face lift scaled

ดึงหน้า จบปัญหาความหย่อนคล้อย

ปัจจุบันมีเทคนิคการยกกระชับผิวมากมายหลายรูปแบบให้ผู้เข้ารับบริการเลือกใช้ ทั้งการฉีด Botulinum toxin A การทำไฮฟู่ การทำเทอร์มาจ อย่างไรก็ตาม วิธีเหล่านี้จัดเป็นวิธีลดความหย่อนคล้อยชั่วคราว และมักเห็นผลได้แค่ในหลักเดือนหรือไม่กี่ปีเท่านั้น ผ่านไประยะเวลาหนึ่งก็ต้องกลับมาทำซ้ำเพื่อคงสภาพผิวเอาไว้ ต่างจากวิธียกกระชับผิวแบบผ่าตัด หรือที่หลายคนเรียกว่า “การดึงหน้า” ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาความหย่อนยานของเนื้อผิวที่เห็นผลได้นานถึงหลายปีโดยไม่ต้องกลับมาพบแพทย์ซ้ำ

มีคำถามเกี่ยวกับ ดึงหน้า? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ในบทความนี้ HDmall.co.th จะมาเจาะลึกเกี่ยวกับวิธีเสริมความงามที่เรียกว่า การดึงหน้า อย่างละเอียดว่าใครเหมาะกับบริการนี้ และต้องมีการดูแลตนเองเพิ่มเติมอย่างไรทั้งก่อนและหลังจากรับบริการ

ดึงหน้าคืออะไร?

ดึงหน้า (Face lift) คือ การแก้ปัญหาความหย่อยคล้อยของผิวหน้าที่มักมีสาเหตุหลักมาจากอายุที่มากขึ้น ผ่านวิธีการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อดึงเนื้อผิวให้กลับมาตึงกระชับขึ้นอีกครั้ง

ดึงหน้ามีกี่แบบ?

การดึงหน้าเป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาผิวที่มีมาอย่างยาวนาน และได้พัฒนาเทคนิคการผ่าตัดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดความซับซ้อนในการผ่าตัด ผลข้างเคียง รวมถึงทำให้ผิวหน้าที่ได้รับการแก้ไขดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น

1. การผ่าตัดดึงหน้าบริเวณชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ

มีอีกชื่อเรียกว่า “ดึงหน้าชั้น SMAS” เป็นเทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยแพทย์จะผ่าตัดเลาะเนื้อผิวลงไปยังชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อส่วนบน หรือชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) แล้วปรับดึงเนื้อผิวชั้นนี้ให้ตึง รวมถึงตัดแต่งเนื้อผิวส่วนที่หย่อนยานมากทิ้งไป

2. การผ่าตัดดึงหน้าโดยไม่ใช้ยาสลบ

เป็นเทคนิคการดึงหน้าที่มีขั้นตอนการผ่าตัดไม่ต่างกับการผ่าตัดในข้อหนึ่ง แต่จะแตกต่างในส่วนของการงดใช้ยาสลบ เพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแพ้ยาสลบ อาการง่วงซึม หรือมึนเบลอหลังจากผู้เข้ารับบริการตื่นขึ้นมา และแพทย์จะฉีดเพียงในส่วนของยาชาเพื่อป้องกันอาการเจ็บให้เท่านั้น

การพิจารณาผ่าตัดดึงหน้าโดยไม่ใช้ยาสลบจะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับบริการ เงื่อนไขการให้บริการในแต่ละสถานพยาบาล และตามดุลยพินิจของแพทย์

3. การผ่าตัดดึงหน้าโดยใช้ Endotine

เอนโดไทน์ (Endotine) คือ วัสดุขนาดไม่ถึง 1 เซนติเมตรที่มีรูปร่างคล้ายกับหมุดเล็กๆ มีก้านคล้ายกับหนามยื่นออกมาทั่วบริเวณหมุด ใช้สำหรับดึงผิวหน้าให้ตึงกระชับโดยเฉพาะ ผ่านการผ่าตัดเปิดเนื้อผิว จากนั้นใส่เอนโดไทน์ลงไปตามตำแหน่งต่างๆ เพื่อยึดและดันผิวที่หย่อนคล้อยหรือยุบตัวลงจนเห็นเป็นร่องให้กลับมาตึงอีกครั้ง เหมือนกับการใช้หมุดยึดผ้าผืนหนึ่งที่กำลังหย่อนและมีรอยยับให้กลับมาตึงแน่นทุกมุม

วัสดุเอนโดไทน์ที่นำมาใช้ในการดึงหน้ามักเป็นวัสดุที่สามารถละลายเองได้ตามธรรมชาติ ไม่สร้างอันตรายต่อเนื้อเยื่อ และยังมีหลายชนิดเพื่อให้เลือกใช้ได้กับบริเวณต่างๆ ของใบหน้าได้อย่างหลากหลาย เช่น

  • Endotine Forehead เป็นหมุดขนาดเล็กมีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยม ใช้สำหรับดึงหน้าส่วนหน้าผาก อาจรวมถึงร่องเหนือคิ้วด้วย
  • Endotine TransBleph เป็นก้านหมุดที่มีหนามยื่นออกมาสามส่วนคล้ายกับส้อม ใช้สำหรับยกหางคิ้ว เพิ่มระยะของชั้นตาเพื่อแก้ปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ดวงตาเศร้า และปรับให้ดวงตาดูกลมโตขึ้น
  • Endotime Midface เป็นก้านหมุดยาวที่ส่วนปลายเป็นวงกลม ใช้สำหรับดึงผิวแก้มที่หย่อนจนเห็นร่องแก้มชัด
  • Endotine Ribbon เป็นเส้นหมุดขนาดเล็กเป็นก้านยาวเหมือนริบบิ้น มีหนามเล็กๆ ตั้งแต่ต้นจรดปลาย ใช้สำหรับดึงผิวส่วนล่างของใบหน้า เช่น มุมปาก ลำคอ กรอบหน้าที่ผิวหย่อนยาน ไม่ดูอ่อนเยาว์

4. การผ่าตัดดึงหน้าโดยการส่องกล้อง (Endoscopic lift)

อีกเทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าแบบใหม่เพื่อให้ได้แผลที่เล็กกว่าและไม่ต้องพักฟื้นนาน ผ่านการใช้อุปกรณ์กล้องขนาดเล็กในการผ่าแยกชั้นผิวออก แล้วจึงดึงเนื้อผิวส่วนที่มีปัญหาให้กลับมาตึงและดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง

การผ่าตัดดึงหน้าแบบส่องกล้องมักนำมาใช้ทดแทนเทคนิคการผ่าตัดดั้งเดิมซึ่งจะต้องมีการกรีดเปิดผิวขนาดใหญ่ และยังนิยมใช้ในการผ่าตัดร่วมกับใช้วัสดุเอนโดไทน์ด้วย เพื่อให้แพทย์หาตำแหน่งในการติดตั้งเอนโดไทน์ได้อย่างแม่นยำร่วมกับมีแผลหลังผ่าตัดขนาดเล็กและในตำแหน่งที่ยากจะสังเกตเห็น

ดึงหน้าส่วนไหนได้บ้าง?

การดึงหน้าเป็นการทำหัตถการที่สามารถปรับความกระชับของผิวหน้าได้อย่างทั่วถึงแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็น

  • หน้าผาก
  • หางตา
  • หนังตา
  • หัวคิ้ว
  • ร่องแก้ม
  • มุมปาก
  • กรอบหน้าหรือกราม
  • ผิวคอ

การดึงหน้าไม่จำเป็นต้องทำกับผิวหน้าทุกส่วนเสมอไป ผู้เข้ารับบริการสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ในการเลือกบริเวณสำหรับผ่าตัดดึงหน้าได้ หรือแพทย์เป็นผู้ประเมินถึงบริเวณที่ควรรักษาผ่านการดึงหน้ามากที่สุด

ดึงหน้าอยู่ได้กี่ปี?

การดึงหน้าเป็นการรักษาความงามที่อยู่ในระดับกึ่งถาวร ผลลัพธ์หลังทำจะคงอยู่ได้ประมาณ 5-10 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับปัญหาผิวและการดูแลบำรุงผิวหลังทำ

มีคำถามเกี่ยวกับ ดึงหน้า? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ดึงหน้าเหมาะกับใคร?

กลุ่มผู้ที่เหมาะกับการดึงหน้า คือ กลุ่มผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนยาน ไม่กระชับบริเวณใบหน้า จนเกิดปัญหาผิวดังต่อไปนี้

  • หนังตาตก คิ้วตก
  • ปัญหาตาหลบใน
  • มีรอยเหี่ยวย่นที่หน้าผากชัดเจน
  • มีปัญหาร่องลึกหรือรอยขมวดคิ้วระหว่างคิ้วสอง 2 ข้าง
  • ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อตาหย่อน
  • ผู้ที่มีปัญหาตาเศร้า หรือเปลือกตาหย่อน
  • ร่องแก้มเห็นเป็นเส้นชัด
  • ผิวแก้มหย่อนหรือห้อย
  • กรอบหน้าไม่ชัด ไม่เป็นวีไลน์ หรือมีเหนียงเยอะ
  • ผิวลำคอมีเนื้อเยอะและหย่อนคล้อย

นอกจากนี้วิธียกกระชับผิวผ่านการดึงหน้า ยังเหมาะกับผู้มีความต้องการวิธีรักษาความหย่อนคล้อยของผิวแบบเห็นผลลัพธ์ได้กึ่งถาวร คงอยู่ได้นานหลายปี และไม่ต้องกลับมาพบแพทย์บ่อยๆ รวมถึงผู้ที่ผ่านการยกกระชับผิวด้วยวิธีอื่นๆ มาแล้ว แต่ยังรู้สึกไม่พึงพอใจ และอยากใช้วิธีผ่าตัดแก้ปัญหาผิวแทน

ข้อดีของการดึงหน้า

จุดเด่นของการดึงหน้าคือ สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยของผิวได้อย่างครอบคลุมทุกส่วนบนใบหน้า ทำให้สามารถเลือกตำแหน่งในการทำได้อย่างหลากหลายและเฉพาะจุด และยังถือเป็นการแก้ปัญหาผิวที่อยู่ได้นาน ต่างจากการรักษาความหย่อนคล้อยผ่านวิธีอื่นๆ

ข้อเสียของการดึงหน้ามีอะไรบ้าง? แผลเห็นชัดหรือไม่?

ถึงแม้การดึงหน้าจะช่วยลดปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าได้ทั่วถึง และยังเป็นวิธีรักษาความงามที่ทำกันมาอย่างยาวนาน แต่การดึงหน้าก็ยังมีข้อจำกัดที่ควรจะทราบ เพื่อประกอบการพิจารณารับบริการ เช่น

  • ต้องรับบริการกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น มิฉะนั้นใบหน้าที่ได้รับการดึงผิวแล้วอาจดูมีโครงหน้าที่แปลกไปและดูไม่สวยงามอย่างที่คาดหวัง ทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกผิดหวังกับผลลัพธ์หลังทำได้
  • ยังต้องมีการพักฟื้นหลังรับบริการ เพื่อสังเกตดูอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อบรรเทาอาการเจ็บระบมแผลหลังผ่าตัด
  • มีรอยแผลเป็น เพราะเป็นการผ่าตัดที่ต้องมีการเปิดเนื้อผิว แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาวิธีผ่าตัดให้แผลจากการดึงหน้าซ่อนอยู่บริเวณที่อำพรางต่อการมองเห็นจากคนภายนอกแล้ว เช่น บริเวณไรผม ตรงขมับ หรือบนหนังศีรษะ นอกจากนี้ยังมีขนาดเล็กไม่กี่เซนติเมตร ซึ่งยากต่อการสังเกตเห็นด้วย
  • ผลลัพธ์ไม่คงอยู่ตลอดไป แม้หลายสถานพยาบาลมักจะหยิบยกข้อมูลว่า การดึงหน้าสามารถทำให้ปัญหาผิวหย่อนยานบรรเทาลงไปได้ถึง 5-10 ปี แต่ความจริงแล้วผลลัพธ์จากการดึงหน้าจะคงอยู่ไปได้กี่ปีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะสภาพผิวและการดูแลตนเองหลังทำ ซึ่งจะแตกต่างและมีระยะเวลาของผลลัพธ์ไม่เท่ากัน

ดึงหน้าไม่เหมาะกับใคร?

  • ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับช่วงเวลาที่สามารถรับบริการได้ ซึ่งต้องผ่านพ้นการคลอดและให้นมบุตรไปก่อน
  • ผู้ที่มีปัญหาแพ้ยาสลบหรือยาชา
  • ผู้ที่มีประวัติโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด มีปัญหาเลือดหยุดยาก โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ผู้ที่กำลังป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ ภาวะผิวหนังติดเชื้อ

นอกจากนี้ยังควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับระยะเวลาของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเสียก่อน เพื่อจะได้เข้าใจถึงกลไกการเปลี่ยนแปลงและความเสื่อมของผิวที่เป็นไปตามอายุ และอาจไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นตลอดไปได้

ดึงหน้าบวมกี่วัน?

หลังจากรับบริการผ่าตัดดึงหน้าแล้ว ผู้เข้ารับบริการอาจเผชิญกับอาการผิวบวมบริเวณผ่าตัดได้ โดยระยะเวลาที่ผิวบวมโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1-4 สัปดาห์ แตกต่างกันไปตามการตอบสนองต่อการผ่าตัดของแต่ละบุคคล รวมถึงเทคนิคการผ่าตัดเพื่อลดปัญหาแผลบวมหลังผ่าของแต่ละสถานพยาบาล

การเตรียมตัวก่อนดึงหน้า

เพื่อลดอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัด และเพื่อสุขอนามัยที่สะอาดและพร้อมต่อการทำหัตถการ ผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ก่อนเข้ารับการผ่าตัดดึงหน้า

  • แจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา แพ้สารเคมี ยาประจำตัวที่กำลังใช้อยู่ทั้งหมดให้แพทย์ทราบ
  • งดยาบางกลุ่มก่อนรับบริการ เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยาที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือหากไม่แน่ใจยากลุ่มใด ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับบริการล่วงหน้า
  • งดสูบบุหรี่และงดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป
  • อาบน้ำทำความสะอาดผิวให้เรียบร้อยก่อนเดินทางมาผ่าตัด
  • ถอดเครื่องประดับ อุปกรณ์ที่เป็นโลหะทุกชนิดออกจากร่างกาย
  • งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดเป็นระยะเวลา 6-8 ชั่วโมง
  • ลางานหรือลาหยุดล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อพักฟื้นแผลหลังผ่าตัด

ขั้นตอนการดึงหน้าเป็นอย่างไร?

การผ่าตัดดึงหน้าจะใช้เวลาโดยประมาณ 2-4 ชั่วโมง กระบวนการในการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับแต่ละสถานพยาบาล แต่โดยทั่วไปมีขั้นตอนต่อไปนี้

  • แพทย์ให้ยาชาและยาสลบ หรืออาจให้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ก่อนผ่าตัด
  • แพทย์กรีดเปิดแผลที่หนังศีรษะ ไรผม ขมับ หรือหลังใบหู ขึ้นอยู่กับเทคนิคและวิธีการที่เลือกใช้
  • แพทย์เลาะผิวหนังแต่ละชั้น จากนั้นดึงเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวส่วนบนให้ตึง หรือติดตั้งเอนโดไทม์ลงไป รวมถึงอาจพิจารณาตัดผิวหนังที่หย่อนยานมากๆ บางส่วนออก
  • แพทย์เย็บปิดผิวหนังด้วยไหมเส้นเล็ก

การดูแลตนเองหลังดึงหน้า?

ในส่วนของการดูแลแผลหลังจากดึงหน้า ผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • ประคบเย็นบริเวณแผลเพื่อลดอาการบวมและเจ็บระบมประมาณ 3 วัน
  • นอนหมอนสูงลดอาการบวมประมาณ 3-7 วันหลังผ่าตัด
  • งดการทำกิจกรรมที่อาจเสี่ยงทำให้ใบหน้า ศีรษะ และลำคอถูกกระแทกเป็นเวลา 1 สัปดาห์
  • งดออกกำลังกายและใช้กิจกรรมที่ออกแรง 2 สัปดาห์
  • งดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่แบบระยะยาว เพื่อลดโอกาสแผลอักเสบหรือติดเชื้อ
  • อย่าให้แผลโดนน้ำ 1 สัปดาห์
  • ทำความสะอาดแผลผ่านการใช้สำลีชุบน้ำเกลือแล้วเช็ดแผลเบาๆ
  • หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์สามารถสระผมได้ แต่ให้งดเกา หรือใช้นิ้วฟอกผิวบริเวณแผลและรอบๆ แผล
  • ใช้ครีมขี้ผึ้งฆ่าเชื้อทาที่แผลเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น โดยอาจขอซื้อเพิ่มจากทางสถานพยาบาล
  • ผู้เข้ารับบริการอาจได้รับผ้ารัดใบหน้าเพื่อใช้รัดผิวหน้าเอาไว้ให้ตึงอย่างน้อย 7-10 วันหลังผ่าตัด
  • กินยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • งดย้อมสีผมหรือทำเคมีกับผมนาน 1 เดือนหลังผ่าตัด เพราะอาจไปสร้างความกระทบกับเทือนกับแผลได้
  • เดินทางมาตัดไหมและตรวจเช็กแผลกับแพทย์ตามนัด โดยแพทย์อาจนัดให้ตรวจหลังผ่าตัด 7 วัน, 1 สัปดาห์, 3 เดือน และ 6 เดือน

สำหรับการดูแลผิวเพื่อให้คงผลลัพธ์จากการดึงหน้าไว้ให้ได้นานที่สุด มีดังต่อไปนี้

  • งดการออกไปสัมผัสแสงแดดจัดอย่างต่อเนื่อง เพราะจะทำให้เซลล์ผิวเสื่อมและทำให้ความหย่อนยานของผิวกลับมา
  • งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่แบบระยะยาว เพราะสารพิษจากทั้ง 2 อย่างนี้มีแต่จะไปทำให้สภาพผิวเสื่อมโทรมลงกว่าเดิม
  • พักผ่อนให้เพียงพอทุกคืน
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงอาหารที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุเสริมที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ
  • หมั่นใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือมีการดูแลผิวเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อให้สุขภาพผิวดีอยู่เสมอ โดยอาจปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่เหมาะสมกับตัวผู้เข้ารับบริการ
  • งดการกด นวด หรือถูผิวหน้าแรงๆ บ่อยๆ

วิธีการเหล่านี้เป็นเพียงวิธีสร้างโอกาสให้สุขภาพผิวหลังดึงหน้าดีขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ความหย่อนคล้อยที่อาจกลับมาในภายหลังบรรเทาช้าลงไป อย่างไรก็ตาม ความยาวนานของผลลัพธ์จากการดึงหน้าก็ขึ้นอยู่กับแต่ละตัวบุคคล ซึ่งไม่สามารถตีออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการดึงหน้า

อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ จากการดึงหน้า ได้แก่ ผิวบวม แผลมีรอยจ้ำช้ำ อาการปวดหรือเจ็บระบมแผล ซึ่งเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง อาการเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่หากคุณเผชิญกับอาการข้างเคียงอื่นๆ ดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงขึ้นได้ ให้รีบกลับมาพบแพทย์โดยด่วน

  • รอยแผลมีเลือดออก
  • แผลส่งกลิ่นเหม็น หรือมีน้ำหนองไหลออกมา
  • เป็นไข้สูงหรือรู้สึกหนาวสั่น
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • มีอาการที่อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท

ดึงหน้าพักฟื้นนานไหม?

โดยปกติระยะเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดดึงหน้าจะอยู่ที่ 2-4 สัปดาห์

ในปัจจุบันได้มีเทคนิคการผ่าตัดใหม่ๆ เข้ามา เพื่อลดข้อจำกัดด้านการพักฟื้นที่ยาวนานให้สั้นลงอีก ดังนั้นระยะเวลาในการพักฟื้นของผู้เข้ารับบริการแต่ละท่านจะขึ้นอยู่กับคำแนะนำให้แพทย์เป็นหลัก

มีคำถามเกี่ยวกับ ดึงหน้า? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ