ไม่ว่าคุณจะมีอาการไอเพราะเป็นหวัด ไอเพราะภูมิแพ้ ไอเพราะเจอฝุ่นควัน หรือด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม อาการไอสามารถบ่งบอกโรค หรืออาการผิดปกติที่คุณเป็นอยู่ได้
ถ้าสังเกตให้ดี คุณจะเห็นความแตกต่างของอาการไอแต่ละแบบ เช่น ลักษณะการไอ ความรุนแรง ความเรื้อรังของอาการไอว่า ยาวนานขนาดไหน และเพื่อจะได้หาวิธีรักษาได้ถูกต้อง
สารบัญ
รู้จักกลไกการไอ
กลไกการไอเป็นการตอบสนองของร่างกายแบบหนึ่งซึ่งป้องกันสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ โดยเมื่อมีอะไรก็ตามมากระตุ้นเส้นประสาทบริเวณทางเดินหายใจ จะมีการส้งสัญญาณไปยังศูนย์ควบคุมการไอ (Cough center) ที่สมอง ร่างกายจะตอบสนองโดยทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อควบคุมการหายใจออก ส่งผลให้ให้เพิ่มความดันช่องอกและเกิดเป็นการไอออกมา ทั้งนี้ลักษณะการไอที่แตกต่างกันเกิดจากสิ่งกระตุ้นที่แตกต่างกัน เรามาดูกันว่า อาการไอแต่ละแบบ มีรายละเอียดลักษณะอาการ ปัจจัยที่ทำให้เกิด และวิธีรักษาอย่างไร
1. ไอแบบแห้งๆ เหมือนคันคอ
ลักษณะอาการ: ไอโดยมีลักษณะเหมือนคอแห้ง ไม่มีน้ำลาย แต่อาจมีเสมหะด้วย และจะรุนแรงขึ้นในเวลากลางคืน หรือไอในลักษณะเหมือนมีบางอย่างข้นเหนียวติดที่ลำคอ รวมถึงเกิดอาการคันยุบยิบที่ตา และจามเป็นระยะๆ
สาเหตุ: เกิดจากสิ่งแปลกปลอม เช่น ไรฝุ่น หรืออาจเป็นเชื้อไวรัสจากไข้หวัดลงคอจนทำให้ระคายเคือง และไปกระตุ้นให้ร่างกายแสดงออกผ่านอาการไอ หรือเป็นอาการจากโรคภูมิแพ้
วิธีรักษา: ขั้นแรกให้รับประทานยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการไปก่อน หากอาการไอยังไม่หาย ก็อาจต้องปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการอีกครั้ง
แต่หากผู้ป่วยมีอาการไอร่วมกับมีเสมหะธรรมดา การรับประทานยาแก้ไอ และหลีกเลี่ยงไม่ดื่มน้ำเย็นก็อาจช่วยได้ แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น และยังคงไอเกิน 1 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคไซนัสอักเสบ
2. ไอติดๆ กันบ่อยๆ
ลักษณะอาการ: ไอแบบแห้งๆ ติดต่อกันเป็นจังหวะรัวเร็ว พร้อมกับอาการหายใจไม่ค่อยสะดวก
สาเหตุ: อาจมาจากโรคหอบหืด เพราะการไอพร้อมกับหายใจติดขัด อาจมีสาเหตุมาจากระบบทางเดินหายใจอักเสบ หรือติดเชื้อ วิธีดูอาการให้ชัดเจนที่สุดคือ ให้สังเกตช่วงเวลากลางคืน หากดึกแล้วผู้ป่วยไอถี่ขึ้น หรือไอพร้อมหอบและเจ็บหน้าอกทุกครั้ง โดยเฉพาะเวลาออกแรงไอมากๆ หรือยิ่งไอและหอบพร้อมกับอาการเหนื่อยล้ามากเป็นพิเศษ แสดงว่า ร่างกายอยู่ใกล้โรคหืดหอบมากขึ้นทุกขณะแล้ว
วิธีรักษา: แนะนำให้พบแพทย์ โดยแพทย์อาจจะทดสอบสมรรถภาพของปอด (Lung function test) เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยาต่อไปนี้
- ยาขยายหลอดลม
- ยาระงับอาการอักเสบสำหรับบรรเทาสาเหตุของการไอ
- ยาในกลุ่มที่ช่วยระงับการหลั่งสารลิวโคไตรอีน (Leukotriene) ซึ่งเป็นสารตัวกลางที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว และนำเซลล์อักเสบมารวมตัวกันอยู่ในหลอดลมร่วมด้วย
3. ไอหนักๆ แต่เป็นช่วงสั้นๆ
ลักษณะอาการ: ไอรุนแรงเป็นพักๆ โดยเฉพาะช่วงรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ หรืออาจไอทุกครั้งที่นอน รู้สึกระคายคอแล้วเปลี่ยนเป็นอาการไอหนักๆ แต่แค่ช่วงสั้นๆ ประมาณ 2-3 วินาทีเท่านั้น บางรายอาจมีแสบร้อนกลางอก และเสียงแหบทุกครั้งเมื่อไอเสร็จ
สาเหตุ: อาจเป็นสัญญาณบอกถึงโรคกรดไหลย้อน หรือสาเหตุมาจากกรดในกระเพาะอาหารตีกันขึ้นมาทางหลอดลม
วิธีรักษา: ก่อนอื่นต้องเอกซเรย์ลำไส้ก่อน แล้วรักษาด้วยยาลดกรดในกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton Pump Inhibitors: PPIs) ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการกรดไหลย้อน และเสริมด้วยตัวยากลุ่มที่ช่วยเรื่องการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารอย่างเมโทโคลพราไมด์ (Metoclopramide) รวมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการไม่นอนทันทีหลังรับประทานอาหาร
4. ไอเรื้อรัง อาการไม่ทุเลาลง
ลักษณะอาการ: ไอเรื้อรังและมีเสมหะปนมาด้วย จะเกิดขึ้นถี่ในตอนเช้า อาจรู้สึกแน่นหน้าอกขณะไอ หรือหายใจติดขัดร่วมด้วย
สาเหตุ: อาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และมีความเสี่ยงของโรคถุงลมโป่งพอง โรคปอดอักเสบ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการสูบบุหรี่
วิธีรักษา: หากตรวจสภาพปอดโดยละเอียดและพบว่า เข้าข่ายโรคที่กล่าวมาข้างต้น ในช่วงแรกแพทย์อาจสั่งยาขยายหลอดลมเพื่อช่วยระบบทางเดินหายใจให้ทำงานได้ดีขึ้น
แต่หากอาการไอยังคงรุนแรง ผู้ป่วยก็อาจได้รับกลุ่มยาสเตียรอยด์ (Steroid) ช่วยบรรเทาการอักเสบของปอดด้วย แต่ทางรักษาที่ดีที่สุดคือ ควรหยุดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด
อาการไออาจเป็นอาการป่วยทั่วๆ ไปที่ทุกคนต้องเคยพบในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรนิ่งนอนใจ และมองว่าเป็นเพียงอาการเล็กน้อยที่ไม่จำเป็นต้องรักษาจริงจังก็ได้ เพราะอาการไอ อาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายที่กำลังบอกว่า “โรคภัยบางอย่างกำลังคุกคาม” ก็เป็นได้
ดังนั้นหากมีอาการไอ คุณควรหมั่นสังเกตตนเองว่า อาการไอมีลักษณะอย่างไร หากมีอาการไอผิดปกติ หรือเรื้อรัง มีเสมหะ หรือมีอาการป่วยอย่างอื่นร่วมด้วย คุณควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษาก่อนที่จะสายเกินไป
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล