Amitriptyline (อะมิทริปไทลิน)

ยา amitriptyline (อะมิทริปไทลิน) ใช้สำหรับรักษาอาการผิดปกติทางจิตใจ อารมณ์ เช่น ภาวะซึมเศร้า (depression) ยานี้จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นและรู้สึกมีความสุขมากขึ้น, ช่วยคลายความวิตกกังวลและความตึงเครียด, ช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น, และช่วยให้ร่างกายมีระดับพลังงานมากขึ้น ยา amitriptyline เป็นยาในกลุ่ม tricyclic antidepressants ยาจะออกฤทธิ์โดยไปปรับสมดุลของสารเคมีตามธรรมชาติในสมอง (สารสื่อประสาท เช่น ซีโรโทนิน (serotonin))

สรรพคุณของยา amitriptyline

  1. รักษาโรคซึมเศร้า: ช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนินและนอร์อิพิเนฟริน ซึ่งมีผลทำให้ความรู้สึกซึมเศร้าลดลง และช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น
  2. บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง: นอกจากใช้รักษาโรคซึมเศร้าแล้ว Amitriptyline ยังใช้บรรเทาอาการปวดที่เกิดจากสภาวะทางประสาท เช่น โรคปวดประสาท (Neuropathic Pain) หรือโรคปวดศีรษะไมเกรนในบางกรณี
  3. รักษาอาการนอนไม่หลับ: ยามีผลข้างเคียงที่ทำให้ผู้ใช้เกิดความง่วง ซึ่งสามารถใช้ในปริมาณน้อยเพื่อช่วยรักษาภาวะนอนไม่หลับในบางราย
  4. รักษาอาการนอนกัดฟันและโรคสมาธิสั้นในเด็ก (ADHD): ในบางกรณี ยานี้ถูกใช้ในปริมาณน้อยเพื่อช่วยรักษาอาการที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า เช่น นอนกัดฟัน หรือใช้เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคสมาธิสั้น

วิธีใช้ยา amitriptyline

อ่านคำแนะนำในการใช้ยาที่ได้รับจากเภสัชกรก่อนใช้ยานี้ และในทุกครั้งที่มารับยาซ้ำ หากมีคำถามใดๆ ให้สอบถามจากแพทย์หรือเภสัชกร

โดยทั่วไปจะรับประทานยานี้วันละ 1-4 ครั้ง ปริมาณส่วนใหญ่จะเป็น Amitriptyline 10 mg หรือตามที่แพทย์สั่ง

หากแพทย์สั่งให้คุณรับประทานยานี้วันละ 1 ครั้ง แนะนำให้รับประทานก่อนนอน เพื่อช่วยลดอาการง่วงนอนระหว่างวัน ขนาดยาที่คุณได้รับจะขึ้นกับสภาวะโรคและการตอบสนองต่อการรักษาของคุณ

เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น อาการง่วงนอน, ปากแห้ง, เวียนศีรษะ) แพทย์อาจให้คุณเริ่มยาจากขนาดต่ำก่อนและค่อยๆ ปรับเพิ่มขนาดยาขึ้น ดังนั้นคุณจึงต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

รับประทานยานี้เป็นประจำทุกวันเพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาเต็มที่ โดยแนะนำให้รับประทานในเวลาเดียวกันของทุกวันเพื่อป้องกันการลืมรับประทานยา ไม่ปรับเพิ่มขนาดยาเอง หรือใช้ยามากกว่าจำนวนครั้งที่แพทย์สั่ง หรือใช้ยานานกว่าที่แพทย์สั่ง เพราะไม่ช่วยให้อาการหายเร็วขึ้น แต่จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงจากยา

สิ่งสำคัญ คือ คุณต้องรับประทานยานี้ต่อเนื่องแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม ห้ามหยุดยาเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ อาการบางอย่างอาจแย่ลงได้หากหยุดยากะทันหัน และการหยุดยาอาจทำให้มีอาการ เช่น อารมณ์แปรปรวน, ปวดศีรษะ, อ่อนเพลีย และการนอนหลับเปลี่ยนแปลงไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการดังกล่าวขณะหยุดยา แพทย์อาจค่อยๆ ปรับลดขนาดยาลงจนกระทั่งหยุดยาได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และหากมีอาการที่เกิดขึ้นใหม่หรือมีอาการแย่ลง ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที

ยานี้จะยังไม่ออกฤทธิ์ในทันที แต่คุณจะเริ่มสังเกตเห็นประโยชน์ที่ได้รับจากยาได้ภายใน 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม อาจใช้เวลานานถึง 4 สัปดาห์ก่อนที่จะได้ผลจากการรักษาเต็มที่

แจ้งแพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแย่ลง เช่น อาการเศร้าแย่ลง เศร้ามากขึ้น หรือมีความคิดฆ่าตัวตาย

อันตรายและผลข้างเคียงของยา amitriptyline

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา amitriptyline ได้แก่ ง่วงนอน, เวียนศีรษะ, ปากแห้ง, ตาพร่า, ท้องผูก, น้ำหนักเพิ่ม, ปัสสาวะคั่ง ปัสสาวะลำบาก หากอาการเหล่านี้ไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแย่ลง ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที

  • วิธีลดความเสี่ยงต่ออาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ให้ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ ทั้งจากท่านั่งหรือท่านอน
  • วิธีบรรเทาอาการปากแห้ง ให้อมลูกอม (ที่มีน้ำตาลน้อย) หรือน้ำแข็งก้อนเล็กๆ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง (ที่มีน้ำตาลน้อย) ดื่มน้ำ หรือใช้น้ำลายเทียม (saliva substitute)
  • วิธีป้องกันอาการท้องผูก ให้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง, ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน และออกกำลังกาย หากคุณมีอาการท้องผูกขณะใช้ยานี้ ให้ปรึกษาเภสัชกรสำหรับคำแนะนำในการใช้ยาระบาย

โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์สั่งยานี้ให้กับคุณ เพราะว่าแพทย์ได้ประเมินแล้วว่าคุณจะได้รับประโยชน์จากยานี้มากกว่าความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง ผู้ป่วยหลายรายที่ใช้ยานี้ไม่เกิดอาการข้างเคียงร้ายแรงจากยา

แจ้งแพทย์ทันทีหากคุณมีอาการข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่ร้ายแรง ได้แก่ เลือดออกง่าย ฟกช้ำง่าย, แสบร้อนยอดอกเรื้อรัง, ใบหน้าเหมือนใส่หน้ากาก (หน้าไม่ยิ้ม), กล้ามเนื้อเกร็ง, ปวดท้องรุนแรง, ความสามารถทางเพศสัมพันธ์ลดลง, อารมณ์ทางเพศลดลง, เต้านมโต เจ็บที่เต้านม

ให้รีบไปพบแพทย์ทันที หากคุณมีอาการข้างเคียงที่ร้ายแรงมาก ได้แก่ อุจจาระมีสีดำ, อาเจียนออกมาลักษณะเหมือนกากกาแฟ, เวียนศีรษะรุนแรง, หน้ามืด เป็นลม, อาการชัก, ปวดตา ตาบวม ตาแดง, รูม่านตาขยาย, การมองเห็นผิดปกติไป (เช่น มองเห็นรุ้งรอบๆ แสงไฟตอนกลางคืน)

ยานี้ยังอาจทำให้เกิดอาการร้ายแรงมากที่พบได้น้อย คือ กลุ่มอาการ neuroleptic malignant syndrome (NMS) โดยให้ไปพบแพทย์ทันทีถ้าคุณมีอาการดังต่อไปนี้: มีไข้, กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง, สับสนรุนแรง, เหงื่อออก, หัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะ

ปฏิกิริยาการแพ้ยานี้ เป็นเรื่องที่พบได้น้อย อย่างไรก็ตามถ้าเกิดอาการใดๆ ของการแพ้ยาให้รีบไปพบแพทย์ทันที ได้แก่ ผื่น, คัน บวม (โดยเฉพาะที่หน้า ลิ้น คอ), เวียนศีรษะรุนแรง, หายใจลำบาก

อาการข้างเคียงที่กล่าวไว้ข้างต้นไม่ใช่อาการข้างเคียงทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นถ้าคุณมีอาการผิดปกติใดๆ ที่ไม่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

ข้อควรระวังในการใช้ยา amitriptyline

ถ้าคุณแพ้ยา amitriptyline หรือแพ้ยาอื่นในกลุ่ม tricyclic antidepressants (เช่น nortriptyline) หรือแพ้สิ่งอื่นๆ ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนได้รับยานี้ ผลิตภัณฑ์ยานี้อาจประกอบด้วยสารไม่ออกฤทธิ์อื่นซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการแพ้หรือปัญหาอื่นได้ ให้ปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ก่อนการใช้ยา amitriptyline ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับเลือดออก, หายใจลำบาก, โรคตับ, เพิ่งมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด, มีปัญหาในการปัสสาวะ (เช่น ต่อมลูกหมากโต), มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (hyperthyroidism), มีประวัติส่วนตัวหรือประวัติครอบครัวเป็นต้อหินชนิดมุมปิด (angle-closure type glaucoma), ตนเองหรือบุคคลในครอบครัวมีประวัติมีความผิดปกติทางจิตใจ อารมณ์ เช่น โรคไบโพลาร์ (bipolar disorder), โรคจิตเภท, มีประวัติคนในครอบครัวฆ่าตัวตาย, อาการชัก, มีสภาวะที่อาจทำให้มีอาการชักง่ายขึ้น (เช่น โรคทางสมองอื่นๆ, การถอนแอลกอฮอล์)

ยา amitriptyline อาจเป็นสาเหตุของหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดคลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วง QT ยาว (QT prolongation) หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด QT prolongation เป็นสภาวะที่พบได้น้อยแต่ร้ายแรง (อาจทำให้เสียชีวิตได้) ผู้ป่วยจะมีอาการหัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นผิดจังหวะ และมีอาการอื่นๆ เช่น เวียนศีรษะรุนแรง หน้ามืด ซึ่งต้องรีบทำการรักษาทันที

ความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิด QT prolongation อาจเพิ่มขึ้นในผู้ที่มีโรคบางโรค หรือกำลังใช้ยาบางชนิดที่อาจเป็นสาเหตุของ QT prolongation อยู่แล้ว ดังนั้นก่อนใช้ยา amitriptyline คุณต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ รวมถึงหากเป็นโรคดังต่อไปนี้ โรคหัวใจบางชนิด (หัวใจวาย, หัวใจเต้นช้า, พบคลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วง QT ยาวจากการตรวจ EKG), มีคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจบางชนิด (พบคลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วง QT ยาวจากการตรวจ EKG, คนในครอบครัวเสียชีวิตจากหัวใจวาย)

การที่ร่างกายมีระดับโพแทสเซียม (potassium) หรือ แมกนีเซียม (magnesium) ในเลือดต่ำ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด QT prolongation โดยความเสี่ยงอาจเพิ่มขึ้นถ้าคุณใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาขับปัสสาวะ) หรือมีอาการเหงื่อออกรุนแรง ท้องเสียรุนแรง หรืออาเจียนรุนแรง ดังนั้นให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีในการใช้ยา amitriptyline อย่างปลอดภัย

ยา amitriptyline อาจทำให้มีอาการเวียนศีรษะ หรือง่วงนอน หรือตาพร่ามัวได้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้คุณมีอาการวิงเวียนศีรษะหรือง่วงนอนได้มากขึ้น ห้ามขับรถ, ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือทำกิจกรรมใดๆ ที่ต้องอาศัยการตื่นตัวหรือการมองเห็นที่ชัดเจน จนกว่าคุณจะทำกิจกรรมดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย แนะนำให้หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ให้แจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับรายการยา อาหารเสริม และสมุนไพรที่กำลังใช้อยู่

ยา amitriptyline อาจทำให้คุณมีความไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงแนะนำให้จำกัดระยะเวลาที่ต้องสัมผัสแสงแดด หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับหลอดไฟอุลตราไวโอเลต (sunlamps) และให้ทาครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้ามิดชิดขณะอยู่ในที่แจ้ง แจ้งแพทย์ทันทีหากคุณมีอาการผิวไหม้จากแดด หรือผิวหนังแดง ผิวหนังมีตุ่มพอง

ถ้าคุณเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ยานี้อาจทำให้คุณควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยากขึ้น คุณจะต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำและนำผลการตรวจนั้นไปให้แพทย์ดูด้วย ซึ่งแพทย์อาจจำเป็นต้องปรับยารักษาโรคเบาหวาน, ปรับโปรแกรมการออกกำลัง หรือปรับคำแนะนำในการรับประทานอาหาร

ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยามากกว่า โดยเฉพาะ ปากแห้ง, เวียนศีรษะ, ง่วงนอน, สับสน, ท้องผูก, ปัสสาวะลำบาก, หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด QT prolongation ซึ่งอาการเวียนศีรษะ ง่วงนอน และสับสนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุ

ระหว่างการตั้งครรภ์ ยานี้ควรใช้เฉพาะในกรณีที่ประเมินแล้วว่ามีความจำเป็นจริงๆ โดยให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ที่จะได้รับจากยานี้ขณะตั้งครรภ์

เนื่องจากโรคเกี่ยวกับอารมณ์ สภาพจิตใจผิดปกติ ที่ไม่ได้รับการรักษา (เช่น ซึมเศร้า, วิตกกังวล, โรคตื่นตระหนก) อาจเป็นอาการที่ร้ายแรงได้ ดังนั้นห้ามหยุดยาเองโดยแพทย์ไม่ได้สั่ง

หากคุณวางแผนตั้งครรภ์, กำลังตั้งครรภ์ หรือคิดว่าตัวเองอาจจะตั้งครรภ์ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยงของการใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์

ยานี้สามารถผ่านไปยังน้ำนมได้ และผลต่อทารกที่ดูดนมแม่ยังไม่ทราบแน่ชัด จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการให้นมบุตร

คำเตือนในการใช้ยา amitriptyline

ยาต้านเศร้า (antidepressant medications) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคได้หลายโรค ได้แก่ โรคซึมเศร้า และโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิต ความผิดปกติทางอารมณ์ (mental, mood disorders) โดยยาเหล่านี้จะช่วยป้องกันไม่ให้มีความคิดฆ่าตัวตาย และยังมีประโยชน์ที่สำคัญอื่นๆ กับตัวผู้ป่วยที่ใช้ยา อย่างไรก็ตามมีข้อมูลจากการศึกษาพบผู้ป่วยจำนวนน้อย (โดยเฉพาะผู้ที่อายุน้อยกว่า 25 ปี) ซึ่งใช้ยาต้านเศร้าสำหรับโรคใดๆ ก็ตาม อาจมีอาการซึมเศร้าแย่ลง, มีอาการของสภาวะทางจิตใจ อารมณ์แย่ลง, หรือมีความคิดฆ่าตัวตาย หรือพยายามฆ่าตัวตาย ดังนั้นสิ่งสำคัญมากๆ คือต้องปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ที่จะได้รับจากยาต้านเศร้า (โดยเฉพาะในผู้ที่อายุน้อยกว่า 25 ปี) แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ยานี้สำหรับโรคทางจิต หรืออารมณ์ก็ตาม

แจ้งแพทย์ทันที หากคุณมีอาการซึมเศร้าแย่ลง หรือมีอาการทางจิตที่แย่ลง, มีพฤติกรรมผิดปกติไป (รวมถึงความคิดฆ่าตัวตาย หรือพยายามฆ่าตัวตาย) หรือมีความเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจ อารมณ์ (มีอาการวิตกกังวล หรือวิตกกังวลมากกว่าเดิม, ตื่นตระหนก, มีปัญหาในการนอนหลับ, หงุดหงิด ฉุนเฉียว, รู้สึกเกลียด รู้สึกโกรธ, มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น, กระวนกระวายใจอย่างรุนแรง, พูดเร็วมาก โดยให้สังเกตอาการเหล่านี้เป็นพิเศษในช่วงเริ่มใช้ยาต้านเศร้า หรือเมื่อมีการปรับขนาดยา

ใครบ้างที่ไม่ควรใช้ยา amitriptyline

ผู้ป่วยที่มีสภาวะดังต่อไปนี้ ถือเป็นข้อห้ามในการใช้ยา amitriptyline หากคุณมีสภาวะดังรายละเอียดด้านล่าง ให้แจ้งแพทย์ทราบก่อนได้รับยา

  • ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (overactive thyroid gland)
  • อารมณ์ดีผิดปกติซึ่งสัมพันธ์กับโรคไบโพลาร์ (bipolar disorder)
  • มีความคิดฆ่าตัวตาย
  • โรคพิษสุรา (alcoholism)
  • ต้อหินชนิดมุมเปิด (Wide-Angle Glaucoma)
  • ต้อหินชนิดมุมปิด (closed angle glaucoma)
  • มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
  • หัวใจเต้นเร็วมาก – ภาวะ Torsades de Pointes
  • หัวใจเต้นเร็วชนิด Sinus Tachycardia
  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจพบคลื่นช่วง QT ยาว (prolonged QT interval on EKG)
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • คลื่นไฟฟ้า QT ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด
  • ความดันโลหิตต่ำขณะลุกขึ้นยืน
  • การทำงานของลำไส้อัมพาต (Paralysis of the Intestines)
  • โรคตับ
  • ต่อมลูกหมากโต
  • อาการชัก
  • มีปัญหาในการปัสสาวะออกจากร่างกาย
  • ท้องผูกเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เป็นผู้ที่มีการทำงานของเอนไซม์ CYP2D6 น้อยกว่าปกติ
  • แพ้ยาในกลุ่ม Tricyclic Compounds

ปฏิกิริยาระหว่างยา amitriptyline กับยาอื่น

การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา (drug interactions) อาจเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ของยาหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง ข้อมูลที่ระบุนี้ไม่ได้ครอบคลุมการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด ดังนั้นคุณต้องแจ้งแพทย์และเภสัชกรทราบทุกครั้งว่าคุณกำลังรับประทานยา อาหารเสริม สมุนไพร ใดอยู่ในขณะนี้ อย่าเริ่มยา หยุดยา หรือเปลี่ยนแปลงขนาดยาต่างๆ เอง โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์

ผลิตภัณฑ์บางชนิดที่อาจเกิดปฏิกิริยากับยา amitriptyline ได้แก่ disulfiram, ฮอร์โมนไทรอยด์, ยาอื่นที่ทำให้เกิดเลือดออกฟกช้ำได้ (รวมถึงยาต้านเกร็ดเลือด เช่น clopidogrel, NSAIDs เช่น ibuprofen, warfarin-anticoagulant, ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin, ยาในกลุ่ม anticholinergic drugs เช่น benztropine, ยาบางชนิดสำหรับรักษาความดันโลหิตสูง (ยาที่ออกฤทธิ์ที่สมอง เช่น clonidine)

การใช้ยาในกลุ่ม MAO inhibitors ร่วมกับยา amitriptyline อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยาที่ร้ายแรง (อาจทำให้เสียชีวิตได้) จึงต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่ม MAO inhibitors (isocarboxazid, linezolid, methylene blue, moclobemide, phenelzine, procarbazine, rasagiline, safinamide, selegiline, tranylcypromine) ระหว่างการรักษาด้วยยานี้ และยา MAO inhibitors ส่วนใหญ่ ควรเว้นระยะห่างในการใช้ยาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ทั้งก่อนและหลังการใช้ยา amitriptyline โดยให้ปรึกษาแพทย์ว่าเมื่อใดควรเริ่มยา และเมื่อใดควรหยุดยา

ยาอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการกำจัดยา amitriptyline ออกจากร่างกาย จะส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของ amitriptyline ได้แก่ ยา cimetidine, terbinafine, ยารักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ (เช่น quinidine/propafenone/flecainide), ยาต้านเศร้า (เช่น ยาในกลุ่ม SSRIs ได้แก่ paroxetine/fluoxetine/fluvoxamine) ซึ่งรายการยาที่กล่าวมานี้ไม่ใช่รายการยาทั้งหมดที่อาจส่งผลต่อการกำจัดยา amitriptyline ออกจากร่างกาย

ยาหลายๆ ชนิดนอกจากยา amitriptyline อาจส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจ (ทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วง QT ยาวขึ้น) ได้แก่ยา amiodarone, cisapride, dofetilide, pimozide, procainamide, quinidine, sotalol, ยาปฏิชีวนะกลุ่ม macrolide (เช่น erythromycin) ดังนั้นก่อนการใช้ยา amitriptyline คุณต้องแจ้งรายการยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ

แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณกำลังใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ง่วงนอน เช่น แอลกอฮอล์, ยาต้านฮีสตามีน (เช่น cetirizine, diphenhydramine), ยานอนหลับ หรือยารักษาอาการวิตกกังวล (เช่น alprazolam, diazepam, zolpidem), ยาคลายกล้ามเนื้อ, และยาแก้ปวดที่อาจทำให้เสพติดได้ (เช่น codeine)

อ่านฉลากยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ (เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้ไอ แก้หวัด) เพราะยาเหล่านี้อาจมีส่วนประกอบของยาแก้คัดจมูก หรือส่วนประกอบอื่นที่ทำให้ง่วงนอนได้ ปรึกษาเภสัชกรเกี่ยวกับวิธีในการใช้ยาเหล่านี้อย่างปลอดภัย

ยา aspirin จะเพิ่มโอกาสเกิดเลือดออกได้ถ้าใช้ร่วมกับยา amitriptyline อย่างไรก็ตาม ถ้าแพทย์สั่งยา aspirin ขนาดต่ำ (ระหว่าง 81-325 มิลลิกรัมต่อวัน) สำหรับรักษาโรคหัวใจ หรือป้องกันโรคหลอดเลือดสมองให้กับคุณ คุณควรรับประทานยาต่อ ยกเว้นแพทย์สั่งให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่น ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ยา amitriptyline คล้ายกับยา nortriptyline มากๆ ดังนั้นห้ามใช้ยาที่มีส่วนประกอบของ nortriptyline ขณะใช้ยา amitriptyline

การได้รับยา amitriptyline เกินขนาด

หากมีใครก็ตามที่ได้รับยา amitriptyline เกินขนาด จนทำให้เกิดอาการที่ร้ายแรง เช่น หมดสติ หรือหายใจลำบาก ให้รีบเรียกรถพยาบาลทันที โทร 1669

อาการของการได้รับยาเกินขนาดอาจได้แก่ ง่วงนอนอย่างมาก, ประสาทหลอน, หัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะ, เป็นลม, หายใจช้า หายใจตื้น, อาการชัก

หมายเหตุ

  • ห้ามแบ่งยานี้ให้ผู้อื่นใช้
  • แพทย์อาจนัดหมายคุณมาตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือตรวจทางการแพทย์ต่างๆ เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), ตรวจการทำงานของตับ, ตรวจระดับยา amitriptyline ในเลือด เพื่อติดตามอาการหรือติดตามอาการข้างเคียง ดังนั้นคุณต้องมาพบแพทย์ตามนัดเสมอ ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

หากลืมรับประทานยา amitriptyline

ถ้าคุณลืมรับประทานยานี้ ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ หากนึกได้เมื่อใกล้กับเวลาของมื้อถัดไป ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป รับประทานมื้อถัดไปตามปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า

คำถามเกี่ยวกับยา amitriptyline

ถาม: เคยไปปรึกษาแพทย์เรื่องโรคซึมเศร้า ได้ยามาสองตัวคือ nortriptyline 10mg กับ Amitriptyline 10mg เช้าเย็นตามลำดับ แต่หมอไม่ได้นัดต่อ พอยาหมดมาสามสัปดาห์รู้สึกอาการกลับมาอีกครั้ง แต่ยังไม่สะดวกไปหาหมอ จึงซื้อยามากินเอง แต่หาซื้อได้แค่ยา Amitriptyline 10mg สามารถกิน เช้าเย็นอย่างละเม็ดแทนได้หรือไม่คะ

ตอบ: แนะนำว่า ให้คนไข้ไปพบแพทย์นะคะ เนื่องจากเป็นยาที่มีความเสี่ยงค่ะ

  • ยา amitryptyine จัดอยู่ในกลุ่ม tricyclic antidepressants (TCAs) ยาตัวอื่น ๆ ในกลุ่มนี้ ได้แก่ desipramine (Norpramin), nortriptyline (Pamelor, Aventyl) และ imipramine (Tofranil) ยารักษาโรคซึมเศร้าเหล่านี้ออกฤทธิ์ยับยั้งการเก็บกลับของสารสื่อประสาท Epinephrine และ serotonin ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มยาอันตราย
  • การทานยามากเกินไป อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ เช่น serotonin syndrome คือ อาการทางระบบประสาทส่วนกลาง/สมอง ทางระบบประสาทอัตโนมัติ และทางกล้ามเนื้อ ที่เกิดร่วมกัน เช่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ เห็นภาพหลอน ในบางรายผู้ป่วยมีอาการชักร่วมด้วย โดยมีความรุนแรงของอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงมากจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต (ตาย) ได้

ดังนั้น แนะนำว่า หากยาหมด คนไข้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามอาการและผลข้างเคียง เนื่องจาก หากต้องใช้ยาระยะยาว จะมียาตัวใหม่ๆ ที่ผลข้างเคียงน้อยกว่า เหมาะกับคนไข้มากกว่าค่ะ

ตอบโดย พญ. พิศุทธิกาญจญ์ รังคกูลนุวัฒน์

ถาม: สวัสดีครับผมเป็นโรคซึมเศร้าครับแล้วเนื่องจากสถานการณ์โควิดผมจึงไม่ได้ไปหาหมอครับตัวยาที่กินล่าสุดคือ Zoloft 50 mg. Amitryptyline 10 mg. Rivoltril 0.5 mg.หลังจากที่ไม่ได้กินยาไปผมรู้สึกมีอาการหลับยากบางทีมันง่วงแต่นอนไม่หลับพอหลับก็จะหลับประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วก็ตื่นขึ้นมาบางวันก็ต้องใช้เวลามากกว่า 1ชั่วโมงถึงจะหลับอีกรอบ บางวันก็จะนอนไม่หลับเลยและตอนหลับก่อนนอนนั้นผมจะจำไม่ได้เลยว่าหลับไปตอนไหนรู้ตัวอีกทีคือตอนตื่น และพอเวลาทำกิจวัตรประจำวันต่างๆจะมีอาการวูบๆเหมือนจะหลับความรู้สึกอารมณ์เหมือนตอนจะหลับแล้วกระตุกไม่ให้ตัวเองหลับอะครับผมรู้สึกแปลกๆไม่เคยเป็นมาก่อนมันเป็นอาการปกติของคนที่ไม่ได้กินยาหรือเปล่าครับถ้าไม่อาการของผมนี่คืออาการอะไรมีความร้ายแรงไหมครับ และมีวิธีแก้ปัญหาอะไรก่อนไหมครับ

ตอบ: ถ้าหากที่ผ่านมาได้รับประทานยา Amitriptyline และ Rivotril ต่อเนื่องมาก่อน การหยุดรับประทานยาไปก็อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับมากขึ้นได้ครับ นอกจากนี้การรักษาโรคซึมเศร้าก็จำเป็นต้องมีการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง การหยุดรับประทานยาเองอาจมีผลให้อาการของโรคซึมเศร้ากลับมาเป็นมากขึ้นได้ครับ ในกรณีนี้หมอแนะนำว่ามีความจำเป็นต้องกลับไปพบจิตแพทย์เพื่อรับยามารับประทานต่อเนื่องก่อนครับ โดยในกรณีนี้อาจขอให้แพทย์จ่ายยามาให้ในปริมาณมากขึ้นได้ เพื่อให้ไม่ต้องไปพบแพทย์บ่อยๆครับ

ตอบโดย นพ. กันตณัฏฐ์ อยู่ตรีรักษ์ แพทย์ทั่วไป


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ

Scroll to Top