ประจำเดือนไม่มา หรือ ขาดประจำเดือน (Amenorrhea) ไม่มีประจำเดือน 1 เดือน หลายคนอาจดีใจเพราะคิดว่า กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับครอบครัวที่อยากมีลูก แต่จะกลายเป็นปัญหาทันทีหากคุณไม่ได้ต้องการแบบนั้น หรือไม่ทราบสาเหตุของอาการที่เกิด
ดังนั้น หากประจำเดือนไม่มา คุณผู้หญิงอย่าชะล่าใจเด็ดขาด แต่ควรรีบหาสาเหตุให้แน่ชัด แล้วแก้ไขให้ถูกจุดก่อนที่ร่างกายจะป่วย หรือมีความผิดปกติจนสายเกินแก้
สารบัญ
รู้จักกับอาการประจำเดือนไม่มา
ประจำเดือนไม่มา หมายถึง การหายไปของประจำเดือนในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ เช่น อายุ 15 ปี แล้วยังไม่มีประจำเดือน หรือการขาดประจำเดือนไปอย่างน้อย 3 รอบ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประจำเดือนขาดไปคือ “การตั้งครรภ์” แต่ก็ไม่เสมอไป บางคนประจำเดือนหายไป 1-2 เดือนด้วยเหตุผลอื่นก็มี
สาเหตุอื่นๆ ที่พบมากนอกจากการตั้งครรภ์ ได้แก่ ความเครียด การกินยาคุมกำเนิด สุขภาพไม่แข็งแรง น้ำหนักตัวน้อยไป ออกกำลังมากไป และอายุเพิ่มมากขึ้น
- บทความแนะนำ: ประจำเดือนมาช้า 1 อาทิตย์ เพราะอะไร?
8 สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มา
1. ตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์เป็นการตั้งข้อสันนิษฐานอันดับแรกในกรณีนี้ ทั้งนี้ช่วงเวลาที่ประจำเดือนไม่มานั้นจะยาวนานไปจนถึงช่วงระหว่างให้นมบุตรด้วย
2. ความเครียด
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ โดยเฉพาะ Working woman ทั้งหลายที่มีภาระเรื่องงานให้ต้องคิดมากมาย หรือบางคนที่มีเรื่องส่วนตัวจนทำให้เครียด เนื่องจากความเครียดจะส่งผลต่อสมองส่วนที่ควบคุมฮอร์โมนเพศซึ่งทำให้การตกไข่ และการมีประจำเดือนผิดปกติไป
3. กินยาคุมกำเนิด
กลุ่มยาคุมกำเนิดมีผลโดยตรงกับฮอร์โมนเพศหญิง ดังนั้นหากรับประทานยาคุมกำเนิดนานๆ อาจส่งผลให้ประจำเดือนขาดได้
4. สุขภาพไม่แข็งแรง
หลายคนมีสาเหตุจากมีโรคประจำตัว หรือไม่สบายบ่อย บ่อยครั้งที่ประจำเดือนมาและไม่มา สลับเดือนกัน หรือบางครั้งประจำเดือนไม่มามากกว่าเดือนที่มาเสียอีก
กลุ่มคนเหล่านี้อาจต้องรับประทานยาเพื่อให้ประจำเดือนมาตามปกติ และอาจต้องพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษา
ไม่เพียงเท่านั้นการที่สุขภาพไม่แข็งแรงยังมักส่งผลทำให้มีบุตรยากเมื่อต้องการตั้งครรภ์ด้วย
5. น้ำหนักตัวน้อยไป
ผู้ที่น้ำหนักตัวน้อยเกินไปคือ มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าน้ำหนักปกติมากกว่า 10% จะส่งผลรบกวนการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายจนมีผลต่อกระบวนการตกไข่ และการมีประจำเดือน
6. ออกกำลังกายมากเกินไป
ผู้หญิงที่ออกกำลังกายบางประเภทที่ค่อนข้างหนัก และต้องใช้พลังงานมากจนมีผลให้ไขมันในร่างกายน้อยเกินไป ร่างกายจะเกิดความเครียดทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงต่ำมีผลให้ประจำเดือนขาด และอาจส่งผลให้กระดูกไม่มีความแข็งแรง
7. ประจำเดือนเปลี่ยนไปจากอายุที่มากขึ้น
เมื่อคุณเริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนในช่วงอายุประมาณ 50 ปี ช่วงนี้ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนน้อยลงตามธรรมชาติจึงอาจมีการขาดประจำเดือนได้
โดยจะเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของรอบเดือน ได้แก่
- ประจำเดือนค่อยๆ น้อยลง หรืออาจมีมากกว่าปกติ
- ขาดประจำเดือน
- รอบเดือนสั้นลง
- มีอาการก่อนมีประจำเดือนที่เปลี่ยนไป หรือมีอาการก่อนมีประจำเดือนร่วมกับอาการของวัยทอง เช่น ร้อนวูบวาบ หรือมีปัญหาด้านการนอน
8. ความผิดปกติที่อวัยวะอื่นๆ
หากคิดว่าสุขภาพก็แข็งแรงดี สภาวะจิตใจก็ดี ไม่มีเรื่องเครียดใดๆ แต่ขาดประจำเดือนก็จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะอาจเกิดจากความผิดปกติที่อวัยวะอื่นๆ ที่มีผลต่อการสร้างฮอร์โมนเพศในร่างกายได้ เช่น
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic ovary syndrome: PCOS)
- การทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
- มีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง
- ภาวะพังผืดในมดลูก (Asherman’s syndrome)
การวินิจฉัยประจำเดือนไม่มา
การวินิจฉัยมีหลายขั้นตอนที่แพทย์ใช้เพื่อตรวจสอบว่า คุณขาดประจำเดือนหรือไม่
ขั้นแรกแพทย์จะซักประวัติเกี่ยวกับอาการเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น จากนั้นแพทย์อาจตรวจภายใน และตรวจการตั้งครรภ์เพื่อตัดสาเหตุเรื่องการตั้งครรภ์ออกไป
การทดสอบสำหรับการขาดประจำเดือนอาจประกอบด้วย
- การตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมน
- การตรวจสารพันธุธรรม
- การอัลตราซาวด์ (Ultrasound) บริเวณท้องน้อย
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
- การตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
การรักษาภาวะประจำเดือนไม่มา
การรักษาที่แพทย์จะแนะนำนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดการขาดประจำเดือน การรักษาอาจประกอบด้วยการใช้ยา การผ่าตัด การปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต หรือทั้ง 3 วิธีร่วมกัน
1. การปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต
- ค่อยๆ ทำให้ร่างกายมีน้ำหนักที่เหมาะสมและพยายามคงระดับน้ำหนักนั้นไว้ (หากมีน้ำหนักน้อย หรือมากเกินไป)
- ลดความเครียด
- หากเป็นนักกีฬาอาจใช้การปรับการฝึกฝนร่างกาย หรือปรับเปลี่ยนอาหารที่รับประทาน
2. การรักษาโดยการใช้ยา
- ยาฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ทดแทน
- ยาสำหรับรักษาภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ
3. การผ่าตัดสำหรับการขาดประจำเดือน
- การตัดพังผืดภายในมดลูกออก
- การตัดเนื้องอกของต่อมใต้สมองออก
การที่ประจำเดือนไม่มาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยสำหรับผู้หญิงสมัยนี้ ถึงแม้จะทำให้ใครหลายคนเกิดความกังวลอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การปรึกษาแพทย์ จากนั้นจึงค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามความเหมาะสม การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องจะช่วยให้เรากลับมามีสุขภาพที่ดี และมีวิถีชีวิตที่ปกติได้
คำถามที่เกี่ยวข้อง
- ตรวจฉี่ไม่ท้อง แต่ประจําเดือนไม่มาเพราะอะไร ?
- เมนส์มาช้า 1 อาทิตย์ เพราะอะไร ?
- ประจําเดือนไม่มา แต่มีตกขาว ท้องไหม ?
ตรวจสอบความถูกต้องโดย ทีมแพทย์ HD
ที่มาของข้อมูล
- MedicineNet (2013). Menstruation (Menstrual Cycle). (https://www.medicinenet.com/menstruation/article.htm)
- Watson, S. Healthline (2018). Stages of Menstrual Cycle. (https://www.healthline.com/health/womens-health/stages-of-menstrual-cycle)
- Mayo Clinic (2014). Diseases Conditions. Premenstrual Syndrome (PMS). (https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/premenstrual-syndrome/symptoms-causes/syc-20376780)