การดูแลเมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต


เมื่อผู้ป่วยที่คุณรักกําลังจะจากไป เขาจะมีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายหลายอย่างที่สังเกตได้

ส่วนใหญ่ไม่ใช่อาการท่ีน่าตกใจและไม่ใช่อาการที่ต้องรักษา ไม่ต้องตกใจหรือรู้สึกผิดว่าจะต้องพาไปรักษาที่โรงพยาบาลหากนั่นไม่ใช่ส่ิงที่ผู้ป่วยต้องการในระยะสุดท้ายของเขา อาการเหล่านี้แพทย์จะไม่ได้รักษาเพิ่มเติมเพราะไม่ใช่อาการที่จะรักษาได้แต่เป็นอาการจากไปตามธรรมชาติ ซึ่งได้แก่อาการ ต่อไปน้ี

อ่อนแรงและนอนหลับมากขึ้น

ดูอ่อนเพลียแบบค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลาเป็นวัน แต่บางคนก็อาจเกิดเร็วเป็นชั่วโมง ผู้ป่วยส่วนใหญ่นอนหลับอยู่บนเตียงตลอดวันและอาจจะตื่นในช่วงเวลากลางคืน บางรายอาจจะหลับลึกจนดูเหมือนปลุกไม่ตื่น อาการดังกล่าวไม่ใช่อาการท่ีน่ากลัวและไม่ทําให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน ร่างกายอาจมีการขยับแบบอัตโนมัติได้โดยท่ีผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว เช่น การกํามือหรือกัดฟันกรอดๆ ร่วมด้วยได้

วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้

  • หาเตียงที่นอนสบายให้กับผู้ป่วยยกหัวสูงเล็กน้อย อาจมีหมอนข้างมาช่วยเสริมด้านข้าง
  • พลิกตัวผู้ป่วยทุก 6-8 ชั่วโมง โดยไม่ควรพลิกตัวบ่อยกว่าน้ีเพราะอาจจะทําให้ผู้ป่วยรําคาญ
  • ควรใส่สายสวนปัสสาวะหรือแพมเพิร์ส เพื่อสะดวกในการดูแลและผู้ป่วยไม่ต้องลุกจากเตียง (สายสวนปัสสาวะไม่ทําให้ผู้ป่วยเจ็บปวดมากข้ึนและสะดวกกว่าแพมเพิร์ส)
  • กอดและสัมผัสผู้ป่วยเป็นระยะๆ ได้
  • อนุญาตให้ตัวเองร้องไห้ได้
  • ไม่ต้องกลัวว่าการสนทนากันตามปกติจะรบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วย สามารถสนทนากันได้ด้วยเสียงปกติท่ีไม่ดังเกินไปและไม่ต้องปรับเสียงให้เบาลงเหมือนเสียงกระซิบ
  • สามารถพูดและสื่อข้อความดีๆ ที่อยากบอกกับผู้ป่วยได้ตลอดเวลา เพราะแม้ผู้ป่วยจะอ่อนเพลียมากจนไม่สามารถพูดได้ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังสามารถได้ยินและเข้าใจสิ่งที่ญาติพูดได้ เนื่องจากหูและการได้ยินจะเป็นอวัยวะสุดท้ายที่ผู้ป่วยจะสูญเสียการทํางานไป

การกินอาหารและการดื่มน้ำจะลดลง

ในช่วงเวลา อาหารและน้ำไม่ได้ช่วยทําให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น และไม่ได้ช่วยยืดเวลาให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้นานข้ึน เนื่องจากร่างกายทํางานได้ช้าลงมาก ระบบการย่อยและดูดซึมอาหารไม่สามารถทํางานได้ตามปกติ

วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้

  • หากผู้ป่วยขอดื่มน้ำ ให้ยกศีรษะผู้ป่วยขึ้นและป้อนน้ำทีละเล็กน้อยด้วยหลอดหยดหรืออมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ
  • หากผู้ป่วยไอ ให้หยุดการป้อนน้ำทันที
  • การให้น้ำเกลือในช่วงเวลาน้ี ไม่ได้ช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีข้ึน และอาจทําให้ผู้ป่วยยืดความทุกข์ทรมานออกไปอีก เนื่องจากน้ําเกลือ ประกอบด้วย น้ำ เกลือ และน้ำตาล จึงไม่มีสารอาหารเพียงพอที่จะทดแทนอาหารได้ เพียงแต่หล่อเลี้ยงความทรมานระดับเดิมไว้ โดยทั่วไปอาจพิจารณาให้น้ำกลือหากจําเป็นต้องให้ยาทางเส้นเลือดเท่านั้น
  • การให้อาหารในช่วงเวลานี้อาจเป็นเหตุให้สําลักเข้าไปในระบบทางเดินหายใจและติดเชื้อในปอดได้ ซึ่งจะทําใหผู้ป่วยทุกข์ทรมานเพิ่มข้ึนหรือเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร การได้รับอาหารที่น้อยลงในระยะน้ีไม่ได้เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยอดอาหารจนถึงแก่ความตาย ผู้ป่วยถึงแก่ความตายเพราะโรคของผู้ป่วยเอง การให้ท่ออาหารประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะทางท่อทางเดินอาหารหรือท่ออาหารทางเส้นเลือดจึงควรพิจารณาอย่างมากเพราะมักจะทําให้ผู้ป่วยเจ็บ รําคาญ และอาจเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ความตายก่อนเวลาดังกล่าว

การดูแลช่องปากของผู้ป่วย

ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายใจทางปากและมักจะดื่มน้ำได้เพียงเล็กน้อย ทําให้ปากและล้ินของผู้ป่วยแห้งมาก ซึ่งทําให้ทุกข์ทรมานได้

วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้

  • ผสมน้ำประมาณ 1 ลิตรกับเกลือ 1⁄2 ช้อนและผงฟู 1 ช้อนแล้วใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำดังกล่าวเช็ดปาก เหงือก และลิ้นของผู้ป่วย ไม่ต้องตกใจหากผู้ป่วยกัดผ้าก๊อซขณะท่ีเช็ดในปาก ให้เช็ดต่อไปจนการกัดผ้าก๊อซคลายลง
  • เปลี่ยนส่วนผสมน้ำเกลือและผงฟูใหม่ทุกวัน
  • เช็ดปาก เหงือก และลิ้นของผู้ป่วยได้ทุกชั่โมงเพื่อให้ชุ่มชื้น

การดูแลตาของผู้ป่วย

เนื่องจากผู้ป่วยปิดตาไม่สนิททําให้เกิดอาการตาแห้งแสบได้

วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้

  • อาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตาให้ผู้ป่วยวันละ 4 ครั้ง หากตาผู้ป่วยเผยอเปิดตลอดเวลา

อาการปวด

โดยท่ัวไปอาการปวดของผู้ป่วยมักจะไม่เพิ่มขึ้นในช่วงสุดท้าย เนื่องจากผู้ป่วยขยับตัวน้อยลงและนอนหลับมากขึ้น ในบางครั้งที่ญาติช่วยขยับตัวผู้ป่วยอาจได้ยินเสียงเหมือนผู้ป่วยร้องคราง เสียงดังกล่าวมาจากการขยับตัวร่วมกับการหายใจออก ไม่ใช่มาจากอาการปวด

วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้

  • สังเกตอาการปวดโดยดูจากการหน้านิ่วขมวดคิ้วแทนเสียงร้องคราง อาจพิจารณาให้ยาแก้ปวดเพิ่มหากมีอาการดังกล่าวบ่อยครั้ง
  • โดยทั่วไปควรลดปริมาณยาแก้ปวดลงและอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการให้ยา เช่น จากยากินมาเป็นยาฉีดหรือยาที่สามารถดูดซึมใต้ล้ินได้เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผู้ป่วย

ภาวะกระสับกระส่าย

เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีภายในร่างกาย เนื่องจากอวัยวะต่างๆ เริ่มวาย

วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้

  • อาจพิจารณาให้แพทย์สั่งยานอนหลับอย่างอ่อนให้เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนบ้าง ซึ่งยาเหล่านี้ไม่ได้ทําให้หลับลึกจนตาย อย่างไรก็ตาม ให้พิจารณาตามสภาพอาการ หากกระสับกระส่ายประสาทหลอนมาก อาจช่วยให้ผู้ป่วยได้พักหลับมากข้ึน แต่หากอาการไม่มาก อาจไม่จําเป็นต้องรักษาอาการนี้ เพราะผู้ป่วยหลายรายอยากมีสติก่อนตาย ไม่อยากง่วงงุนงง อยากรู้สึกตัวว่าได้ร่ำลาญาติๆ ก่อนจากไป บางรายอยากมีจิตอันเป็นกุศลหรือท่องบทสวดมนต์ก่อนลมหายใจสุดท้าย เพื่อให้เป็นการตายดีตามความเช่ือของตน

หายใจไม่เป็นจังหวะ

อาจหายใจช้าบ้าง เร็วบ้าง ลึกบ้าง ตื้นบ้าง และอาจหยุด หายใจเป็นช่วงๆ ซึ่งช่วงที่หยุดหายใจนี้จะค่อยๆ ยาวข้ึนเมื่อผู้ป่วยใกล้จะเสียชีวิต ตัวผู้ป่วยเองจะไม่รู้สึกทรมานกับอาการนี้เพราะเกิดจากภาวะกรดและด่างเปลี่ยนแปลงไปหลังจากอวัยวะต่างๆ หยุดทํางาน

วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้

  • ผู้ป่วยในภาวะนี้ไม่ได้ขาดออกซิเจน การให้ออกซิเจนจึงไม่จําเป็นและไม่ได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยในระยะน้ี ตรงกันข้าม การให้ออกซิเจนกลับทําให้ผู้ป่วยรู้สึกแห้ง เจ็บ และอึดอัดไม่สบายตัว ดังจะสังเกตได้จากผู้ป่วยจะพยายามดึงหน้ากากหรือท่อออกซิเจนทิ้งอยู่ตลอดเวลาท้ังๆ ที่ไม่รู้สึกตัว

ภาวะเสียงดังครืดคราดจากน้ำลายสอ

เมื่อใกล้เวลาที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต ญาติอาจได้ยินเสียงดังครืดคราดในลําคอคล้ายเสียงกรน ในขณะที่ผู้ป่วยซึมลงมากและไม่ค่อยตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว เสียงนี้เกิดจากกล้ามเน้ือในการกลืนไม่ทํางาน ล้ินตก แต่ต่อมน้ำลายน้ำเมือกต่างๆ ยังทํางานอยู่ ภาวะดังกล่าวไม่ทําให้ทางเดินหายใจอุดตันจนถึงแก่ความตาย

วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้

  • ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงโดยมีหมอนยาวรองหลังจะช่วยลดเสียงดังครืดคราดลงได้
  • แพทย์อาจพิจารณาสั่งยาเพื่อช่วยลดอาการน้ำลายสอหากมีอาการน่ารําคาญอย่างมาก
  • ไม่ควรดูดเสมหะด้วยเครื่องดูด เนื่องจากไม่ได้แก้ไขสาเหตุและทําให้ผู้ป่วยเจ็บและอาเจียนจากท่อที่ล้วงลงไปดูดเสมหะในลําคอ

มือเท้าเย็น ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง

เมื่อเวลาของผู้ป่วยใกล้หมดลง ญาติอาจสังเกตได้จากมือเท้าเย็น เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ผิวเป็นจ้ำๆ ตาเบิกกว้างแต่ไม่กะพริบ ปัสสาวะน้อยลงมาก ผู้ป่วยบางรายอาจตื่นข้ึนมาในช่วงเวลาสั้นๆ เหมือนอาการดีขึ้น ซึ่งเป็นเพราะผู้ป่วยพยายามรวบรวมพลังงานสํารองที่มีทั้งหมดมาใช้ในการร่ำลาญาติครั้งสุดท้ายก่อนจากไป

วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้

  • ควรหยุดวัดความดันโลหิตหรือสายวัดต่างๆ รอบตัว แกะเครื่องพันธนาการผูกมัดผู้ป่วยต่างๆ ให้ได้มากท่ีสุด เนื่องจากค่าท่ีวัดได้ไม่สามารถเชื่อถือได้และเป็นการรบกวนผู้ป่วยมากขึ้น
  • ตั้งสติให้ดี อย่าตกใจ ใช้เวลาช่วงสุดท้ายอยู่ข้างเตียงกับผู้ป่วยมากที่สุด ก่อนที่จะดําเนินพิธีทางศาสนาต่อไป

แนวทางข้างต้นเป็นคําแนะนําอย่างง่ายสําหรับญาติและผู้ดูแลเพื่อจะได้รับมือกับอาการที่พบบ่อยในช่วงสุดท้ายของชีวิตได้อย่างมีสติและให้ญาติได้ใช้เวลาอยู่กับผู้ป่วยอย่างมีคุณค่าก่อนจากกัน

ที่มา: ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก หมอเป้ พญ.ดาริน จตุรภัทรพร
ผู้แต่งหนังสือ  สุข รัก เข้าใจ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต | Facebook Page: รักก่อนกำเนิด เกิดก่อนกำหนด | @Lynlanara


บทความแนะนำ


ที่มาของข้อมูล

ขยาย

ปิด

@‌hdcoth line chat