีกเลี่ยงพาลูกไปสถานที่ที่มีคนหนาแน่นในช่วงของการระบาด เช่น ตลาด ห้างสรรพสินค้า หรือสนามเด็กเล่น หากจำเป็นควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
- เด็กที่ป่วยควรให้หยุดเรียน และแยกพื้นที่ให้เด็กอยู่ห่างจากคนอื่นจนกว่าจะหายดี
- ใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกันกับคนอื่น เลือกอาหารที่สด สะอาด ผ่านการปรุงสุกมาแล้วให้ลูกกิน
- กำจัดแหล่งลูกน้ำยุงลายโดยรอบบ้าน ป้องกันยุงเข้าบ้านหรือยุงกัดด้วยมุ้งลวด มุ้ง ยากันยุง หรือเสื้อผ้าแขนขายาว
ฉีดวัคซีนป้องกันโรค
นอกเหนือจากวิธีข้างต้น ผู้ปกครองสามารถป้องกันโรคติดต่อในเด็กเล็กบางโรคได้ด้วยฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อย่างไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และโรคมือ เท้า ปาก
- วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป หรือ 2 ปีขึ้นไปสำหรับชนิดพ่น ควรฉีดเป็นประจำปีละ 1 เข็ม หรือ 2 เข็มหากฉีดครั้งแรกอายุไม่เกิน 9 ปี
- วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก แบ่งเป็น ชนิด 3 เข็ม สำหรับเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป และเคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน ให้ฉีดในเดือนที่ 0, 6, 12 ตามลำดับ และชนิด 2 เข็ม สำหรับเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป ทั้งเคยและไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ให้ฉีดห่างกัน เข็มละ 3 เดือน
- วัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ปัจจุบันป้องกันได้เฉพาะสายพันธุ์ EV71 ที่เป็นอันตราย สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ถึง 6 ปี โดยฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันเข็มละ 1 เดือน
เพียงคุณพ่อคุณแม่เข้าใจและเตรียมพร้อมเสริมเกราะป้องกันให้ลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการดูแลสุขภาพและสุขอนามัยของลูก พร้อมพาลูกเข้ารับการฉีดวัคซีนเด็กตามความเสี่ยง จะช่วยให้ลูกรักสุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยบ่อยตลอดปี
หลายโรคก็หลายวัคซีน แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดอะไรให้ลูก เพราะ HDmall.co.th มัดรวม โปรแกรมวัคซีนเด็ก มาให้หมดแล้ว ทั้งครบ ทั้งคุ้ม ช้าไม่ได้แล้วนะคุณพ่อคุณแม่!