HDmall สรุปให้
ปิด
ปิด
- การทำ IVF และการทำ ICSI คือเทคนิคการทำเด็กหลอดแก้วทั้งคู่ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเดียวกันคือ กลุ่มผู้ที่ไม่สามารถมีบุตรได้ด้วยวิธีธรรมชาติ
- IVF และ ICSI แตกต่างกันด้วยเทคนิคทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ การทำ IVF จะให้อสุจิทำการปฏิสนธิกับไข่เอง ส่วน ICSI นักวิทยาศาสตร์จะคัดเลือกอสุจิ 1 ตัว มาทำการปฏิสนธิกับไข่ 1 ใบ
- ปัจจุบันการทำ ICSI จะได้รับความนิยมมากกว่า
- ไม่ว่าคุณจะทำ IVF หรือ ICSI ก็ควรตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อน เพื่อป้องกันโอกาสเกิดกลุ่มความผิดปกติทางโครโมโซมของทารกในภายหลัง
- ทั้งหญิงและชายจะต้องดูแลตนเองอย่างเหมาะสมก่อนรักษาภาวะมีบุตรยาก เพื่อให้ไข่และสเปิร์มที่เก็บได้มีความสมบูรณ์พอต่อการปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนที่มีคุณภาพ
- บทความนี้ได้รับการสปอนเซอร์จาก Prime Fertility Clinic แพทย์ผู้ให้ข้อมูลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโฆษณาหรือการซื้อขายแพ็กเกจใดๆ #HDinsight
- ดูรายละเอียดแพ็กเกจทั้งหมดจาก Prime Fertility Clinic บน HDmall.co.th
- สอบถามแอดมินเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจได้ที่ไลน์ @HDcoth
เลือกหัวข้อที่สนใจ
- การทำ IVF คืออะไร?
- การทำ ICSI คืออะไร แตกต่างจากการทำ IVF อย่างไร?
- การทำ IVF และการทำ ICSI แบบไหนเป็นที่นิยมมากกว่ากัน?
- การตรวจโครโมโซมของตัวอ่อน
- ควรทำ IVF หรือทำ ICSI?
- แนวทางการดูแลตนเองในแต่ละด้าน ก่อนเริ่มทำ IVF และทำ ICSI
- รับบริการทำเด็กหลอดแก้วด้วยวิธี IVF หรือ ICSI ที่ Prime Fertility Center
- บทความที่ HDmall.co.th แนะนำ
การมีลูกด้วยวิธีธรรมชาติไม่สำเร็จ ไม่ได้เป็นจุดจบของการตั้งครรภ์เสมอไป เพราะยังมีวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเปลี่ยนความฝันของคู่รักในการมีเจ้าตัวน้อยได้สำเร็จมาแล้วหลายคู่ ซึ่งปัจจุบันจะแบ่งออกได้ 2 วิธี คือ
- การทำไอวีเอฟ (In - Vitro Fertilization: IVF)
- การทำอิ๊กซี่ (Intracytoplasmic Sperm Injection: ICSI)
HDmall.co.th ร่วมกับ Prime Fertility Clinic โดย นพ.พูนเกียรติ ปัญญามิตร ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ จะมาเจาะลึกเกี่ยวกับความแตกต่างและกระบวนการดูแลตนเองก่อนเริ่มทำเด็กหลอดแก้วทั้ง 2 วิธีนี้ เพื่อให้คุณได้มีเคล็ดลับการดูแลสุขภาพเพิ่มเติม สามารถเตรียมตัวสำหรับมีเจ้าตัวน้อยได้อย่างเหมาะสม และมีแนวโน้มสำเร็จมากที่สุด
การทำ IVF คืออะไร?
การทำไอวีเอฟ (In - Vitro Fertilization: IVF) เป็นชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ของ “กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว” ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาการมีบุตรยาก หรือผู้ที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติได้สำเร็จ โดยมีกระบวนการหลักๆ ที่ทุกคนควรรู้ดังนี้
- ฝ่ายหญิงกระตุ้นไข่ เพื่อให้ร่างกายผลิตไข่ที่สมบูรณ์และมีจำนวนเพียงพอ
- แพทย์เก็บไข่ออกมาจากร่างกายฝ่ายหญิง และฝ่ายชายทำการเก็บเชื้อสเปิร์มออกจากร่างกายด้วยตัวเอง
- แพทย์นำไข่และเชื้อสเปิร์มที่เก็บได้มาใส่ด้วยกันในหลอดเพาะเลี้ยง เพื่อให้เชื้อสเปิร์มได้วิ่งเข้าไปเจาะไข่เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ
- นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ติดตามดูการปฏิสนธิที่เกิดขึ้น จนกว่าจะเกิดเป็นตัวอ่อน
- เมื่อการปฏิสนธิเกิดขึ้นและกลายเป็นตัวอ่อน นักวิทยาศาสตร์จะเพาะเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงระยะที่เหมาะสม
- เมื่อตัวอ่อนมีพัฒนาการและอายุที่เหมาะสมแล้ว แพทย์จะคัดเลือกตัวอ่อนที่แข็งแรงที่สุดใส่เข้าไปในร่างกายของผู้หญิง เพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวที่โพรงมดลูก และเติบโตเป็นทารกในที่สุด
การทำ ICSI คืออะไร แตกต่างจากการทำ IVF อย่างไร?
การทำอิ๊กซี่ (Intracytoplasmic Sperm Injection: ICSI) เป็นอีกประเภทของการทำเด็กหลอดแก้ว แต่ได้รับการพัฒนาและเสริมเทคนิคบางอย่าง เพื่อเพิ่มโอกาสการปฏิสนธิให้สำเร็จได้มากขึ้นกว่าวิธีทำ IVF
การทำ ICSI มีกระบวนการแทบจะเหมือนกับการทำ IVF ทุกอย่าง แต่จะแตกต่างกันส่วนการเลือกและใช้เชื้อสเปิร์มเข้าผสมกับไข่ โดยแพทย์จะไม่ปล่อยให้เชื้อสเปิร์มวิ่งไปผสมกับไข่เองเหมือนกับการทำ IVF แต่แพทย์และนักวิทยาศาสตร์จะคัดเลือกเชื้อสเปิร์มเพียง 1 ตัวที่มี ความสมบูรณ์ของรูปร่างหน้าตา การว่ายที่ดี แล้วฉีดเชื้อสเปิร์มดังกล่าวเข้าไปที่เซลล์ไข่ของฝ่ายหญิงโดยตรง เพื่อเพิ่มโอกาสของการปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนให้มากขึ้นกว่าเดิม
จากเทคนิคการคัดเลือกเชื้อสเปิร์มและการฉีดสเปิร์มเข้าไปที่ไข่โดยตรง จึงทำให้การทำ ICSI ช่วยลบจุดบอดหลายอย่างที่การทำ IVF ยังมีอยู่ และทำให้โอกาสของการมีบุตรได้สำเร็จเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย ซึ่งสรุปได้ดังนี้
- ลดปัญหาเชื้อสเปิร์มเข้าไปเจาะไข่ไม่ได้ โดยอาจมีสาเหตุมาจากเปลือกไข่หนา ไข่คุณภาพไม่ดี หรือเชื้อสเปิร์มไม่แข็งแรงพอที่จะวิ่งเข้าไปเจาะไข่เอง เพราะการทำ ICSI จะมีการคัดเลือกตัวสเปิร์มที่แข็งแรงที่สุด และใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์เจาะฉีดสเปิร์มตัวนั้นเข้าไปในเนื้อไข่โดยตรง ผู้เข้ารับบริการจึงไม่ต้องลุ้นให้เชื้อสเปิร์มเจาะไข่ได้สำเร็จเหมือนการทำ IVF
- เชื้อสเปิร์มน้อยก็ทำได้ การทำ ICSI เป็นการเลือกใช้ตัวสเปิร์มที่มีความสมบูรณ์ 1 ตัว นำมาผสมต่อ ไข่ 1 ใบ จะมีการตรวจคุณภาพเชื้อสเปิร์มและให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพก่อน เพื่อให้ฝ่ายชายสามารถผลิตเชื้อสเปิร์มกลุ่มใหม่ที่ดีที่สุดเพื่อนำไปผสมกับไข่ได้ ซึ่งนอกจากกลุ่มนี้แล้ว ยังเหมาะกับฝ่ายชายที่เคยผ่านการทำหมัน หรือไม่สามารถหลั่งเชื้ออสุจิได้ด้วยตนเอง เพราะสามารถทำร่วมกับกระบวนการ PESA/TESE เจาะเอาตัวอสุจิจากแหล่งสร้างมาผสมกับไข่ได้ ซึ่งการทำ IVF อาจไม่เหมาะกับคนไข้ในกลุ่มนี้
การทำ ICSI จึงเป็นแนวทางการทำเด็กหลอดแก้วที่เข้ามาช่วยเพิ่มระดับความสำเร็จในการมีบุตรให้มากขึ้น ผ่านการคัดเลือกและฉีดเชื้อสเปิร์มตัวที่ดีที่สุดเข้าไปในไข่ แทนที่การปล่อยให้เกิดการปฏิสนธิกันเองในหลอดทดลอง
การทำ IVF และการทำ ICSI แบบไหนเป็นที่นิยมมากกว่ากัน?
ปัจจุบันในประเทศไทย การทำ ICSI จัดเป็นวิธีทำเด็กหลอดแก้วที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เมื่อเทียบกับการทำ IVF ที่ค่อยๆ ลดระดับความนิยมลงจากในอดีต เนื่องจากให้โอกาสผลลัพธ์ในการมีบุตรได้น้อยกว่า
การตรวจโครโมโซมของตัวอ่อน
ทั้งการทำ IVF และการทำ ICSI สามารถ “ตรวจโครโมโซมตัวอ่อน (Preimplantation Genetic Testing: PGT)” ก่อนใส่ตัวอ่อนเข้าไปในร่างกายฝ่ายหญิงได้ ซึ่งจัดเป็นการตรวจที่ช่วยลดโอกาสเกิดความเสี่ยงที่จะผิดปกติทางพันธุกรรมและโรคประจำตัวในเด็กทารกได้หลายอย่างทีเดียว
เพราะหลังจากที่เชื้อสเปิร์มและไข่ปฏิสนธิกลายเป็นตัวอ่อนแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่า ตัวอ่อนจะแข็งแรงพร้อมต่อการเจริญเติบโตเป็นทารกที่สมบูรณ์เสมอไป
แต่ตัวอ่อนบางตัวที่กำลังเติบโตขึ้นยังมีโอกาสเกิดความผิดปกติในส่วนโครโมโซมร่างกายทั้ง 23 คู่ได้อยู่ ซึ่งความผิดปกตินี้จะนำไปสู่การเกิดกลุ่มอาการต่างๆ เช่น กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) กลุ่มอาการพาทัวร์ (Patau Syndrome) กลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ด (Edward Syndrome) และทำให้ร่างกายของเด็กไม่สมบูรณ์แข็งแรง รวมถึงอาจพัฒนาเป็นโรคประจำตัวร้ายแรงเมื่อเขาโตขึ้นได้ เช่น
- ปากแหว่ง เพดานโหว่
- ตาห่าง
- ใบหูต่ำ
- ตัวเตี้ยแคระหรือสูงเกินมาตรฐานคนทั่วไป
- อวัยวะภายในสลับตำแหน่งกัน และทำงานผิดปกติ
- พัฒนาการช้า ไม่สามารถเรียนรู้การใช้ภาษา และกระบวนการวิเคราะห์ความคิดต่างๆ ได้
- เป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์
- เกิดภาวะแท้ง
- เสียชีวิตแต่กำเนิด
นอกจากความผิดปกติเหล่านี้ ตัวอ่อนที่ไม่ได้รับการตรวจโครโมโซมก่อนย้ายเข้าไปในร่างกายฝ่ายหญิง ก็อาจมีโอกาสที่จะไม่ฝังตัวในโพรงมดลูก และทำให้การทำเด็กหลอดแก้วในรอบนั้นล้มเหลวลงในที่สุดได้
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าคุณจะรับบริการทำเด็กหลอดแก้วแบบ IVF หรือแบบ ICSI แพทย์มักแนะนำให้ตรวจดูโครโมโซมตัวอ่อนก่อน เพื่อให้แน่ใจถึงความแข็งแรงที่สมบูรณ์พร้อมทุกด้านของตัวอ่อนแต่ละตัว ก่อนจะคัดเลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุด เพื่อใส่เข้าไปในร่างกายฝ่ายหญิง
โดยกลุ่มผู้เข้ารับบริการที่แพทย์มักแนะนำให้ตรวจโครโมโซมตัวอ่อน ก่อนที่จะเริ่มขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้วถัดไป ได้แก่
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว
- ผู้ที่มีผู้ใกล้ชิดทางสายเลือดมีโรคติดต่อทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม
- คู่รักที่ผู้เข้ารับบริการหญิงที่อายุ 35 ปีขึ้นไป
- คู่รักที่ผู้เข้ารับบริการชายอายุ 45 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่เคยพยายามมีบุตรด้วยวิธีอื่นๆ มาแล้ว เช่น วิธีทางธรรมชาติ วิธีทำ IUI หรือเคยทำ IVF หรือทำ ICSI มาก่อน แต่ก็ยังไม่ตั้งครรภ์ ความล้มเหลวเหล่านี้อาจเกิดมาจากความผิดปกติของโครโมโซมตัวอ่อนได้เช่นกัน
ควรทำ IVF หรือทำ ICSI">ควรทำ IVF หรือทำ ICSI?
การทำ IVF และทำ ICSI เรียกได้ว่า มีกลุ่มผู้เข้ารับบริการกลุ่มเดียวกัน นั่นคือ “กลุ่มผู้ที่ไม่สามารถมีบุตรได้ด้วยวิธีแบบธรรมชาติ” โดยปัจจุบันในประเทศไทยนิยมวิธี ICSI แทบทั้งหมด แต่ในต่างประเทศอาจยังมีการทำ IVF อยู่บ้าง
โดยก่อนเริ่มกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว คู่รักทุกคู่จะต้องตรวจสุขภาพกับแพทย์อย่างละเอียดเสียก่อน รวมถึงต้องแจ้งประวัติด้านสุขภาพอย่างละเอียดกับแพทย์ เช่น โรคประจำตัว โรคทางพันธุกรรมในครอบครัว ประวัติภาวะแท้ง ระยะเวลาและประวัติการรักษาภาวะมีบุตรยากตั้งแต่ก่อนหน้านี้
จากนั้นแพทย์จะนำผลตรวจไปวิเคราะห์เพื่อหาวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยากที่เหมาะสมที่สุดกับผู้เข้ารับบริการคู่นั้น
คู่รักบางคู่ที่สุขภาพพร้อมต่อการผลิตไข่และเชื้อสเปิร์มที่มีคุณภาพอยู่แล้ว แพทย์อาจไม่ได้พิจารณาให้รับบริการทำเด็กหลอดแก้วเสมอไป แต่อาจแนะนำให้ลองมีบุตรด้วยวิธีธรรมชาติอีกครั้ง หรือผ่านวิธีฉีดเชื้อสเปิร์มเข้าโพรงมดลูกโดยตรง หรือที่เรียกอีกชื่อว่า “การทำไอยูไอ (Intra – Uterine Insemination)”
แนวทางการดูแลตนเองในแต่ละด้าน ก่อนเริ่มทำ IVF และทำ ICSI
การทำ IVF และการทำ ICSI จะอาศัยเพียงความเชี่ยวชาญของแพทย์และความทันสมัยของเครื่องมือเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ยังต้องอาศัยความสมบูรณ์ด้านสุขภาพของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ในการผลิตเชื้อสเปิร์มและไข่เพื่อนำออกมาผสมในห้องปฏิบัติการด้วย
โดยคุณสามารถลองปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเองได้ดังต่อไปนี้
1. ด้านการกินอาหาร
ทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างครบถ้วนและหลากหลาย โดยเฉพาะสารอาหารประเภทโปรตีนที่ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด
นอกจากนี้ยังควรลดอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งให้ได้น้อยลง และยังควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอื่นๆ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด หรืองดดื่มชั่วคราวจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
2. ด้านการกินอาหารเสริม ทั้งที่ควรกินและควรหลีกเลี่ยง
กลุ่มผู้ที่กำลังรักษาภาวะมีบุตรยากในผู้หญิงและผู้ชายจะมีรายการวิตามินเสริมที่ควรกินไม่เหมือนกัน
- วิตามินเสริมสำหรับคุณผู้หญิง สามารถกินแบบเป็นวิตามินรวมหลากชนิดได้เลย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี แต่อาจเสริมกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระอย่างโคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) กับแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เพิ่มเข้าไปด้วย เพื่อลดโอกาสอักเสบภายในร่างกาย
- วิตามินสำหรับคุณผู้ชาย ควรเสริมกลุ่มแร่ธาตุสังกะสี (Zinc) เพื่อเสริมสมรรถภาพในการวิ่งของเชื้อสเปิร์ม รวมถึงโปรตีนแอล-อาร์จินีน (L-Arginine) และกรดโฟเลต (Folate acids) ซึ่งมีประโยชน์ในการบำรุงคุณภาพของเชื้อสเปิร์มให้แข็งแรงขึ้น
นอกเหนือจากรายการวิตามินที่ควรกิน ยังมีรายการอาหารเสริมหรือสมุนไพรบางอย่างที่ควรงดในระหว่างทำเด็กหลอดแก้วไปก่อน โดยเฉพาะในผู้เข้ารับบริการฝ่ายหญิง เพราะอาหารเสริมเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ได้หลายอย่าง เช่น ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก ช็อกโกแลตซีสต์ ตัวอย่างเช่น
- น้ำมะพร้าว
- ถั่วเหลือง
- นมอัลมอนด์
- โปรตีนเสริมแบบชงดื่ม
- ว่านชักมดลูก
- ดอกคำฝอย
- ตังกุย
- อาหารเสริมและสมุนไพรอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติคล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง
- ยาปลูกผม อาหารเสริม หรือยาต้านปัญหาผมร่วง (มีผลมากในฝ่ายชาย)
แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำในการกินและงดอาหารแต่ละชนิดกับผู้เข้ารับบริการแต่ละท่านอีกครั้ง รายการอาหารเสริมหรือสมุนไพรบางอย่างอาจไม่จำเป็นต้องงดกินเหมือนกันในผู้เข้ารับบริการทุกคนเสมอไป
3. ด้านการพักผ่อน
ทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายควรนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง และไม่ควรนอนดึกเกินไป โดยควรนอนก่อนเวลา 4 ทุ่ม
เพราะการพักผ่อนเพียงพอทุกคืนจะสร้างช่วงเวลาหลับลึกให้ยาวนานมากขึ้นไปด้วย และส่งผลให้ฮอร์โมนที่ช่วยซ่อมแซมพัฒนาเซลล์ต่างๆ ของร่างกายหรือโกรทฮอร์โมน (Growth hormone) หลั่งออกมาเพียงพอ จึงเพิ่มโอกาสให้ทั้งเชื้อสเปิร์มและไข่มีคุณภาพที่ดีขึ้น
4. การออกกำลังกาย
ผู้เข้ารับบริการทุกท่านไม่ว่าจะหญิงหรือชายควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในทุกสัปดาห์ แต่ต้องอยู่ในระดับที่พอดีและไม่หักโหม โดยอยู่ที่ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ และควรเป็นแนวทางออกกำลังกายที่ไม่สร้างความเหนื่อยล้ามากเกินไป
หากคุณชื่นชอบการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมหนักๆ เช่น ชกมวย ปั่นจักรยานเสือภูเขา วิ่งมาราธอน หรือการแข่งขันกีฬาที่ทำให้เหนื่อยจัด ก็จำเป็นต้องงดเว้นไปก่อนเป็นการชั่วคราว
นอกจากการออกกำลังกายที่ต้องอยู่ในเกณฑ์พอดี โดยเฉพาะฝ่ายชายต้องงดการทำกิจกรรมที่ต้องเผชิญกับอุณหภูมิร้อนจัดด้วย ไม่ว่าจะเป็นการอบไอน้ำ การแช่น้ำร้อน ออนเซน โยคะร้อน เพราะมีแนวโน้มจะทำให้คุณภาพเชื้อสเปิร์มแย่ลงได้
รายการคำแนะนำในการทำเด็กหลอดแก้วเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขด้านสุขภาพและความพร้อมของร่างกายในผู้เข้ารับบริการแต่ละท่าน คู่รักบางคู่อาจไม่ต้องใช้เวลาในการดูแลตนเองนานมากนัก และสามารถรับบริการทำเด็กหลอดแก้วได้ทันที
ในขณะเดียวกัน คู่รักบางคู่ก็อาจต้องกลับไปปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันและดูแลสุขภาพใหม่หลายเดือน จึงจะพร้อมต่อการเข้าสู่ขั้นตอนทำเด็กหลอดแก้วต่อไปได้
รับบริการทำเด็กหลอดแก้วด้วยวิธี IVF หรือ ICSI ที่ Prime Fertility Center
ค่าใช้จ่ายในการทำเด็กหลอดแก้ว ไม่ว่าจะผ่านวิธี IVF หรือ ICSI นั้นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ และไม่มีใครอยากเผชิญกับความล้มเหลวในการพยายามมีบุตรอยู่บ่อยๆ คุณจึงต้องคัดเลือกสถานพยาบาลรักษาภาวะมีบุตรยากที่มีความเชี่ยวชาญมากพอ และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยตอบโจทย์ปัญหาที่ทำให้คุณไม่สามารถมีเจ้าตัวน้อยได้
HDmall.co.th ขอแนะนำคลินิกรักษาภาวะมีบุตรยาก Prime Fertility Clinic ให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของการแก้ไขปัญหาภาวะมีบุตรยากของคุณ ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการรักษาที่ทันสมัยในระดับแนวหน้า ดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยแพทย์เฉพาะทาง และนักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่มากประสบการณ์
คลินิกรักษาภาวะมีบุตรยาก Prime Fertility Clinic ยังให้ความสำคัญต่อกระบวนการสื่อสารและติดตามผลการรักษา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คู่รักแทบทุกคู่ต้องตกอยู่ในภาวะกังวลต่อความสำเร็จในการรักษา จึงได้พัฒนาแอปพลิเคชั่น “Prime Fertility Center” เพื่อใช้ในการติดตามผลการรักษาภาวะมีบุตรยากทุกขั้นตอน สามารถใช้นัดเวลาเข้าพบแพทย์ และให้เจ้าหน้าที่ได้อัปเดตความคืบหน้าในการทำเด็กหลอดแก้วได้ตลอดทุกช่วงเวลา
คุณจะได้ตามติดทุกข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ ถึงการเปลี่ยนแปลงของทุกขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้วผ่านทางแอปพลิเคชั่น และยังสามารถเปลี่ยนภาษาได้ถึง 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน เพื่อรองรับกลุ่มผู้เข้ารับบริการได้กว้างขวางขึ้น
เครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกทุกส่วนภายใน Prime Fertility Clinic ยังอยู่ในระดับมาตรฐานสากล มีการทำความสะอาด และฆ่าเชื้อเพื่อสุขอนามัยที่ดีต่อว่าที่คุณพ่อและคุณแม่ทุกคู่ มีเจ้าหน้าที่คอยประจำให้บริการ รวมถึงตอบทุกข้อสงสัยในระหว่างเข้ามาที่คลินิกอยู่ตลอด
รับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยความใส่ใจและประสบการณ์ที่ยาวนานจากบุคลากรที่ Prime Fertility Clinic เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับเส้นทางการมีสมาชิกใหม่ของครอบครัว หรือซื้อแพ็กเกจทำเด็กหลอดแก้วด้วยเทคนิค IVF หรือ ICSI ของ Prime Fertility Clinic ได้ที่เว็บไซต์ HDmall.co.th