นิยามของโรคงูสวัดที่ใครหลายคนเคยได้ยินได้ฟังกันมาก็คือ โรคที่มีผื่นแดงขึ้นรอบตัว และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผื่นซึ่งโอบรอบลำตัวสองด้านมาชนกัน ผู้ป่วยก็จะเสียชีวิตลง เรียกว่า เป็นโรคที่น่ากลัวไม่น้อย
จากอาการของโรคด้านบน ถือเป็นความเข้าใจของโรคงูสวัดที่ผิดไปหลายอย่าง วันนี้เรามาดูพร้อมๆ กันว่า โรคงูสวัดคืออะไร มีรายละเอียดการรักษา และป้องกันตนเองอย่างไรบ้าง
สารบัญ
นิยามของโรคงูสวัด
โรคงูสวัด (Shingles) คือ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus: VZV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส
เชื้อไวรัสตัวนี้จะซ่อนตัวอยู่ในปมประสาทของผู้ป่วยเมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เมื่อผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง มีโรคประจำตัว ร่างกายเจ็บป่วยง่าย เชื้อไวรัสชนิดนี้ก็จะออกมาก่อโรคงูสวัดขึ้น
ดังนั้นผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 50 ปีจึงเป็นกลุ่มผู้เสี่ยงเป็นโรคงูสวัดได้มากที่สุด รวมไปถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เช่น ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง หรือโรคมะเร็ง
โดยสรุปคือ โรคงูสวัดจะเกิดขึ้นหลังจากคุณเคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาแล้ว หรือเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสเรียบร้อยแล้ว แต่ภูมิคุ้มกันร่างกายเกิดอ่อนแอขึ้นมาอีกครั้ง หรือสุขภาพไม่แข็งแรง จึงทำให้เชื้อที่ทำให้เกิดโรคกลับมาแพร่กระจายจนเกิดเป็นโรคงูสวัดขึ้นมานั่นเอง
ผู้เสี่ยงเป็นโรคงูสวัด
อายุที่มากขึ้น ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงมากที่สุดที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ มักจะเป็นปัญหาสุขภาพ หรือโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น
- โรคมะเร็ง รวมถึงขั้นตอนการรักษาโรคมะเร็งอย่างการทำเคมีบำบัด และรังสีรักษา ซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง
- ผู้ป่วยโรคปอด หรือไตเรื้อรัง
- ผู้ที่เคยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
- ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวี
- ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
อาการของโรคงูสวัด
อาการของโรคงูสวัดในผู้ป่วยแต่ละช่วงวัยมักไม่แตกต่างกันมากนัก โดยลำดับอาการจะมีดังต่อไปนี้
อาการระยะที่ 1
ผู้ป่วยจะมีอาการชา ปวดเนื้อตัวบริเวณบริเวณหนึ่ง รู้สึกแสบผิวเหมือนโดนไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก ร่วมกับมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปวดศีรษะ มีไข้
จากนั้นผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นแดงขึ้นตามตัว โดยลักษณะผื่นอาจเป็นจุดเล็กๆ หรืออาจเป็นแถบผื่นกว้าง หรือยาว ร่วมกับมีอาการเจ็บแปลบบริเวณนั้นๆ ซึ่งบริเวณที่ผื่นขึ้นนั้นจะเป็นบริเวณปมประสาทที่มีเชื้อไวรัสซ่อนตัวอยู่
อาการระยะที่ 2
ผื่นแดงตามตัวจะเริ่มเปลี่ยนเป็นตุ่มพุพอง มีหนองอยู่ข้างใน ลักษณะคล้ายตุ่มน้ำของโรคอีสุกอีใส ซึ่งทำให้เกิดความระคายเคืองด้วย
โดยตุ่มพุพองนี้จะลุกลามไปทั่วบริเวณที่มีผื่นแดงขึ้น แต่จะไม่กระจายไปที่ร่างกายอีกซีกซึ่งไม่เคยมีผื่นขึ้น
อาการระยะที่ 3
ตุ่มพุพองจะแตกออก หนองข้างในจะไหลออกมา จากนั้นแผลจะแห้งกลายเป็นแผ่นตกสะเก็ดอยู่ตามตัว จากนั้นจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่อาการแสบระคายเคืองผิวจะยังอยู่กับผู้ป่วยเป็นเดือน หรือเป็นปี
อย่างไรก็ตาม หากอาการของโรคงูสวัดอยู่ในระยะที่ 3 แล้ว ความเสี่ยงที่แผลจะแพร่เชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่นจะน้อยลง
สำหรับบริเวณที่มักเกิดผื่นโรคงูสวัด ได้แก่ ใบหน้า เช่น ดวงตา หู รอบจมูก บริเวณเอว สะโพก ก้อน และแผ่นหลัง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสที่ซ่อนอยู่ในปมประสาท ดังนั้นหากเกิดผื่นงูสวัดบริเวณใดของร่างกาย บริเวณนั้นก็เสี่ยงที่จะเกิดอาการร้ายแรงเสียหายตามมาได้มากกว่าปกติ เช่น
- ผื่นงูสวัดขึ้นบริเวณดวงตา เป็นอันตรายต่อจอประสาทตา ผิวเปลือกตา และเสี่ยงตาบอดได้
- ผื่นงูสวัดขึ้นบริเวณหู เป็นอันตรายต่อระบบประสาทการได้ยิน ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าใช้งานได้ไม่เหมือนเดิม เสี่ยงสูญเสียการได้ยินไปบางส่วน หรือทั้งหมด
- ผื่นงูสวัดขึ้นบริเวณปาก หรือในปาก จะทำให้รู้สึกเจ็บแสบอย่างมาก ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง ประสาทการรับรสเปลี่ยนไป
- ผื่นงูสวัดขึ้นที่ผม ทำให้หวีผมยากเพราะจะแสบแผลผื่น อาจทำให้หนังศีรษะบริเวณนั้นล้านไม่มีผมขึ้นอีก
ส่วนกรณีแผลงูสวัดขึ้นที่แผ่นหลัง สะโพก ก้น หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วผื่นจะลุกลามไปที่ร่างกายอีกซีกหรือไม่ เช่น จากก้นซ้ายลุกลามไปก้นขวา
คำตอบคือ โดยปกติแล้ว ผื่นงูสวัดจะขึ้นที่ร่างกายซีกใดซีกหนึ่งเท่านั้น และจะไม่ลุกลามไปที่ร่างกายอีกซีก นี่จึงเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า เป็นงูสวัดรอบเอวแล้วจะตายหรือไม่? ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงูสวัดพันรอบเอวแล้วจะตายนั้น อาจมาจากผู้ป่วยที่บังเอิญเป็นโรคงูสวัดที่ทั้ง 2 ซีกของร่างกายจนเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงจนเสียชีวิต แต่นั่นก็เป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก
ภาวะแทรกซ้อนของโรคงูสวัด
ผื่นโรคงูสวัดไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายบริเวณชั้นผิวเท่านั้น แต่ยังเข้าไปสร้างความเสียหายภายในระบบร่างกายด้วย เช่น
- ติดเชื้อแบคทีเรีย
- ปอดอักเสบ
- ตับอักเสบ
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- เกิดอัมพาตบริเวณใบหน้า
- หลับตาได้ไม่สนิท
ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคงูสวัดนั้น โดยปกติอาการของโรคจะไม่รุนแรงมากนัก และไม่ส่งผลต่อสุขภาพทารกในครรภ์
แต่ในหญิงตั้งครรภ์รายที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสและไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันมาก่อน หากได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปในร่างกาย ก็จะเป็นโรคอีสุกอีใสแทน ซึ่งจะมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงหลายอย่างต่อทั้งแม่เด็ก และทารก เช่น
- ทารกเป็นโรคอีสุกอีใสแต่กำเนิด ซึ่งส่งผลต่อพัฒนการของร่างกายหลายอย่าง
- ทารกเป็นโรคอีสุกอีใสชนิดรุนแรงซึ่งเสี่ยงเสียชีวิตได้
- ทารกต้องคลอดก่อนกำหนด
- มารดามีอาการแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ มีอาการท็อกซิกซินโดรม
หากกำลังวางแผนมีบุตร หรือเตรียมความพร้อมมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการป้องกันโรคงูสวัดในขณะตั้งครรภ์ไว้ก่อน
หากคุณทราบว่า ตั้งครรภ์อย่างแน่นอนแล้ว สิ่งแรกที่ควรรีบทำคือ ไปฝากครรภ์กับแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านก่อน เพื่อให้ครรภ์อยู่ในความดูแลของแพทย์จนกว่าจะครบกำหนดคลอด
ระหว่างตั้งครรภ์หากคุณแม่เกิดเป็นโรคงูสวัดขึ้นมาต้องรีบไปพบแพทย์เ พื่อขอคำแนะนำสำหรับการดูแลตนเอง หรือวิธีรักษาอย่างถูกต้อง
การรักษาโรคงูสวัด
การรักษาโรคงูสวัดหลักๆ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ใช้ยารักษาร่วมกับดูแลตนเองอย่างเหมาะสม
โดยตัวยารักษาโรคงูสวัดมักจะเป็นยารักษาอาการที่เกิดขึ้นในโรคนี้ เช่น
- ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยานาพรอกเซน (Naproxen)
- ครีมทาสำหรับลดผื่นคัน แก้อาการระคายเคือง เช่น ครีมแคปไซซีน (Capsaicin Cream)
- ยาต้านไวรัส เพื่อลดการกระจายตัวของผื่นผุพอง เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir)
วิธีดูแลแผลผื่นจากโรคงูสวัด
วิธีดูแลแผลผื่นจากโรคงูสวัดนั้น มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน และสามารถทำได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีดังต่อไปนี้
- ทำความสะอาดแผลให้แห้ง ไม่ปล่อยให้แผลอับชื้นจนเสี่ยงติดเชื้อโรค
- ไม่เกาะ หรือแกะแผล เพราะจะยิ่งทำให้เจ็บแผลกว่าเดิม
- ประคบน้ำเกลือบริเวณแผลเพื่อให้แผลแห้งเร็วขึ้น
- รับประทานยาและทายาตามที่แพทย์จ่ายให้อย่างเคร่งครัด
- ประคบเย็นบริเวณแผลผื่นเพื่อบรรเทาอาการปวด และอักเสบ
- พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานช้าลงกว่าเดิม เพราะในช่วงนี้ทั้งเซลล์เม็ดเลือดข้าว และระบบภูมิคุ้มกันจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ร่างกายขับเชื้อไวรัสออกมา
- สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ไม่คับแน่นเกินไป รวมถึงทำจากผ้าใยธรรมชาติ เพื่อลดความระคายเคืองผิว
และอีกสิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยโรคงูสวัดต้องระมัดระวังคือ ต้องปิดแผลผื่นให้มิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้คนรอบตัวมาสัมผัสแผลจนเสี่ยงได้รับเชื้อไวรัสเข้าร่างกายไปด้วย
การป้องกันโรคงูสวัด
- การป้องกันโรคงูสวัดที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส เพราะสองโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสแล้วแต่ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคงูสวัดก็ยังมีอยู่ แต่โอกาสเป็นจะลดลงถึงประมาณ 50%
- ปัจจุบันมีการคิดค้นวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดออกมาแล้ว แต่วัคซีนนี้มักถูกแนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอมากกว่า อีกทั้งผู้ที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสแล้ว ก็ยังไม่ควรรับวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดด้วย จนกว่าจะได้รับการยินยอมจากแพทย์ก่อน
- พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เหมาะสมก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคงูสวัดได้ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการเกิดภาวะเครียด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ
- หากสังเกตว่า ตนเองมีอาการคล้ายกับโรคงูสวัด ร่วมกับมีผื่นประหลาดขึ้นตามตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อขอรับการวินิจฉัยทันที จะได้รีบหาทางรักษาโรคนี้ได้ทันเวลา ก่อนที่อาการจะลุกลามรุนแรง
- ไม่แนะนำให้นำสารต่างๆ เช่น ยาสีฟัน แป้ง มาทาผื่น หรือประคบผื่น