สรุปการรีวิว
ปิด
ปิด
- เราพยายามมีน้องกันมามากกว่า 11 ปีแล้วค่ะ ทั้งวิธีธรรมชาติ วิธีทำ IUI ก็ยังไม่สำเร็จเสียที จนเริ่มท้อแล้ว แต่ในที่สุดก็ลองพยายามสู้ใหม่โดยจากการเสิร์ชดูข้อมูลวิธีอื่นๆ เพิ่มเติม เราเลยตัดสินใจจะใช้วิธีทำ ICSI กัน
- เบื้องต้นคุณหมอตรวจพบจำนวนไข่ตั้งต้นค่อนข้างน้อย ส่วนฝั่งสามี ผลตรวจออกมาพบว่าตัวสเปิร์มเคลื่อนไหวค่อนข้างช้าค่ะ โดยสรุปคือ เราทั้งคู่จะต้องกลับดูแลและบำรุงสุขภาพกันใหม่ก่อน
- การกระตุ้นไข่จะใช้เวลาทั้งหมด 14 วัน ในช่วง 6 วันแรกคุณหมอจะให้ยาแบบฉีดในปริมาณ 300 IU กับเราค่ะ แต่หลังจากกลับมาอัลตราซาวด์พบว่าไข่แต่ละใบมันโตไม่เท่ากัน เลยเพิ่มปริมาณยามากขึ้นค่ะ
- หลังจากเก็บไข่และนำไปผสมกับเชื้อสเปิร์มแล้ว เราได้ตัวอ่อนมาทั้งหมด 7 ตัว ส่งตรวจโครโมโซมไป 3 ตัว ได้ตัวปกติมา 1 ตัวค่ะ แต่เพราะโควิดเลยไม่ได้มาใส่ตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูกในทันที แต่สุดท้ายเราก็ไม่อยากรอแล้ว เลยติดต่อคุณหมอกลับมาเพื่อขอใส่น้องเข้าโพรงมดลูกเลย
- หลังจากใส่ตัวอ่อนไปแล้ว ก็ลองตรวจการตั้งครรภ์เอง 2 ครั้งค่ะ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ จนเมื่อมาตรวจเลือดเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์กับคุณหมออีกครั้ง ผลก็ออกมาว่าเราว่าเราท้องค่ะ!! ดีใจมากๆ เลย
- รีวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ #HDreview ได้รับการสปอนเซอร์จากทาง HDmall.co.th และ Prime Fertility Clinic
- ดูรายละเอียดโปรแกรมทั้งหมดจาก Prime Fertility Clinic บน HDmall.co.th
- สอบถามแอดมินเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจได้ที่ไลน์ @HDcoth
เลือกหัวข้อที่สนใจได้ที่นี่
- ทำ ICSI ที่ Prime Fertility Clinic
- ตรวจสุขภาพอย่างละเอียดก่อนเริ่มกระบวนการทำ ICSI
- ขั้นตอนการทำ ICSI ที่ Prime Fertility Clinic
- ขั้นตอนที่ 1 รับยากระตุ้นไข่
- ขั้นตอนที่ 2 เก็บไข่
- ขั้นตอนที่ 3 ผสมเซลล์ไข่กับเชื้อสเปิร์มในห้องปฏิบัติการ
- ขั้นตอนที่ 4 ตรวจโครโมโซมตัวอ่อน
- ขั้นตอนที่ 5 ย้ายตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูก
- ขั้นตอนที่ 6 ตรวจยืนยันการตั้งครรภ์
- ความประทับใจจากการทำ ICSI ที่ Prime Fertility Clinic
- บทความที่ HDmall.co.th แนะนำ
หลังจากเราพยายามมีน้องด้วยวิธีธรรมชาติและนับวันไข่ตกมาแล้วหลายปี จนถึงตอนนี้เราก็ยังมีน้องไม่สำเร็จเสียทีค่ะ เราเลยตัดสินใจไปตรวจสุขภาพกับคุณหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เผื่อจะรู้ว่าทำไมน้องถึงไม่มาทั้งๆ ที่เราก็นับวันไข่ตกอย่างรอบคอบดีแล้ว
คุณหมอได้แนะนำให้ฉีดสีดูท่อนำไข่สักครั้ง ผลตรวจออกมาปรากฎว่า ท่อรังไข่ข้างหนึ่งตันค่ะ คุณหมอจึงแนะนำให้ลองมีน้องผ่านการฉีดเชื้อสเปิร์มเข้าโพรงมดลูกหรือการทำ IUI ดู แต่ทำไปได้ 2 ครั้ง ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดีค่ะ
จนเวลาล่วงเลยมาเกือบ 5 ปีหลังจากทำ IUI ระหว่างนั้นเราลองกลับไปพยายามมีน้องด้วยวิธีธรรมชาติอีกครั้ง ก็ยังไม่สำเร็จค่ะ จากระยะเวลาที่มันยาวนานมากขนาดนี้ เราสองสามีภรรยาก็เริ่มท้อแล้วค่ะ ความคิดเรื่องจะการมีครอบครัวแบบพ่อแม่ลูกเริ่มไม่เหมือนเดิม เราเริ่มกลับมาคุยกันว่า งั้นก็ไม่มีลูกก็ได้ ก็อยู่กัน 2 คนไปเรื่อยๆ
จนเมื่อเวลาผ่านไปอีก ความรู้สึกอยากมีลูกก็กลับมาอีกครั้งค่ะ ยิ่งเราเห็นคนอื่นมีลูกได้ เราก็คิดในใจว่างั้นเราก็ต้องมีได้สิ นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรา 2 คนตัดสินใจกลับมาพยายามมีลูกกันอีกครั้งค่ะ โดยครั้งนี้เรามีการเสิร์ชดูข้อมูลเพิ่มเติมกัน และตกลงกันว่า เราจะทำเด็กหลอดแก้วด้วยวิธี ICSI กัน!
ทำ ICSI ที่ Prime Fertility Clinic
เราได้รู้จัก Prime Fertility Clinic ผ่านทางเพจบน Facebook ค่ะ ก็เลยลองเข้าไปรับชมรีวิว รายละเอียดของคลินิก ตำแหน่งที่ตั้ง การให้บริการว่าน่าเชื่อถือและมีแนวโน้มความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้วแค่ไหน
หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเดินทางมาปรึกษากับทางคลินิกโดยตรงค่ะ โดยหลังจากลองพูดคุยปรึกษากับคุณหมอ
คุณหมอได้อธิบายเกี่ยวกับกระบวนการทำ ICSI ให้เราฟังอย่างละเอียดแล้ว เราทั้งคู่ก็กลับไปพูดคุยตัดสินใจกันและตกลงที่จะทำ ICSI ที่นี่ค่ะ โดยคุณหมอผู้ดูแลเราคือ คุณหมอพูนเกียรติ ปัญญามิตร ค่ะ
ตรวจสุขภาพอย่างละเอียดก่อนเริ่มกระบวนการทำ ICSI
ถึงแม้เราจะตกลงทำ ICSI กับคุณหมอ คุณหมอก็ขอตรวจสุขภาพเราทั้งคู่เพื่อให้แน่ใจก่อนว่า ร่างกายของเรามีความพร้อมที่จะทำ ICSI ได้จริงๆ โดยมีทั้งการซักประวัติ การตรวจเลือด และตรวจอัลตราซาวด์สำหรับผู้หญิงค่ะ
เบื้องต้นคุณหมอตรวจพบจำนวนไข่ตั้งต้นที่จะใช้สำหรับผสมสำหรับเชื้อสเปิร์มค่อนข้างน้อย โดยคาดเดาจากสายตาแล้ว รังไข่ข้างซ้ายเรามีไข่แค่ 3 ใบ และข้างขวา 4 ใบเท่านั้น ซึ่งถือว่าจำนวนยังน้อยอยู่ค่ะ ส่วนค่าฮอร์โมนที่ตรวจจากเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติดี
ส่วนสามีเราก็มีการส่งตรวจตัวอย่างเชื้อสเปิร์มด้วย โดยผลตรวจออกมาพบว่าตัวสเปิร์มเคลื่อนไหวค่อนข้างช้าค่ะ
โดยสรุปคือ เราทั้งคู่จะต้องกลับดูแลและบำรุงสุขภาพกันใหม่ก่อน จึงจะกลับมาเข้าสู่ขั้นตอนการทำ ICSI ได้ คุณหมอจะจ่ายยาและวิตามินเสริม เช่น ธาตุสังกะสี (Zinc) กรดโฟลิก (Folic Acid) แอสต้าแซนธิน Astaxanthin ให้พวกเรากลับไปกินค่ะ
ขั้นตอนการทำ ICSI ที่ Prime Fertility Clinic
หลังจากได้รับยาและวิตามินบำรุงกันไป เราก็มุ่งมั่นดูแลสุขภาพกันอย่างแข็งขันกันเลยล่ะค่ะ หลังจากนั้นเราก็กลับมาตรวจสุขภาพกันอีกครั้ง สเปิร์มของสามีเราก็มีคุณภาพดีขึ้นและอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากสำหรับนำไปผสมกับเซลล์ไข่ ส่วนตัวเราซึ่งเป็นฝ่ายหญิง ผลตรวจสุขภาพที่ออกมาก็พร้อมต่อการทำ ICSI เช่นกันค่ะ
งั้นเราก็มาเริ่มต้นการทำเด็กหลอดแก้วกันเลย
ขั้นตอนที่ 1 รับยากระตุ้นไข่
ขั้นตอนการใช้ยากระตุ้นไข่จะใช้เวลาทั้งหมด 14 วันค่ะ ระหว่างนี้คุณหมอจะมีการอัลตราซาวด์จำนวนไข่อยู่เรื่อยๆ
โดยในวันที่ 1-6 คุณหมอให้ยาในปริมาณ 300 IU กับเราค่ะ โดนจะให้เรากลับไปฉีดเองที่บ้านนะคะ และคุณหมอจะจ่ายยากันไข่ตกก่อนที่เราจะเก็บไข่กันให้เรากลับไปใช้ด้วย
หลังจากฉีดยาไปเรื่อยๆ พอเรากลับมาอัลตราซาวด์กัน คุณหมอบอกว่าไข่แต่ละใบมันโตไม่เท่ากัน มีเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ไม่ค่อยสม่ำเสมอเลย คุณหมอเลยขอเพิ่มปริมาณยามากขึ้นในวันที่ 7-14 เป็น 400 IU ค่ะ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างเยอะกว่าคนปกติทั่วไป
ขั้นตอนที่ 2 เก็บไข่
เมื่อคุณหมอตรวจดูจำนวนไข่และพิจารณาแล้วว่า ไข่มีจำนวนและขนาดที่พร้อมต่อการเก็บออกมาจากร่างกายเราแล้ว เราก็มาเริ่มเข้าสู่กระบวนการเก็บไข่กัน โดยไม่ได้เก็บในวันที่คุณหมอตรวจเช็กจำนวนไข่ในทันทีนะคะ แต่คุณหมอจะให้กลับเข้ามาอีกรอบค่ะ
ข้อควรปฏิบัติตามคำแนะนำของทางคลินิกในวันที่เก็บไข่ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้งดการแต่งหน้า ห้ามฉีดน้ำหอมมาค่ะ
พอมาถึงที่ Prime Fertility Clinic เจ้าหน้าที่ก็พาไปรอในห้องพักฟื้น จากนั้นจะทวนข้อมูล ชื่อและนามสกุลของเราอีกครั้งแล้ววิสัญญีแพทย์เข้ามาทำหน้าที่ให้ยานอนหลับกับเราในระหว่างอยู่ในห้องเก็บไข่ค่ะ
วิสัญญีแพทย์น่ารักมากๆ ค่ะ คุณหมอเข้ามาคุยกับเราก่อนว่า เดี๋ยวเราจะหลับไปตลอดกระบวนการที่คุณหมอเก็บไข่เลยนะ ระหว่างนั้นจะไม่รู้สึกตัวเลย
และนอกจากการเก็บไข่ คุณหมอแนะนำว่าไหนๆ ก็หลับแล้ว ควรตรวจส่องกล้องดูความเรียบร้อยของโพรงมดลูกไปด้วยจะได้ไม่ต้องกลับมาวางยานอนหลับตรวจกันหลายๆ รอบ
การส่องกล้องดูโพรงมดลูกจะเป็นการตรวจเช็กความเรียบร้อยว่า โพรงมดลูกเราพร้อมต่อการฝังตัวอ่อนที่เกิดจากการผสมระหว่างเซลล์ไข่กับเชื้อสเปิร์มหรือยังค่ะ
พอเราตื่นขึ้นมา คุณหมอพูนเกียรติก็แจ้งว่า เก็บไข่ไปได้ทั้งหมด 15 ใบค่ะ ส่วนการส่องกล้อง คุณหมอตรวจเจอติ่งเนื้อที่โพรงมดลูก ซึ่งคุณหมอได้นำออกให้แล้วในระหว่างที่เราหลับ มันจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฝังตัวอ่อนทีหลังค่ะ
ขั้นตอนที่ 3 ผสมเซลล์ไข่กับเชื้อสเปิร์มในห้องปฏิบัติการ
สำหรับไข่ทั้ง 15 ใบที่คุณหมอเก็บได้ มีไข่ที่มีคุณภาพอยู่ทั้งหมด 12 ใบค่ะ หลังจากที่สามีเราไปเก็บเชื้อสเปิร์มมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็นำเชื้อสเปิร์มกับไข่ของเราไปปฏิสนธิกันในห้องแลป
ระหว่างนี้เราทั้งคู่ก็กลับไปรอติดตามผลที่บ้านได้ จะมีเจ้าหน้าที่โทรติดต่อกลับมาแจ้งความคืบหน้าเป็นระยะๆ ค่ะ
ในวันที่ 1 ของการปฏิสนธิ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจากการปฏิสนธิวันนี้ ไข่เหลือ 11 ใบนะ และได้ตัวอ่อนแล้ว หลังจากนั้นก็มีโทรกลับมาแจ้งเรื่อยๆ เลยค่ะ
เรากับสามีนี่ลุ้นกับสุดๆ เลยว่าแล้วท้ายที่สุดเราจะได้ตัวอ่อนสักกี่ตัว แล้วมีกี่ตัวที่เขาแข็งแรงพอจะเติบโตเป็นลูกของเราได้
จนเข้าสู่วันที่ 5 เจ้าหน้าที่โทรแจ้งว่า ตัวอ่อนมีปัญหาโตช้า แต่อยากจะขอเลี้ยงไปจนถึงวันพรุ่งนี้ก่อน เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้าง
และในวันที่ 6 เจ้าหน้าที่ก็โทรมาแจ้งผลว่า เราได้ตัวอ่อนคุณภาพดีทั้งหมด 7 ตัวค่ะ
ขั้นตอนที่ 4 ตรวจโครโมโซมตัวอ่อน
เมื่อรู้จำนวนตัวอ่อนแล้ว เรารีบขอให้ทางคลินิกส่งตรวจโครโมโซมตัวอ่อนต่อเลยค่ะ เพราะด้วยสาเหตุที่ว่าเราอายุมากแล้ว คุณหมอบอกว่ามีความเสี่ยงเรื่องโครโมโซมผิดปกติมากขึ้น โดยส่งตรวจก่อน 3 ตัว อีก 4 ตัวให้แช่แข็งไว้ก่อน
หลังจากส่งตรวจ ทางเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า ใน 3 ตัวที่ส่งตรวจ มี 1 ตัวที่ปกติ ทางคลินิกมีการรายงานผลตรวจสำหรับตัวอ่อนที่ผิดปกติด้วยนะคะ แต่เราอยากโฟกัสที่น้องตัวที่ปกติมากกว่า และอยากจะขอลองใส่ตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูกเลย
เพราะในระหว่างรอผลตรวจโครโมโซมตัวอ่อน เราก็มีคุยกับสามีค่ะว่า อยากจะลองใส่ตัวอ่อนดูสักครั้งไปเลย จะได้เป็นการประเมินด้วยว่า เราทั้งคู่จะยังไปต่อหรือพอแค่นี้สำหรับแผนการมีน้อง
แต่ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 สุดท้ายเราก็ยังไม่ได้ใส่ตัวอ่อนในทันทีค่ะ เราให้ทางคลินิกแช่แข็งน้องเอาไว้ก่อนจนกว่าเราจะพร้อมเดินทางมาคลินิกอีกครั้ง ซึ่งก็กินเวลาอยู่หลายเดือนเลย
จนเราได้กลับมาคิดหนักเรื่องอายุอีกรอบ เรารู้สึกว่าเราไม่อยากรออีกแล้ว ถ้าผลัดเวลาไปมากกว่านี้มันอาจจะมีอุปสรรคอย่างอื่นเข้ามาจนทำให้เรามีน้องไม่สำเร็จอีกครั้ง คุณหมอก็เคยบอกว่าอายุเป็นตัวแปรสำคัญมากสำหรับการมีลูก และติ่งเนื้อที่เพิ่งเอาออกไปก็อาจจะกลับมาอีกก็ได้ ถ้าปล่อยเวลาไว้นานๆ
เราเลยตัดสินใจติดต่อไปที่คลินิกอีกครั้งเพื่อแจ้งขอย้ายตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูกค่ะ
ขั้นตอนที่ 5 ย้ายตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูก
การย้ายตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูกจะต้องมีการเตรียมมดลูกล่วงหน้าประมาณ 2 เดือนค่ะ เมื่อเราแจ้งไปว่าเราอยากจะขอย้ายตัวอ่อน คุณหมอก็ได้มีการจ่ายยาเพื่อเตรียมโพรงมดลูกให้พร้อมต่อการฝังตัวของตัวอ่อนก่อน
นอกจากนั้นเราก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพอย่างระมัดระวังมากๆ เลยค่ะ
ในวันที่ย้ายตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูก ค่อนข้างตื่นเต้นมากๆ ค่ะ แต่ยังดีที่สามีเราได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูกระบวนการย้ายตัวอ่อนพร้อมๆ กันด้วย ก็เลยอุ่นใจขึ้นมาหน่อย
ขั้นตอนแรกในการย้ายตัวอ่อน คุณหมอจะให้เรากลั้นปัสสาวะ ตอนนั้นจำได้ว่าอยากเข้าห้องน้ำมาก แต่พอคุณหมอเริ่มใส่ตัวอ่อน มันก็เปลี่ยนกลับมาเป็นความรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง ขาเราสั่นเลยค่ะ ปวดปัสสาวะก็ปวด แต่ตื่นเต้นมากกว่า 555+
ระหว่างใส่ตัวอ่อน ในห้องจะมีจอทีวีที่จะแสดงภาพให้เห็นตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์ดูดตัวอ่อนออกมาจากหลอดแก้ว แล้วนำส่งให้คุณหมอเพื่อนำมาวางไว้ในโพรงมดลูกเลยค่ะ
โดยตำแหน่งที่วาง คุณหมอก็จะนำน้องไปวางไว้ในจุดที่เหมาะสมต่อการฝังตัวมากที่สุด ตอนนั้นเราบอกเลยว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์จริงๆ ค่ะ มันเหมือนบอกว่าเราทำสำเร็จแล้วนะ กับการต่อสู้ที่ผ่านๆ มาเพื่อให้เขามาเติบโตในท้องของเรา
หลังจากคุณหมอใส่ตัวอ่อนเข้าไปแล้ว คุณหมอก็ย้ำเตือนว่า อย่าเครียด อย่ากังวล ให้ทำตัวสบายๆ เข้าไว้ อย่าไปโฟกัสว่ามีน้องอยู่ในท้องเรามากเกินไป
ในทางกลับกัน เราก็ควรจะกิน นอน พักผ่อนให้เพียงพอ จะดูซีรี่ส์ ดูละครก็ทำได้เลย เราเองก็อ่านข้อมูลเรื่องการดูแลตัวเองหลังใส่ตัวอ่อนมาค่ะ เราก็เลยพยายามอยู่เฉยๆ และไม่ไปโฟกัสเรื่องในจุดนั้นมากเกินไป
ขั้นตอนที่ 6 ตรวจยืนยันการตั้งครรภ์
หลังจากใส่ตัวอ่อนไปแล้ว เรายังต้องมาลุ้นกันอีกค่ะว่าน้องฝังตัวอยู่ในโพรงมดลูกเราจริงๆ ใช่มั้ย ถ้าน้องหลุด ก็แสดงว่าการใส่ตัวอ่อนรอบนั้นล้มเหลว
ตอนแรกเราพยายามจะไม่ตรวจค่ะ แต่หลังจากใส่ตัวอ่อนไป 5 วัน แฟนก็คะยั้นคะยอให้ตรวจ เลยลองดูค่ะ พอตรวจครั้งนึงก็เว้นไปอีก 2 วันแล้วก็ค่อยตรวจอีกครั้ง ซึ่งก็ขึ้น 2 ขีดทั้ง 2 ครั้งค่ะ
หลังจากนั้นก็มาตรวจย้ำอีกทีด้วยการตรวจเลือดกับคุณหมอ ก็ยังกลัวๆ อยู่นะ ยังไม่กล้าดีใจ 100% เพราะก่อนหน้านี้มันก็มีคนอื่นที่เขาตรวจแล้วเจอ 2 ขีดเพราะยาฮอร์โมนยังเหลืออยู่ในร่างกายเฉยๆ ไม่ได้ตั้งครรภ์ เลยอยากจะทำใจเผื่อไว้ก่อน
แต่สุดท้ายผลตรวจเลือดก็ออกมาว่า เราท้องค่ะ!! ดีใจมากๆ เลย สามีเราก็ดีใจมากๆ ตื่นเต้นจริงๆ เราใช้ชีวิตคู่กันมานานแล้ว พยายามมาเป็นสิบปีก็ไม่สำเร็จจนในวันนี้เราทำได้สำเร็จเสียที
ต้องขอบคุณทาง Prime Fertility Clinic ค่ะ ที่ช่วยสานฝันของเราให้เป็นจริงได้ ทุกคนเต็มที่กับเราในทุกขั้นตอนจริงๆ ไม่ว่าจะคุณหมอหรือเจ้าหน้าที่ ดีใจและขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ
ความประทับใจจากการทำ ICSI ที่ Prime Fertility Clinic
คุณหมอที่ Prime Fertility Clinic ใจดีกับเรามากค่ะ ไม่ว่าจะสงสัยอะไรก็สามารถถามได้เลย คุณหมอยินดีตอบเสมอจนเราไม่มีคำถามเหลือไว้ในใจเลยค่ะ และคุณหมอยังให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองดีอยู่เสมอด้วย
เจ้าหน้าที่ของ Prime ก็พูดจาสุภาพ บริการดี คอยดูแลเราอยู่ตลอดทุกครั้งที่กลับเข้ามาที่คลินิก สถานที่ภายในคลินิกก็สะอาดปลอดภัย ได้มาตรฐานค่ะ
เพราะเรามีน้องได้สำเร็จจากที่นี่ เราก็ขอแนะนำ Prime Fertility Clinic ให้เป็นทางเลือกกับคนอื่นๆ ที่กำลังพยายามมีน้องแต่ไม่สำเร็จเสียทีนะคะ ลองเข้ามาปรึกษากับคุณหมอก่อนได้
ถ้าแน่ใจว่าอยากจะทำเด็กหลอดแก้วที่นี่ สามารถจองคิวปรึกษาทำเด็กหลอดแก้วที่ Prime Fertility Clinic ผ่านทางเว็บไซต์ HDmall.co.th ได้นะคะ ราคาจะได้ส่วนลดกว่าราคาเต็มค่ะ สู้ๆ นะคะทุกคน
บทความที่ HDmall.co.th แนะนำ
- ทำ IVF และ ICSI แตกต่างกันหรือไม่? ดูแลตนเองอย่างไรให้ได้โอกาสสำเร็จสูง?
- ฝากไข่คืออะไร ขั้นตอนกับการเตรียมตัวพร้อมราคาและสถานที่ทำ
- รู้จักการทำเด็กหลอดแก้วด้วยเทคนิคพิเศษ ICSI หรืออิ๊กซี
- ICSI คืออะไร วิธีการทำงาน ข้อดี ข้อเสีย ข้อควรระวัง เหมาะกับใคร วิธีการดูแลตัวเองก่อนและหลัง
- เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของ IUI, IVF และ ICSI