Default fallback image

สมองเสื่อม! ภัยเงียบที่ไม่ได้มีแค่ในผู้สูงวัย

“ภาวะสมองเสื่อม” ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับผู้สูงอายุเท่านั้น ยังพบได้ในวัยกลางคน หรือแม้แต่คนอายุน้อยหากคนนั้นมีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความเครียดสะสม การใช้ชีวิตเร่งรีบ ขาดการดูแลสุขภาพ หรือโรคเรื้อรังบางชนิด 

นอกเหนือจากสูญเสียความทรงจำแล้ว ยังมีอาการอื่น ๆ เช่น มีปัญหาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ มีปัญหาในการนอนและการเคลื่อนไหว ซึมเศร้า หรือหงุดหงิดง่าย การเข้าใจโรค จะช่วยให้เรารู้จักดูแลสุขภาพร่างกายและสมองอยู่เสมอ  เพราะสมองที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องของอายุ แต่เป็นเรื่องของสุขภาพที่ต้องใส่ใจตั้งแต่ตอนนี้!

ภาวะสมองเสื่อม คืออะไร 

ภาวะสมองเสื่อมหรือโรคสมองเสื่อม (Dementia) ไม่ได้หมายถึงโรคใดโรคหนึ่ง แต่เป็นกลุ่มอาการที่มีความบกพร่องในการจดจำ การคิด การตัดสินใจ ความเข้าใจในภาษาและสิ่งต่าง ๆ ลดลง จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน 

ปกติแล้วจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มตามสาเหตุ คือ กลุ่มที่รักษาให้หาย อาการไม่ทรุดลงไปอีก กับกลุ่มที่รักษาไม่หายเพียง แต่ช่วยให้อาการทุเลาและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งโรคพบบ่อยสุดในกลุ่มหลัง คือ โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) ที่เรารู้จักกัน

อาการสมองเสื่อมเป็นแบบไหน

โดยทั่วไปมักเริ่มจากมีปัญหาความจำระยะสั้น เช่น ลืมสิ่งที่เพิ่งทำไป เมื่ออาการรุนแรงขึ้นจะเริ่มส่งผลต่อ ความจำระยะยาว ความสามารถในการใช้เหตุผล อารมณ์ และพฤติกรรม ซึ่งรุนแรงถึงขั้นกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

แต่ละคนอาจมีอาการต่างกันไปได้ ขึ้นอยู่กับขึ้นกับตำแหน่งของสมองที่เกิดความผิดปกติ ชนิดและความรุนแรงของโรค สามารถแบ่งอาการได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้

1. ระยะเริ่มต้น 

เริ่มมีอาการหลงลืมความจำระยะสั้น เช่น ลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น จำรายละเอียดไม่ได้เท่าเดิม แต่อาจนึกขึ้นได้ในตอนท้าย อาจมีปัญหาทางอารมณ์ อย่างซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย หรือสนใจสิ่งรอบข้างลดลง แต่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ และทำกิจกรรมประจำวันได้อยู่

2. ระยะกลาง 

อาการด้านความจำเริ่มเห็นชัดมากขึ้น มีปัญหาในการสื่อสาร การจดจำทางกลับบ้าน การเรียนรู้ และการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อาจมีอาการทางจิตเวชบางครั้ง เช่น หลงผิด หูแว่ว หรือประสาทหลอน เริ่มไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ดีเหมือนเดิม  

3. ระยะรุนแรง 

ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถของสมองไปเกือบหมด ทำให้ไม่สามารถจดจำเรื่องราวหรือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แม้เป็นกิจวัตรประจำวัน กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ มีความบกพร่องทางการทำงานของระบบร่างกาย เคลื่อนไหวช้า

4. ระยะสุดท้าย หรือระยะติดเตียง

ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยในทุกด้าน ทั้งการเคลื่อนไหวร่างกาย การสื่อสาร การรับประทานอาหาร และเรื่องอื่น ๆ ทำให้ต้องมีคนดูแลตลอดเวลา และมักเกิดภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น เช่น ขาดสารอาหาร ติดเชื้อในระบบต่าง ๆ จนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ 

ภาวะสมองเสื่อมเกิดจากอะไร

สมองเสื่อมเป็นผลมาจากระบบประสาทของสมองที่ค่อย ๆ เสื่อมลงจากการถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพ ทำให้สมองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เกิดปัญหาด้านความจำ ความคิด การตัดสินใจ และพฤติกรรมตามมา 

สาเหตุทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมที่พบบ่อย ได้แก่

การเสื่อมของระบบประสาท (Neurodegeneration)
พบมากในคนอายุมากกว่า 65 ปี มักเป็นผลมาจากโรคอัลไซเมอร์มากที่สุด ประมาณ 60–70% ของผู้ป่วยสมองเสื่อม ส่วนโรคอื่น ๆ ที่เป็นต้นเหตุได้ เช่น สมองเสื่อมในกลุ่มอาการพาร์กินสัน และโรคสมองส่วนหน้าเสื่อม (Frontotemporal dementia)

โรคหลอดเลือดสมอง หรือเส้นเลือดสมองผิดปกติ (Vascular dementia) มักเกิดกับผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวข้องกับหลอดเลือด เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดแดงตีบ แตก หรือตัน 

การติดเชื้อในระบบประสาทส่วนกลาง (Infectious encephalitis) ทำให้เกิดการอักเสบของสมอง เป็นได้ทั้งเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา  เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเรื้อรัง โรคซิฟิลิสขึ้นสมอง โรคเอดส์ โรคสมองอักเสบ

การขาดวิตามินหรือสารอาหาร
การขาดวิตามินหรือสารอาหารบางตัวอาจทำให้เกิดอาการคล้ายภาวะสมองเสื่อมได้ เช่น วิตามินบี12 และโฟเลต ส่วนสารอาหารหรือวิตามินอื่นที่พบไม่บ่อย คือ ธาตุเหล็ก วิตามินบี 1 ไนอะซินหรือวิตามินบี 3

นอกจากนี้ สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้อีก เช่น 

  • อายุมากขึ้น แม้สมองเสื่อมไม่ใช่เป็นภาวะของการแก่ชราตามปกติ แต่อายุมีผลค่อนข้างมาก โดยความเสี่ยงที่เกิดภาวะสมองเสื่อมจะเพิ่มขึ้นทุก 5 ปีหลังจากอายุ 65 ปี
  • พันธุกรรม ถ้ามีพ่อแม่หรือญาติสายตรงมีภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะโรคอัลไซเมอร์ ความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
  • โรคที่กระทบต่อสมอง หรือภาวะ เช่น เนื้องอกในสมอง ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ตับวาย
  • ภาวะซึมเศร้า ความเครียดเรื้อรัง โรคทางจิตเวช มีผลให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทผิดปกติ ทำให้สมองทำงานลดลง เช่น โรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ ภาวะวิตกกังวล 
  • การกระทบกระเทือนสมอง เช่น การบาดเจ็บบริเวณศีรษะจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะเมื่อเกิดอย่างรุนแรงหรือเกิดขึ้นซ้ำ ๆ 
  • การบาดเจ็บของสมอง เช่น สมองขาดออกซิเจน อาการชักต่อเนื่อง หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นเวลานาน 
  • การใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อการทำงานของสมอง เช่น ยานอนหลับ ยารักษาภาวะซึมเศร้า ยาระงับประสาท ยากลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านโคลิเนอจิก (Anticholinergic drugs)
  • การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ ทำให้เซลล์สมองเสียหายและสมองฝ่อ
  • มลภาวะทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM2.5 หรือสารโลหะหนัก อาจส่งผลต่อสมองในระยะยาว
  • การแยกตัวจากสังคม เช่น การอยู่คนเดียว ไม่มีกิจกรรมทางสังคม อาจทำให้สมองขาดการกระตุ้น และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม
  • กิจกรรมทางกายน้อย ขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกาย มีการขยับตัวบ่อย ๆ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียน ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมอง
  • การได้ยินลดลงหรือหูตึง มีการศึกษาพบว่าคนที่มีปัญหาการได้ยิน ไม่ใช้เครื่องช่วยฟัง มีความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่าคนทั่วไป

การตรวจวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม 

การวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมไม่สามารถทดสอบด้วยเครื่องมือเพียงอย่างเดียว ต้องมีการตรวจร่วมกันหลายอย่าง 

ขั้นแรกเป็นการตรวจร่างกาย สอบถามประวัติทางการแพทย์อย่างละเอียด อาการบ่งบอกถึงภาวะสมองเสื่อม เช่น อาการหลงลืม ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน  การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรม โดยจะต้องสอบถามคนใกล้ชิดผู้ป่วยร่วมด้วย

หากสงสัยว่ามีภาวะสมองเสื่อม แพทย์จะมีการตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ เช่น

  • การประเมินอาการซึมเศร้าเบื้องต้น เพราะคนที่มีภาวะซึมเศร้าจะไม่มีสมาธิ มีผลให้ความจำไม่ดี ถ้ารักษาภาวะซึมเศร้าแล้ว ความจำจะดีขึ้น
  • การทำแบบทดสอบ MoCA (Montreal Cognitive Assessment) และ TMSE (Thai Mental State Examination) เป็นแบบทดสอบคัดกรองผู้ป่วยสมองเสื่อมในระยะแรก โดยช่วยประเมินการทำงานของสมองในแต่ละด้าน 
  • การสแกนภาพสมอง เช่น การสแกนสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI Scan) 
  • การตรวจเลือด เพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจมีผลให้ความจำไม่ดี เช่น ไทรอยด์ทำงานน้อยไป เกลือแร่ผิดปกติ ขาดสารอาหารหรือวิตามินบางชนิด โรคซิฟิลิส การทำงานของตับและไต หรืออวัยวะที่เกี่ยวข้อง 
  • การตรวจทางพันธุกรรม เพื่อตรวจสอบความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อการเกิด โรคสมองเสื่อม โดยเฉพาะการตรวจหายีนที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับภาวะอัลไซเมอร์
  • การตรวจพิเศษอื่น ๆ ในคนที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค เช่น การตรวจน้ำไขสันหลัง การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram: EEG) หรือการตรวจสแกนสมองด้วยเครื่องถ่ายภาพรังสีโพสิตรอน (PET Scan) 

ภาวะสมองเสื่อมรักษาอย่างไร

การรักษาภาวะสมองเสื่อมขึ้นอยู่กับสาเหตุ อาการ และความรุนแรงของโรคเป็นหลัก แม้ว่าภาวะสมองเสื่อมส่วนใหญ่จะรักษาไม่หายขาด แต่การรักษาจะช่วยชะลอการดำเนินโรค และบรรเทาอาการไม่ให้แย่ลงอย่างรวดเร็ว เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและผู้ดูแลที่ดีขึ้น 

การรักษาโรคสมองเสื่อมโดยการใช้ยา
การใช้ยาส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการ และชะลอการเสื่อมของสมอง เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาดูแลตนเองได้ โดยมากมักเป็นยาที่ออกฤทธิ์บรรเทาอาการทางสมอง และจำเป็นต้องใช้ยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น  เช่น 

  • ยากลุ่มที่ต้านการทำลายของสารสื่อประสาทชนิดโคลีน (Cholinesterase inhibitor) มีกลไกกระตุ้นการรับรู้เกี่ยวกับความทรงจำและการตัดสินใจ ได้แก่ ยาโดนีพีซิล (Donepezil) ยาไรวาสติกมีน (Rivastigmine) และยากาแลนตามีน (galantamine) ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ คือ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย
  • ยาที่ปิดกั้นการทำงานของสารสื่อประสาทชนิดกลูตาเมทระดับต่ำแบบชั่วคราว เช่น ยาเมแมนทีน (Memantine) อาจให้ร่วมกับยากลุ่มต้านการทำลายของสารสื่อประสาทชนิดโคลีนในข้างต้น
  • ยาฉีดที่ออกฤทธิ์ต้านการสร้างอะไมลอยด์ (Anti-amyloid therapy)
  • ยารักษาอาการอื่น ๆ เช่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หรือภาวะซึมเศร้า

การรักษาโรคสมองเสื่อมโดยการบำบัด
เป็นการฝึกกระตุ้นสมองหรือบริหารสมองด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การเล่นเกม ปรับพฤติกรรมผู้ป่วย ลดความเครียดความกังวล ออกกำลังกาย ปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่ให้ปลอดภัยขึ้น 

โดยแพทย์จะพิจารณาจากระยะของโรค พฤติกรรมและอารมณ์ของผู้ป่วยขณะนั้น ความสามารถในการเรียนรู้ สถานที่และอุปกรณ์ที่มี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

นอกจากนี้ แพทย์จะให้คำแนะนำและความรู้เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมกับผู้ดูแลหรือครอบครัว เพื่อสร้างความเข้าใจโรคให้มากขึ้น และรับมือกับอาการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น 

การรักษาสมองเสื่อมด้วยการผ่าตัด
หากพบว่ามีสาเหตุของสมองเสื่อมจากโรคทางศัลยกรรมระบบประสาท แพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัดบางกรณี 

การรักษาทางเลือกอื่น ๆ
การรักษาแบบทางเลือกอาจช่วยกระตุ้นความจำและความสามารถในการคิดของผู้ป่วยบางราย เช่น การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (TMS) หรือการกระตุ้นสมองด้วยกระแสไฟฟ้าตรงอย่างอ่อน (TDCS) 

แม้ว่าโรคสมองเสื่อมจะพบบ่อยในผู้สูงอายุ แต่การดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงบางประการได้ ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่ดี ออกกำลังกายเป็นประจำ ฝึกสมอง และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ

สมองเสื่อมพบบ่อยในผู้สูงอายุก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เป็นภาวะของการแก่ชราตามปกติ มีความเสี่ยงหรืออาการน่าสงสัย อย่ารอช้า ปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมตรวจสุขภาพสมอง คัดกรองภาวะสมองเสื่อมได้ 

แพ็กเกจตรวจสมองครบวงจร จองผ่าน HDmall.co.th รับส่วนลดพิเศษ พร้อมเลือกเปรียบเทียบราคา ดูรีวิวก่อนรับบริการได้ 

Scroll to Top