สรุปการรีวิว
ปิด
ปิด
- ช่วงที่สถานการณ์โควิดแบบนี้ สภากาชาดก็ขาดเลือดมากกว่าช่วงปกติ เพราะคนไม่ค่อยอยากออกจากบ้าน เลือดในคลังก็ลดลงอยู่เรื่อยๆ ค่ะ
- ปกติเทนจะบริจาคเลือดที่สภากาชาดที่กรุงเทพค่ะ แต่ช่วงนี้เทน Work From Home อยู่ที่เชียงใหม่ แล้วพอครบกำหนดสามเดือนที่จะบริจาคเลือดอีกครั้ง สภากาชาดก็ส่งข้อความมาเตือน เทนก็เลยบริจาคเลือดที่นี่เลยค่ะ
- ที่เชียงใหม่ด้วยความที่ศูนย์บริจาคเลือดจะเล็กกว่า ก็จะมีคุณลุงที่น่ารักมากๆ คอยดูแล คอยบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ต้องไปจุดไหนต่อ
- หลังจากเสร็จภารกิจก็รับใบนัดสำหรับการบริจาคเลือดครั้งต่อไปแล้วก็กลับบ้านได้ค่ะ ใครที่อยู่เชียงใหม่แล้วไม่รู้ว่าจะบริจาคเลือดได้ที่ไหนเทนอยากให้ลองมาดูนะคะ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
- บางคนเพึ่งเคยบริจาคครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าลำดับขั้นตอนเป็นยังไง ก็จะเหวอๆ แต่ที่เชียงใหม่ศูนย์เล็ก เจ้าหน้าที่คอยดูแลให้คำแนะนำแบบใกล้ชิดได้ ไม่เขิน
- รีวิวนี้เป็นประสบการณ์ผู้ใช้จริง ไม่ได้รับสปอนเซอร์หรือสิทธิพิเศษ
- เปรียบเทียบราคาและโปรแกรมตรวจสุขภาพ
เทนบริจาคเป็นประจำอยู่แล้ว และยิ่งในช่วงที่สถานการณ์โควิดแบบนี้ สภากาชาดก็ขาดเลือดมากกว่าช่วงปกติ เพราะคนไม่ค่อยอยากออกจากบ้าน เลือดในคลังก็ลดลงอยู่เรื่อยๆ ค่ะ
ปกติเทนจะบริจาคเลือดที่สภากาชาดที่กรุงเทพค่ะ ใครที่อยากรู้ว่ามีขั้นตอนยังไงบ้าง คลิกอ่านได้ที่ รีวิว บริจาคเลือด ในวิกฤติโควิด-19 ที่สภากาชาดไทย เลย
แต่ช่วงนี้เทน Work From Home อยู่ที่เชียงใหม่ แล้วพอดีว่าครบกำหนดสามเดือนที่จะบริจาคเลือดอีกครั้ง สภากาชาดก็ส่งข้อความมาเตือน เทนก็เลยลองหาข้อมูลดูว่าที่เชียงใหม่ บริจาคเลือด ที่ไหนได้บ้าง
ก็เห็นว่าสามารถบริจาคเลือดได้ที่ ภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 10 จังหวัดเชียงใหม่ วิธีเดินทางก็ไม่ยากเลยเพราะว่าสถานที่อยู่ในคูเมือง แถวๆ ถนนคนเดินและโรงเรียนยุพราช เลี้ยวซ้ายไปที่ซอยก่อนถึงโจ๊กสมเพชร ศูนย์บริจาคเลือดจะอยู่ตรงข้ามร้านหยกฟ้า ซึ่งเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวกับราดหน้าที่เทนกินมาตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ
ถ้าที่สภากาชาดไทยที่กรุงเทพทุกคนจะต้องทำตามคำแนะนำที่บอกเอาไว้ตามจุดต่างๆ แต่ที่เชียงใหม่ด้วยความที่ศูนย์บริจาคเลือดจะเล็กกว่า ก็จะมีคุณลุงที่น่ารักมากๆ คอยดูแล คอยบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ต้องไปจุดไหนต่อ
ด่านแรกเค้าจะมีจุดคัดกรองโควิดก่อนเลย ให้ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือทำความสะอาด ให้วัดไข้ และคุณลุงก็จะเข้ามาถามว่าเคยบริจาคเลือดหรือยัง ขอดูบัตรประจำตัวหน่อย จากนั้นก็จะเอาเอกสารมาให้เรากรอกข้อมูล ซึ่งแบบฟอร์มก็จะเหมือนกับที่กรุงเทพเลยค่ะ
จากนั้นก็ไปลงทะเบียน แล้วก็วัดความดัน คุณลุงก็เอาถุงพลาสติกมาให้เราสวมแขน เพราะที่นี่จะมีเครื่องวัดความดันแค่เครื่องเดียว แต่ก็ไม่ต้องรอคิวเลยเพราะคนน้อย
ปัญหาส่วนตัวของเทนคือ เทนเป็นคนที่มีความดันต่ำอยู่แล้ว เวลาตรวจวัดความดันแต่ละทีก็จะอยู่ที่ 60-90 ตลอดเลย มันไม่ขึ้นสักที ซึ่งจริงๆ แล้วความดันของผู้ที่จะบริจาคเลือดจะต้องอยู่ที่ประมาณ 100-160 ถึงจะบริจาคได้ ซึ่งค่าความดันปกติควรจะอยู่ที่ประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท ค่ะ
พอวัดความดันแล้วยังไม่ถึง คุณลุงก็น่ารักมาก ไปกดน้ำมาให้ ให้นั่งพัก 5 นาที ระหว่างนี้ก็เลยถามคุณลุงว่าถ้าคนที่ความดันสูงเกินไปจะต้องทำยังไง คุณลุงก็บอกว่าให้ดื่มน้ำและนั่งพักเพื่อให้ความดันคงที่เหมือนกัน
เวลาที่คนเราความดันต่ำ ก็คือต้องต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการขาดสารอาหารบางอย่างทำให้ผนังหลอดเลือดแดงไม่แข็งแรงจนเกิดการคลายตัวมากเกินไป
ถ้าหากตรวจความดันแล้วผลบอกว่าต่ำเกินไป การนั่งพักแล้วดื่มน้ำจะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้ความดันเลือดไหลเวียนดีขึ้น
แต่ถ้าใครที่ความดันสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท อาจมาจากโรคหรือภาวะทางสุขภาพ แต่ก็อาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ เช่น มีภาวะทางอารมณ์ การออกกำลังกาย ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีคาเฟอีน ซึ่งถ้าใครที่มีความดันสูงบ่อยๆ ก่อนวัดความดัน 30 นาที ควรนั่งพักหรือผ่อนคลายอารมณ์ก่อนวัดความดันค่ะ
พอครบกำหนดเวลา 5 นาทีที่นั่งพัก ก็ลองวัดความดันอีกที แต่ก็ยังไม่ถึงอีก คุณลุงก็เลยไปชงน้ำแดงมาให้ บริการดีมาก แล้วก็นั่งพักอีก พอวัดความดันอีกครั้งก็ผ่านแล้วค่ะ
ขั้นตอนต่อมาคือการตรวจเลือดจากปลายนิ้ว เพื่อดูเกล็ดเลือดก่อนด้วยค่ะ ซึ่งผลตรวจของเทนคุณพยาบาลก็บอกว่าเกือบไม่ผ่าน แม้ว่าจะอยู่ในเกณฑ์ แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าคนทั่วไป
ตรงนี้คุณพยาบาลบอกว่ายาบำรุงโลหิตที่ให้ไปกินหลังบริจาคเลือดควรกินให้ครบ ไม่งั้นคราวหน้าอาจจะบริจาคเลือดไม่ได้เพราะว่าเลือดจางเกินไป
จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนการบริจาคเลือด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระหว่างนี้ก็จะมีพยาบาลคอยดูแลเราตลอดค่ะ ถ้ารู้สึกไม่โอเคตอนไหนก็บอกเค้าได้ตลอด แต่เราก็นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือหรือทำอะไรได้ตามปกติไม่มีปัญหาอะไรค่ะ
พอได้เลือดในปริมาณที่ต้องการแล้วเค้าก็จะเอาเข็มออกแล้วติดสำลีให้เรากดเอาไว้ และนั่งพักประมาณ 5 นาที คุณลุงก็บอกให้เราดื่มน้ำเยอะๆ หรือจะไปรับประทานของว่างก็ได้ ที่นี่เค้าก็จะมีโซนอาหารว่างเอาไว้ให้เหมือนที่กรุงเทพเลยค่ะ
หลังจากเสร็จภารกิจการบริจาคเลือดก็รับใบนัดสำหรับการบริจาคเลือดครั้งต่อไปกับยาบำรุงโลหิตแล้วก็กลับบ้านได้ค่ะ
ใครที่อยู่เชียงใหม่แล้วไม่รู้ว่าจะบริจาคเลือดได้ที่ไหนเทนอยากให้ลองมาดูนะคะ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แถมมาตรการป้องกันโควิดก็รัดกุมมากๆ ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเสี่ยงติดเชื้อ
ข้อดีของการที่ศูนย์บริจาคไม่ใหญ่ คือ
- บางคนเพึ่งเคยบริจาคครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าลำดับขั้นตอนเป็นยังไง ก็จะเหวอๆ (ประสบการณ์ส่วนตัว ไปกรุงเทพคนเยอะไปหมด ไม่รู้ไปไหนยังไง ต้องอ่านข้อมูลเอง) แต่ที่เชียงใหม่ศูนย์เล็ก เจ้าหน้าที่ (ก็คือคุณลุงตรงจุดลงทะเบียน) คอยดูแลให้คำแนะนำแบบใกล้ชิดได้ ไม่เขิน
- ไม่ต้องรอนาน จริงๆ ถ้าวัดความดันผ่าน ไม่ถึง 30 นาทีก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย รวมนั่งพัก นั่งกินขนมแล้วด้วยนะ
นอกจากการบริจาคเลือด ที่นี่ก็มีให้บริจาคสเต็มเซลล์ด้วยนะคะ แต่เทนลงทะเบียนไว้ที่กรุงเทพแล้ว ใครที่อยากรู้ว่ามีขั้นตอนยังไงบ้าง ก็ตามไปอ่านกันได้ที่ รีวิว บริจาคสเต็มเซลล์ ที่ สภากาชาดไทย ค่ะ
และที่สำคัญ ใครที่อยากบริจาคเลือด อย่าลืมดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอนะคะ หมั่น ตรวจสุขภาพ เป็นประจำทุกปี เพื่อเช็กประสิทธิภาพของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้แข็งแรงก่อนด้วยนะคะ