ถึงแม้ปัญหายาเสพติดจะเป็นหนึ่งในปัญหาที่ยังไม่สามารถขจัดออกไปได้จากประเทศไทย แต่ก็มีผู้เสพจำนวนมากที่ต้องการเลิกเสพยา และกลับไปอยู่ร่วมกับสังคมอย่างคนปกติอีกครั้ง
มาดูพร้อมกันว่า วิธีเลิก และบำบัดยาเสพติดเป็นอย่างไร แล้วหากคุณเป็นสมาชิกครอบครัวที่สังเกตว่า อาจมีคนใกล้ชิดเป็นผู้เสพยาเสพติด จะมีวิธีตรวจสอบได้อย่างไรบ้าง
สารบัญ
สาเหตุของการติดยาเสพติด
การเลิกยาเสพติดให้สำเร็จจำเป็นจะต้องได้รับกำลังใจ และแรงจูงใจที่ดีจากคนใกล้ชิด ดังนั้นทุกคนจึงควรรู้สาเหตุที่หลายคนมักจะเลือกเสพยาเสพติดเพื่อเป็นทางออกให้กับชีวิตเสียก่อน โดยสาเหตุที่มักทำให้เกิดพฤติกรรมเสพยาเสพติด ได้แก่
- สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ เช่น มีความเครียด เศร้า วิตกกังวล หาทางออกให้กับปัญหาไม่ได้ และอยากมีความสุขกับชีวิตแม้จะเป็นระยะชั่วคราวจากฤทธิ์ยาเสพติดก็ตาม
- ต้องการความกล้า ความมั่นใจ และมีตัวตนในสังคม เพราะฤทธิ์ยาเสพติดบางชนิดสามารถเปลี่ยนจากคนขี้อาย ไม่กล้าพูด เก็บเนื้อเก็บตัว ให้กลายเป็นคนกล้าพูด กล้าทำ กล้าแสดงออกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนได้
- สภาพครอบครัวที่ไม่อบอุ่น เช่น มีการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ผู้ใหญ่ในบ้านมีปากเสียงใช้ถ้อยคำหยาบคาย เด็กๆ ในครอบครัวเหล่านี้เกือบทั้งหมดไม่มีที่ระบายในสิ่งที่เขารู้สึกเกี่ยวกับครอบครัวของตนเอง จึงลงท้ายด้วยการหันไปพึ่งยาเสพติดเพื่อลืมปัญหา และทำให้รู้สึกได้รับความอบอุ่น
- การรักษาโรค บางครั้งยารักษาโรคที่ใช้รักษาอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ผู้ใช้เกิดอาการเสพติดได้ ถึงแม้จะไม่ต้องใช้ยานั้นในการรักษาโรคแล้วก็ตาม
- สภาพแวดล้อมรอบตัว ผู้เสพยาบางรายยอมติดยาเสพติดเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน หรือเขาอาจอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีผู้เสพยาอยู่ใกล้ชิดด้วย และมักจะชักชวนให้เสพยาด้วยกันบ่อยๆ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาด้านจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความวิตกกังวล ความไม่มั่นใจในบางอย่าง หรือมีปัญหาที่แก้ไม่ตก การได้พูดคุย ปรึกษากับคนใกล้ชิด คนในครอบครัว หรือเพื่อนสนิท น่าจะเป็นทางออกที่ดี
แต่หากรู้สึกว่า ไม่อยากให้ใครมารับรู้เรื่องดังกล่าวด้วย การปรึกษาจิตแพทย์เรื่องปัญหาความเครียด ภาวะทางอารมณ์ต่างๆ แม้กระทั่งสายด่วนสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต โทร. 1323 ก็เป็นทางออกที่ดี หรือหากอยากปรึกษาแพทย์ผ่านทางโทรศัพท์ หรือผ่านทางวีดีโอคอล ปัจจุบันก็มีหลายแห่งให้บริการเช่นกัน
ผลกระทบจากการติดยาเสพติด
ผลกระทบจากการติดยาเสพติดสามารถส่งผลกระทบได้หลักๆ 5 ด้าน ได้แก่
- ด้านร่างกาย ผู้เสพยาเสพติดจะมีสภาพร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงเป็นโรคร้ายมากกว่าปกติ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคปอดอักเสบ โรคซึมเศร้า การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ด้านพฤติกรรม และภาพลักษณ์ ผู้เสพยาจะมีภาพลักษณ์ ท่าทางที่เปลี่ยนไปในทางแย่ลง เช่น พูดจาไม่รู้เรื่อง อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ขอบตาดำคล้ำ มีกลิ่นตัว ผิวหนังหยาบกร้าน รูปร่างซูบผอมลง
- ด้านครอบครัว ความรุนแรงในครอบครัวสามารถเกิดขึ้นได้หากมีผู้เสพยาเป็นหนึ่งในสมาชิกที่อาศัยอยู่ร่วมกัน เพราะผู้เสพมักต้องการเงินไปซื้อยามาเสพเพิ่ม และมักจะขู่บังคับเอาเงินจากคนในครอบครัวก่อนเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ครอบครัวยังต้องเป็นฝ่ายรับภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้เสพยาที่ป่วยเป็นโรคร้ายจากยาเสพติดในภายหลังด้วย
- ด้านหน้าที่การงาน หากนายจ้างรู้ว่า มีพนักงานในองค์กรกำลังติดยาเสพติด ความเชื่อถือในตัวพนักงานคนนั้นย่อมหมดไป อีกทั้งการเสพยาในระหว่างทำงานยังเสี่ยงที่จะสร้างความเดือดร้อนต่อบริษัท ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้อีกด้วย สุดท้ายผู้เสพอาจต้องสูญเสียโอกาสทางการทำงานด้วยการถูกให้ออกจากงาน
- ด้านชุมชน ปัญหายาเสพติดสามารถส่งผลให้เกิดเหตุก่ออาชญากรรมในชุมชนได้ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ การจี้ ปล้น เพื่อที่ผู้เสพจะได้นำทรัพย์สินไปซื้อยาเสพติดมาเพิ่มต่อไป
จะเห็นได้ว่า การติดยาเสพติดนั้นส่งผลเสียมากมายต่อสังคมมากมายทุกด้าน ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้ในสิ่งแวดล้อมใกล้บ้านและครอบครัวของคุณ คุณจึงควรสังเกตพฤติกรรมคนรอบข้างและคนในชุมชน
หากพบว่า ใครเสี่ยงเป็นผู้เสพยาก็ควรแจ้งผู้ใหญ่ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาดำเนินการตรวจสอบต่อไปโดยในการตรวจสอบว่า มีการเสพยาเสพติดหรือไม่ จะมีการใช้ชุดทดสอบเฉพาะสำหรับตรวจหาสารเสพติดในร่างกาย
รูปแบบของชุดตรวจหาสารเสพติด
รูปแบบของชุดตรวจหาสารเสพติดที่นิยมใช้กันทั่วไปแบ่งออกได้ 2 รูปแบบ ได้แก่
- แบบแถบ (Strip) เป็นชุดตรวจที่ราคาถูก มีลักษณะเป็นแถบทดสอบขนาดยาวและแคบ ใช้ทดสอบผ่านการจุ่มลงไปในปัสสาวะของผู้ถูกตรวจ จากนั้นรอประมาณ 5 นาที เพื่ออ่านผลที่เป็นแถบทดสอบ
- แบบตลับ (Cassette) เป็นชุดตรวจที่มีราคาแพงกว่าแบบแถบ แต่จะคงทนแข็งแรงกว่า ใช้ทดสอบโดยการหยดน้ำปัสสาวะของผู้ถูกตรวจลงไปในตลับทดสอบ 3 หยด จากนั้นวางตลับไว้ในแนวราบ แล้วรอ 5 นาทีเพื่ออ่านผล บางคนมักเรียกชุดตรวจแบบนี้ว่า “ชุดตรวจแบบหยอด”
การตรวจหาสารเสพติดแต่ละประเภทด้วยชุดตรวจ เป็นการตรวจแบบเบื้องต้นเท่านั้น การตรวจหาสารเสพติดยังมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น น้ำหนักตัว ปริมาณ และความถี่ในการเสพยา
นอกจากนี้ระยะเวลาหลังจากเสพยังมีผลในการตรวจหาสารเสพติดด้วย เช่น ผู้เสพยาอี หากเสพเป็นประจำ จะสามารถตรวจพบสารได้ภายใน 2-6 วัน หลังเสพ ผู้เสพโคเคน สามารถตรวจพบสารได้ภายใน 1-4 วัน หลังเสพ
นอกจากการตรวจจากชุดตรวจแล้ว คุณยังสามารถสังเกตพฤติกรรมของผู้ที่น่าสงสัยว่า จะเป็นผู้เสพได้ว่า มีความใกล้เคียงกับพฤติกรรมผู้เสพยาหรือไม่ เช่น
- ง่วงซึม
- เก็บเนื้อเก็บตัว
- ตัวสั่น
- มีอาการคล้ายคนมึนเมาอยู่บ่อยๆ
- ก้าวร้าว อารมณ์ฉุนเฉียวมากกว่าปกติ
- พูดจาไม่รู้เรื่อง
- ที่แขนมีรอยแผลคล้ายถูกเข็มฉีดยา
- มีพฤติกรรมลักขโมย
- ใบหน้าหมองคล้ำ คล้ายคนพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ริมฝีปากดำคล้ำ
การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
หากตรวจสอบแล้วว่า บุคคลน่าสงสัยดังกล่าวเสพยาเสพติด และเป็นคนในครอบครัวของคุณเอง หรือเป็นคนใกล้ชิด ให้เข้าไปพูดคุยกับเขาด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์ อย่าตะคอก หรือขึ้นเสียงให้ผู้เสพรู้สึกว่า เขาเป็นคนผิด หรือกำลังทำผิดอย่างร้ายแรง
เพราะการตัดสินใจเลิกยาเสพติดให้สำเร็จได้ จะต้องมีแรงจูงใจมาจากตัวผู้เสพเองด้วย หากผู้เสพตัดสินใจว่า จะเลิกเสพยาอย่างแน่นอน แนะนำให้ญาติ หรือผู้ใกล้ชิดนำตัวผู้เสพไปที่สถานพยาบาล หรือสถานบำบัดยาเสพติด เพื่อเข้าสู่กระบวนการบำบัดต่อไป
ขั้นตอนการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
- ขั้นตอนเตรียมการ (Pre-admission) เป็นขั้นตอนยื่นเอกสารขอรับการบำบัด คัดกรองประวัติผู้เสพ รวมถึงประเมินปัญหาทางจิตเวช และบุคลิกภาพของผู้เสพ ตรวจถึงตรวจร่างกาย เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ชั่งน้ำหนัก
- ขั้นตอนถอนพิษยา (Detoxification) เป็นขั้นตอนที่เริ่มทำการบำบัดร่างกายผู้เสพที่ยังคงอยู่ภายใต้อาการติดยาอยู่ให้บรรเทาอาการอยากยาน้อยลง และแพทย์อาจจ่ายยาบางตัวเพื่อทดแทนยาเสพติดที่ใช้เสพประจำ เพื่อไม่ให้การถอนพิษยาหักดิบหนักจนเกินไปการบำบัดในขั้นตอนนี้จะแบ่งเป็นการบำบัดผู้ป่วยในคือ มีการพักค้างคืนที่สถานพยาบาลเพื่อติดตามอาการถอนพิษยา และอีกแบบคือ การบำบัดผู้ป่วยนอกคือ ให้ผู้บำบัดสามารถกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้ และมาบำบัดต่อตามนัดกับแพทย์เป็นครั้งๆ ไป
- ขั้นตอนการฟื้นฟูสมรรถภาพ (Rehabillitation) เป็นการบำบัดหลังจากผู้เสพมีอาการอยากเสพยาน้อยลง ทางสถานบำบัดจึงจะเริ่มกระบวนการบำบัดเพื่อปรับบุคลิกภาพผู้เสพให้สามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ตามปกติ มีการทำกิจกรรมเพื่อบำบัดจิตใจ และฝึกให้ควบคุมอารมณ์ รับมือกับสถานการณ์กับปัญหาต่างๆ ได้
- ขั้นตอนการติดตามดูแล (After-Care) เป็นขั้นตอนที่ผู้เสพยาจะได้รับอิสระมากขึ้น โดยอาจกลับไปพักที่บ้านได้หากไม่มีแนวโน้มจะกลับไปติดยาอีกครั้ง และทางสถานบำบัดจะโทรมาให้คำแนะนำ และสอบถามอาการเป็นระยะๆ บางรายอาจมีการขอตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาสารเสพติดอีกครั้งด้วยหรือหากยังไม่สามารถกลับบ้านได้ ทางสถานบำบัดก็จะเปิดโอกาสให้ทางญาติเข้ามาเยี่ยมเยียนเพื่อพูดคุยสอบถามอาการได้
อาการลงแดง หรืออาการถอนยาเป็นอย่างไร
ระหว่างกระบวนการบำบัด ผู้เสพอาจต้องเผชิญกับอาการลงแดง หรืออาการถอนยา ซึ่งเป็นอาการแสดงของร่างกายเมื่อไม่ได้เสพยาเสพติดอย่างที่เคยเสพเป็นประจำ ซึ่งเป็นอาการที่ทุกข์ทรมานมาก เช่น
- มีไข้
- คลื่นไส้
- ปวดท้อง
- อุจจาระเป็นเลือด
- ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
- นอนไม่หลับ
- หงุดหงิดง่าย
- อารมณ์แปรปรวน
หากผู้เสพรู้สึกทรมานกับอาการลงแดงจนทนไม่ไหว ก็ให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล หรือสถานบำบัดโดยทันที
ผู้เสพยาที่ตัดสินใจบำบัดรักษาด้วยวิธีหักดิบอย่างผิดวิธี หรือเคยเสพยาในปริมาณมากมาก่อนมีโอกาสเสียชีวิตจากอาการลงแดงได้ ดังนั้นการบำบัดเพื่อรักษาผู้ติดยาเสพติดจึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ และสถานบำบัดอย่างใกล้ชิด
เคล็ดลับสำหรับเลิกยาเสพติด
หากตัดสินใจแล้วว่า ต้องการจะเข้ารับการบำบัดเพื่อเลิกเสพยาเสพติด คุณควรจัดการกับอุปสรรครอบตัวที่อาจเป็นปัจจัยทำให้กลับไปเสพยาอีกครั้งได้ เช่น
- บอกเพื่อนๆ ว่า คุณกำลังเลิกเสพยา เพื่อให้พวกเขารับรู้และสนับสนุนการเลิกยาเสพติดของคุณ แต่หากกลุ่มเพื่อนเหล่านั้น คือ ตัวการที่ทำให้คุณกลายเป็นผู้เสพยา คุณก็อาจต้องเลิกคบหากับพวกเขาแล้วมองหาเพื่อนใหม่แทน
- บอกคนใกล้ชิด และคนในครอบครัว เพื่อให้พวกเขาเตรียมพร้อมกับอาการขาดยา และพฤติกรรมของคุณที่จะเปลี่ยนไประหว่างเข้ารับการบำบัด หรือหากคุณต้องการความช่วยเหลือในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเสพยา พวกเขาจะได้เตรียมตัวเข้าช่วยเหลือได้ทันเวลา
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเสพยา เช่น การดื่มสังสรรค์ การจัดงานปาร์ตี้ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมของมึนเมา และการเสพยาของวัยรุ่น หรือหากถูกชักชวนให้เสพยาจริงๆ ให้คุณติดต่อผู้ที่สามารถช่วยเหลือคุณได้ เพื่อให้เขาพาคุณออกจากสถานการณ์นั้นๆ
นอกจากตัวผู้เสพเองที่จะต้องมีจิตใจเข้มแข็ง ความอดทน มุ่งมั่น ในการปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรับการบำบัดยาเสพติดแล้ว ครอบครัว และคนใกล้ชิดผู้เสพเองก็ต้องมีการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน ไม่มีใครรู้สึกเสียใจ ผิดหวัง หรือรู้สึกโกรธในระหว่างอยู่ในกระบวนการต่อไปนี้
เนื่องจากคนใกล้ชิดจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยบำบัดยาเสพติดด้วย เริ่มตั้งแต่การเข้าใจในสาเหตุและพฤติกรรมของผู้เสพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้อง เข้าใจว่า “การเลิกยาไม่ใช่เรื่องง่าย”
คนใกล้ชิดควรให้กำลังใจผู้บำบัดอย่างสม่ำเสมอ เป็นผู้รับฟัง เป็นที่ปรึกษาที่ดี ให้ความใส่ใจ และไม่ตำหนิ ไม่ต่อว่าต่อขานใดๆ หากผู้เข้ารับการบำบัดมีอาการอยากยา ท้อแท้ อยากล้มเลิก และควรชื่นชมที่ผู้บำบัดที่มีความพยายามในการเลิกยาเสพติด
การเลิกยาเสพติดไม่ใช่เรื่องง่ายก็จริง แต่หากผู้เสพมีความมุ่งมั่น อดทน มีจิตใจเข้มแข็ง และได้รับความเข้าอกเข้าใจ กำลังใจจากคนใกล้ชิด การบำบัดเพื่อเลิกยาเสพติดก็สามารถประสบความสำเร็จได้ เพื่อให้คุณได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ.พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล