ปัจจุบันมีเทคนิคการยกกระชับผิวมากมายหลายรูปแบบให้ผู้เข้ารับบริการเลือกใช้ ทั้งการฉีด Botulinum toxin A การทำไฮฟู่ การทำเทอร์มาจ อย่างไรก็ตาม วิธีเหล่านี้จัดเป็นวิธีลดความหย่อนคล้อยชั่วคราว และมักเห็นผลได้แค่ในหลักเดือนหรือไม่กี่ปีเท่านั้น ผ่านไประยะเวลาหนึ่งก็ต้องกลับมาทำซ้ำเพื่อคงสภาพผิวเอาไว้ ต่างจากวิธียกกระชับผิวแบบผ่าตัด หรือที่หลายคนเรียกว่า “การดึงหน้า” ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาความหย่อนยานของเนื้อผิวที่เห็นผลได้นานถึงหลายปีโดยไม่ต้องกลับมาพบแพทย์ซ้ำ
ในบทความนี้ HDmall.co.th จะมาเจาะลึกเกี่ยวกับวิธีเสริมความงามที่เรียกว่า การดึงหน้า อย่างละเอียดว่าใครเหมาะกับบริการนี้ และต้องมีการดูแลตนเองเพิ่มเติมอย่างไรทั้งก่อนและหลังจากรับบริการ
สารบัญ
- ดึงหน้าคืออะไร?
- ดึงหน้ามีกี่แบบ?
- ดึงหน้าส่วนไหนได้บ้าง?
- ดึงหน้าอยู่ได้กี่ปี?
- ดึงหน้าเหมาะกับใคร?
- ข้อดีของการดึงหน้า
- ข้อเสียของการดึงหน้ามีอะไรบ้าง? แผลเห็นชัดหรือไม่?
- ดึงหน้าไม่เหมาะกับใคร?
- ดึงหน้าบวมกี่วัน?
- การเตรียมตัวก่อนดึงหน้า
- ขั้นตอนการดึงหน้าเป็นอย่างไร?
- การดูแลตนเองหลังดึงหน้า?
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการดึงหน้า
- ดึงหน้าพักฟื้นนานไหม?
ดึงหน้าคืออะไร?
ดึงหน้า (Face lift) คือ การแก้ปัญหาความหย่อยคล้อยของผิวหน้าที่มักมีสาเหตุหลักมาจากอายุที่มากขึ้น ผ่านวิธีการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อดึงเนื้อผิวให้กลับมาตึงกระชับขึ้นอีกครั้ง
ดึงหน้ามีกี่แบบ?
การดึงหน้าเป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาผิวที่มีมาอย่างยาวนาน และได้พัฒนาเทคนิคการผ่าตัดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดความซับซ้อนในการผ่าตัด ผลข้างเคียง รวมถึงทำให้ผิวหน้าที่ได้รับการแก้ไขดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น
1. การผ่าตัดดึงหน้าบริเวณชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ
มีอีกชื่อเรียกว่า “ดึงหน้าชั้น SMAS” เป็นเทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยแพทย์จะผ่าตัดเลาะเนื้อผิวลงไปยังชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อส่วนบน หรือชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) แล้วปรับดึงเนื้อผิวชั้นนี้ให้ตึง รวมถึงตัดแต่งเนื้อผิวส่วนที่หย่อนยานมากทิ้งไป
2. การผ่าตัดดึงหน้าโดยไม่ใช้ยาสลบ
เป็นเทคนิคการดึงหน้าที่มีขั้นตอนการผ่าตัดไม่ต่างกับการผ่าตัดในข้อหนึ่ง แต่จะแตกต่างในส่วนของการงดใช้ยาสลบ เพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแพ้ยาสลบ อาการง่วงซึม หรือมึนเบลอหลังจากผู้เข้ารับบริการตื่นขึ้นมา และแพทย์จะฉีดเพียงในส่วนของยาชาเพื่อป้องกันอาการเจ็บให้เท่านั้น
การพิจารณาผ่าตัดดึงหน้าโดยไม่ใช้ยาสลบจะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับบริการ เงื่อนไขการให้บริการในแต่ละสถานพยาบาล และตามดุลยพินิจของแพทย์
3. การผ่าตัดดึงหน้าโดยใช้ Endotine
เอนโดไทน์ (Endotine) คือ วัสดุขนาดไม่ถึง 1 เซนติเมตรที่มีรูปร่างคล้ายกับหมุดเล็กๆ มีก้านคล้ายกับหนามยื่นออกมาทั่วบริเวณหมุด ใช้สำหรับดึงผิวหน้าให้ตึงกระชับโดยเฉพาะ ผ่านการผ่าตัดเปิดเนื้อผิว จากนั้นใส่เอนโดไทน์ลงไปตามตำแหน่งต่างๆ เพื่อยึดและดันผิวที่หย่อนคล้อยหรือยุบตัวลงจนเห็นเป็นร่องให้กลับมาตึงอีกครั้ง เหมือนกับการใช้หมุดยึดผ้าผืนหนึ่งที่กำลังหย่อนและมีรอยยับให้กลับมาตึงแน่นทุกมุม
วัสดุเอนโดไทน์ที่นำมาใช้ในการดึงหน้ามักเป็นวัสดุที่สามารถละลายเองได้ตามธรรมชาติ ไม่สร้างอันตรายต่อเนื้อเยื่อ และยังมีหลายชนิดเพื่อให้เลือกใช้ได้กับบริเวณต่างๆ ของใบหน้าได้อย่างหลากหลาย เช่น
- Endotine Forehead เป็นหมุดขนาดเล็กมีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยม ใช้สำหรับดึงหน้าส่วนหน้าผาก อาจรวมถึงร่องเหนือคิ้วด้วย
- Endotine TransBleph เป็นก้านหมุดที่มีหนามยื่นออกมาสามส่วนคล้ายกับส้อม ใช้สำหรับยกหางคิ้ว เพิ่มระยะของชั้นตาเพื่อแก้ปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ดวงตาเศร้า และปรับให้ดวงตาดูกลมโตขึ้น
- Endotime Midface เป็นก้านหมุดยาวที่ส่วนปลายเป็นวงกลม ใช้สำหรับดึงผิวแก้มที่หย่อนจนเห็นร่องแก้มชัด
- Endotine Ribbon เป็นเส้นหมุดขนาดเล็กเป็นก้านยาวเหมือนริบบิ้น มีหนามเล็กๆ ตั้งแต่ต้นจรดปลาย ใช้สำหรับดึงผิวส่วนล่างของใบหน้า เช่น มุมปาก ลำคอ กรอบหน้าที่ผิวหย่อนยาน ไม่ดูอ่อนเยาว์
4. การผ่าตัดดึงหน้าโดยการส่องกล้อง (Endoscopic lift)
อีกเทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าแบบใหม่เพื่อให้ได้แผลที่เล็กกว่าและไม่ต้องพักฟื้นนาน ผ่านการใช้อุปกรณ์กล้องขนาดเล็กในการผ่าแยกชั้นผิวออก แล้วจึงดึงเนื้อผิวส่วนที่มีปัญหาให้กลับมาตึงและดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง
การผ่าตัดดึงหน้าแบบส่องกล้องมักนำมาใช้ทดแทนเทคนิคการผ่าตัดดั้งเดิมซึ่งจะต้องมีการกรีดเปิดผิวขนาดใหญ่ และยังนิยมใช้ในการผ่าตัดร่วมกับใช้วัสดุเอนโดไทน์ด้วย เพื่อให้แพทย์หาตำแหน่งในการติดตั้งเอนโดไทน์ได้อย่างแม่นยำร่วมกับมีแผลหลังผ่าตัดขนาดเล็กและในตำแหน่งที่ยากจะสังเกตเห็น
ดึงหน้าส่วนไหนได้บ้าง?
การดึงหน้าเป็นการทำหัตถการที่สามารถปรับความกระชับของผิวหน้าได้อย่างทั่วถึงแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็น
- หน้าผาก
- หางตา
- หนังตา
- หัวคิ้ว
- ร่องแก้ม
- มุมปาก
- กรอบหน้าหรือกราม
- ผิวคอ
การดึงหน้าไม่จำเป็นต้องทำกับผิวหน้าทุกส่วนเสมอไป ผู้เข้ารับบริการสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ในการเลือกบริเวณสำหรับผ่าตัดดึงหน้าได้ หรือแพทย์เป็นผู้ประเมินถึงบริเวณที่ควรรักษาผ่านการดึงหน้ามากที่สุด
ดึงหน้าอยู่ได้กี่ปี?
การดึงหน้าเป็นการรักษาความงามที่อยู่ในระดับกึ่งถาวร ผลลัพธ์หลังทำจะคงอยู่ได้ประมาณ 5-10 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับปัญหาผิวและการดูแลบำรุงผิวหลังทำ
ดึงหน้าเหมาะกับใคร?
กลุ่มผู้ที่เหมาะกับการดึงหน้า คือ กลุ่มผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนยาน ไม่กระชับบริเวณใบหน้า จนเกิดปัญหาผิวดังต่อไปนี้
- หนังตาตก คิ้วตก
- ปัญหาตาหลบใน
- มีรอยเหี่ยวย่นที่หน้าผากชัดเจน
- มีปัญหาร่องลึกหรือรอยขมวดคิ้วระหว่างคิ้วสอง 2 ข้าง
- ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อตาหย่อน
- ผู้ที่มีปัญหาตาเศร้า หรือเปลือกตาหย่อน
- ร่องแก้มเห็นเป็นเส้นชัด
- ผิวแก้มหย่อนหรือห้อย
- กรอบหน้าไม่ชัด ไม่เป็นวีไลน์ หรือมีเหนียงเยอะ
- ผิวลำคอมีเนื้อเยอะและหย่อนคล้อย
นอกจากนี้วิธียกกระชับผิวผ่านการดึงหน้า ยังเหมาะกับผู้มีความต้องการวิธีรักษาความหย่อนคล้อยของผิวแบบเห็นผลลัพธ์ได้กึ่งถาวร คงอยู่ได้นานหลายปี และไม่ต้องกลับมาพบแพทย์บ่อยๆ รวมถึงผู้ที่ผ่านการยกกระชับผิวด้วยวิธีอื่นๆ มาแล้ว แต่ยังรู้สึกไม่พึงพอใจ และอยากใช้วิธีผ่าตัดแก้ปัญหาผิวแทน
ข้อดีของการดึงหน้า
จุดเด่นของการดึงหน้าคือ สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยของผิวได้อย่างครอบคลุมทุกส่วนบนใบหน้า ทำให้สามารถเลือกตำแหน่งในการทำได้อย่างหลากหลายและเฉพาะจุด และยังถือเป็นการแก้ปัญหาผิวที่อยู่ได้นาน ต่างจากการรักษาความหย่อนคล้อยผ่านวิธีอื่นๆ
ข้อเสียของการดึงหน้ามีอะไรบ้าง? แผลเห็นชัดหรือไม่?
ถึงแม้การดึงหน้าจะช่วยลดปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าได้ทั่วถึง และยังเป็นวิธีรักษาความงามที่ทำกันมาอย่างยาวนาน แต่การดึงหน้าก็ยังมีข้อจำกัดที่ควรจะทราบ เพื่อประกอบการพิจารณารับบริการ เช่น
- ต้องรับบริการกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น มิฉะนั้นใบหน้าที่ได้รับการดึงผิวแล้วอาจดูมีโครงหน้าที่แปลกไปและดูไม่สวยงามอย่างที่คาดหวัง ทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกผิดหวังกับผลลัพธ์หลังทำได้
- ยังต้องมีการพักฟื้นหลังรับบริการ เพื่อสังเกตดูอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อบรรเทาอาการเจ็บระบมแผลหลังผ่าตัด
- มีรอยแผลเป็น เพราะเป็นการผ่าตัดที่ต้องมีการเปิดเนื้อผิว แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาวิธีผ่าตัดให้แผลจากการดึงหน้าซ่อนอยู่บริเวณที่อำพรางต่อการมองเห็นจากคนภายนอกแล้ว เช่น บริเวณไรผม ตรงขมับ หรือบนหนังศีรษะ นอกจากนี้ยังมีขนาดเล็กไม่กี่เซนติเมตร ซึ่งยากต่อการสังเกตเห็นด้วย
- ผลลัพธ์ไม่คงอยู่ตลอดไป แม้หลายสถานพยาบาลมักจะหยิบยกข้อมูลว่า การดึงหน้าสามารถทำให้ปัญหาผิวหย่อนยานบรรเทาลงไปได้ถึง 5-10 ปี แต่ความจริงแล้วผลลัพธ์จากการดึงหน้าจะคงอยู่ไปได้กี่ปีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะสภาพผิวและการดูแลตนเองหลังทำ ซึ่งจะแตกต่างและมีระยะเวลาของผลลัพธ์ไม่เท่ากัน
ดึงหน้าไม่เหมาะกับใคร?
- ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับช่วงเวลาที่สามารถรับบริการได้ ซึ่งต้องผ่านพ้นการคลอดและให้นมบุตรไปก่อน
- ผู้ที่มีปัญหาแพ้ยาสลบหรือยาชา
- ผู้ที่มีประวัติโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด มีปัญหาเลือดหยุดยาก โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ผู้ที่กำลังป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ ภาวะผิวหนังติดเชื้อ
นอกจากนี้ยังควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับระยะเวลาของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเสียก่อน เพื่อจะได้เข้าใจถึงกลไกการเปลี่ยนแปลงและความเสื่อมของผิวที่เป็นไปตามอายุ และอาจไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นตลอดไปได้
ดึงหน้าบวมกี่วัน?
หลังจากรับบริการผ่าตัดดึงหน้าแล้ว ผู้เข้ารับบริการอาจเผชิญกับอาการผิวบวมบริเวณผ่าตัดได้ โดยระยะเวลาที่ผิวบวมโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1-4 สัปดาห์ แตกต่างกันไปตามการตอบสนองต่อการผ่าตัดของแต่ละบุคคล รวมถึงเทคนิคการผ่าตัดเพื่อลดปัญหาแผลบวมหลังผ่าของแต่ละสถานพยาบาล
การเตรียมตัวก่อนดึงหน้า
เพื่อลดอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัด และเพื่อสุขอนามัยที่สะอาดและพร้อมต่อการทำหัตถการ ผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ก่อนเข้ารับการผ่าตัดดึงหน้า
- แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา แพ้สารเคมี ยาประจำตัวที่กำลังใช้อยู่ทั้งหมดให้แพทย์ทราบ
- งดยาบางกลุ่มก่อนรับบริการ เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือหากไม่แน่ใจยากลุ่มใด ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับบริการล่วงหน้า
- งดสูบบุหรี่และงดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป
- อาบน้ำทำความสะอาดผิวให้เรียบร้อยก่อนเดินทางมาผ่าตัด
- ถอดเครื่องประดับ อุปกรณ์ที่เป็นโลหะทุกชนิดออกจากร่างกาย
- งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดเป็นระยะเวลา 6-8 ชั่วโมง
- ลางานหรือลาหยุดล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อพักฟื้นแผลหลังผ่าตัด
ขั้นตอนการดึงหน้าเป็นอย่างไร?
การผ่าตัดดึงหน้าจะใช้เวลาโดยประมาณ 2-4 ชั่วโมง กระบวนการในการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาล แต่โดยทั่วไปมีขั้นตอนต่อไปนี้
- แพทย์ให้ยาชาและยาสลบ หรืออาจให้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ก่อนผ่าตัด
- แพทย์กรีดเปิดแผลที่หนังศีรษะ ไรผม ขมับ หรือหลังใบหู ขึ้นอยู่กับเทคนิคและวิธีการที่เลือกใช้
- แพทย์เลาะผิวหนังแต่ละชั้น จากนั้นดึงเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวส่วนบนให้ตึง หรือติดตั้งเอนโดไทม์ลงไป รวมถึงอาจพิจารณาตัดผิวหนังที่หย่อนยานมากๆ บางส่วนออก
- แพทย์เย็บปิดผิวหนังด้วยไหมเส้นเล็ก
การดูแลตนเองหลังดึงหน้า?
ในส่วนของการดูแลแผลหลังจากดึงหน้า ผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- ประคบเย็นบริเวณแผลเพื่อลดอาการบวมและเจ็บระบมประมาณ 3 วัน
- นอนหมอนสูงลดอาการบวมประมาณ 3-7 วันหลังผ่าตัด
- งดการทำกิจกรรมที่อาจเสี่ยงทำให้ใบหน้า ศีรษะ และลำคอถูกกระแทกเป็นเวลา 1 สัปดาห์
- งดออกกำลังกายและใช้กิจกรรมที่ออกแรง 2 สัปดาห์
- งดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่แบบระยะยาว เพื่อลดโอกาสแผลอักเสบหรือติดเชื้อ
- อย่าให้แผลโดนน้ำ 1 สัปดาห์
- ทำความสะอาดแผลผ่านการใช้สำลีชุบน้ำเกลือแล้วเช็ดแผลเบาๆ
- หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์สามารถสระผมได้ แต่ให้งดเกา หรือใช้นิ้วฟอกผิวบริเวณแผลและรอบๆ แผล
- ใช้ครีมขี้ผึ้งฆ่าเชื้อทาที่แผลเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น โดยอาจขอซื้อเพิ่มจากทางสถานพยาบาล
- ผู้เข้ารับบริการอาจได้รับผ้ารัดใบหน้าเพื่อใช้รัดผิวหน้าเอาไว้ให้ตึงอย่างน้อย 7-10 วันหลังผ่าตัด
- กินยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- งดย้อมสีผมหรือทำเคมีกับผมนาน 1 เดือนหลังผ่าตัด เพราะอาจไปสร้างความกระทบกับเทือนกับแผลได้
- เดินทางมาตัดไหมและตรวจเช็กแผลกับแพทย์ตามนัด โดยแพทย์อาจนัดให้ตรวจหลังผ่าตัด 7 วัน, 1 สัปดาห์, 3 เดือน และ 6 เดือน
สำหรับการดูแลผิวเพื่อให้คงผลลัพธ์จากการดึงหน้าไว้ให้ได้นานที่สุด มีดังต่อไปนี้
- งดการออกไปสัมผัสแสงแดดจัดอย่างต่อเนื่อง เพราะจะทำให้เซลล์ผิวเสื่อมและทำให้ความหย่อนยานของผิวกลับมา
- งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่แบบระยะยาว เพราะสารพิษจากทั้ง 2 อย่างนี้มีแต่จะไปทำให้สภาพผิวเสื่อมโทรมลงกว่าเดิม
- พักผ่อนให้เพียงพอทุกคืน
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงอาหารที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุเสริมที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ
- หมั่นใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือมีการดูแลผิวเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อให้สุขภาพผิวดีอยู่เสมอ โดยอาจปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่เหมาะสมกับตัวผู้เข้ารับบริการ
- งดการกด นวด หรือถูผิวหน้าแรงๆ บ่อยๆ
วิธีการเหล่านี้เป็นเพียงวิธีสร้างโอกาสให้สุขภาพผิวหลังดึงหน้าดีขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ความหย่อนคล้อยที่อาจกลับมาในภายหลังบรรเทาช้าลงไป อย่างไรก็ตาม ความยาวนานของผลลัพธ์จากการดึงหน้าก็ขึ้นอยู่กับแต่ละตัวบุคคล ซึ่งไม่สามารถตีออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการดึงหน้า
อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ จากการดึงหน้า ได้แก่ ผิวบวม แผลมีรอยจ้ำช้ำ อาการปวดหรือเจ็บระบมแผล ซึ่งเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง อาการเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่หากคุณเผชิญกับอาการข้างเคียงอื่นๆ ดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงขึ้นได้ ให้รีบกลับมาพบแพทย์โดยด่วน
- รอยแผลมีเลือดออก
- แผลส่งกลิ่นเหม็น หรือมีน้ำหนองไหลออกมา
- เป็นไข้สูงหรือรู้สึกหนาวสั่น
- คลื่นไส้อาเจียน
- มีอาการที่อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท
ดึงหน้าพักฟื้นนานไหม?
โดยปกติระยะเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดดึงหน้าจะอยู่ที่ 2-4 สัปดาห์
ในปัจจุบันได้มีเทคนิคการผ่าตัดใหม่ๆ เข้ามา เพื่อลดข้อจำกัดด้านการพักฟื้นที่ยาวนานให้สั้นลงอีก ดังนั้นระยะเวลาในการพักฟื้นของผู้เข้ารับบริการแต่ละท่านจะขึ้นอยู่กับคำแนะนำให้แพทย์เป็นหลัก