ปัสสาวะไม่ออก หนึ่งในอาการเกี่ยวกับการขับถ่ายที่หลายคนเผชิญ scaled

ปัสสาวะไม่ออก สาเหตุ อาการ วิธีรักษา

การปัสสาวะเป็นการขับถ่ายของเสียออกมาเป็นน้ำทุกวัน คนสุขภาพแข็งแรงดีจะปัสสาวะเฉลี่ยวันละ 6–8 ครั้ง แต่บางคนอาจต้องพบเจอกับอาการปัสสาวะไม่ออก (หรือฉี่ไม่ออก) ปัสสาวะไม่สุด หรือปัสสาวะขัด แม้จะดื่มน้ำตามปกติก็ตาม 

บทความนี้จะมาไขปัญหาอาการปัสสาวะไม่ออก ทั้งสาเหตุ ลักษณะอาการ และวิธีรักษาให้หายข้องใจกัน    

อาการปัสสาวะไม่ออก ฉี่ไม่ออก คืออะไร 

อาการปัสสาวะไม่ออก (Urinary Retention) หรือฉี่ไม่ออก พบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เป็นภาวะที่ถ่ายปัสสาวะออกมาไม่ได้ตามปกติ แม้จะรู้สึกปวดอยู่ก็ตาม หรือต้องใช้แรงเบ่งมากกว่าปกติ ถึงมีปัสสาวะออกมา 

สาเหตุของอาการปัสสาวะไม่ออก

อาการปัสสาวะไม่ออกมักมีสาเหตุมาจากโรค หรือความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น

    • นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (Bladder stone) เกิดจากการสะสมของตะกอนเกลือแร่ในน้ำปัสสาวะ อย่างแคลเซียม กรดยูริก จนกลายเป็นผลึกก้อนอยู่ในทางเดินปัสสาวะ และอุดกั้นไม่ให้ปัสสาวะได้ตามปกติ 
    • โรคต่อมลูกหมากโต (BPH: Benign prostatic hyperplasia) ต่อมลูกหมากที่มีขนาดโตขึ้นอาจกดท่อปัสสาวะให้ตีบลง ทำให้ปัสสาวะไม่ออก
    • การบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง (SCI: Spinal cord injury) อาการบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง ลากยาวไปจนถึงรากประสาท จะทำให้ระบบประสาทที่สั่งการทางเดินปัสสาวะทำงานผิดปกติ จนส่งผลให้ขับปัสสาวะออกไม่ได้ 
    • ภาวะท่อปัสสาวะตีบ (Urethral stricture) เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อุบัติเหตุบริเวณกระดูกเชิงกรานจนส่งผลต่อท่อปัสสาวะ หรือการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างโรคหนองใน 
    • อาการท้องผูก (Constipation) อุจจาระที่สะสมมาก ๆ จนอัดอยู่ในทวารหนัก อาจกดท่อปัสสาวะ ทำให้ขับปัสสาวะไม่ออกได้ 
    • อาการชา (Anethesia) ในกรณีนี้รวมไปถึงการให้ยาชา หรือการดมยาสลบด้วย ส่งผลกระทบให้ระบบประสาทที่สั่งการทางเดินปัสสาวะหยุดทำงานชั่วคราว
    • ภาวะเกี่ยวกับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic floor issues) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ควบคุมการกลั้นปัสสาวะโดยตรง ถ้ากล้ามเนื้อบริเวณนี้บาดเจ็บจากสาเหตุต่าง ๆ อย่างการคลอดบุตร ก็อาจส่งผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระบบประสาท ทำให้ปัสสาวะไม่ออกได้
    • ภาวะหูรูดท่อปัสสาวะบีบรัดตัวผิดปกติ (OAB: Overactive bladder) มักพบในผู้ที่เคยผ่าตัดทางทวารหนัก เช่น เป็นริดสีดวงทวาร หรือเคยได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง 
    • กล้ามเนื้อหูรูดเสื่อมสภาพจากอายุที่มากขึ้น
    • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาหดหลอดเลือด ยาต้านฮิสตามีนหรือยาแก้แพ้ชนิดหนึ่ง 
    • ความเสียหายของเส้นประสาท เป็นผลมาจากโรคบางโรค เช่น โรคเบาหวาน

ดังนั้น ถ้ามีอาการปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะขัด หรือรู้สึกว่าปัสสาวะผิดปกติไปจากเดิม ให้รีบพบแพทย์ทันที 

เมื่อพบแพทย์ ต้องแจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด รวมถึงพกยาที่กำลังใช้อยู่ไปด้วย เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัย

อาการแบบไหน เข้าข่ายปัสสาวะไม่ออก ฉี่ไม่ออก  

ผู้ที่มีอาการปัสสาวะไม่ออก ฉี่ไม่ออก มักจะมีอาการมากกว่า 1 เดือนไปจนถึงหลายปี และอาจมีอาการอื่น ๆ เกิดร่วมด้วย เช่น 

  • ต้องการปัสสาวะซ้ำอีกครั้ง แม้จะเพิ่งปัสสาวะเสร็จไป
  • ต้องออกแรงขับปัสสาวะมาก ๆ ถึงจะปัสสาวะออก
  • ไม่รู้ว่าตนเองปวดปัสสาวะ ความรู้สึกปวดปัสสาวะหายไป
  • ปัสสาวะบ่อยภายในระยะเวลาสั้น ๆ 
  • ปัสสาวะมากกว่า 8 ครั้งต่อวัน
  • ต้องตื่นนอนกลางดึกบ่อย ๆ เพื่อปัสสาวะ
  • มีปัสสาวะรั่วไหลระหว่างวัน
  • รู้สึกไม่สบายตัวหลังปัสสาวะเสร็จ หรือรู้สึกว่ายังปัสสาวะไม่สุด ทั้ง ๆ ที่ปัสสาวะหมดแล้ว
  • อาจคลำพบก้อนอยู่เหนือหัวหน่าว 

นอกจากนี้ อาการบางอย่างอาจบ่งบอกว่าอาการปัสสาวะไม่ออกอยู่ในระยะร้ายแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาจทำให้กระเพาะปัสสาวะอุดตันมากกว่าเดิม และเกิดการติดเชื้อตามมา ได้แก่ 

  • ขับปัสสาวะไม่ออก หรือไม่มีปัสสาวะออกมา แม้จะพยายามขับอย่างแรงแล้ว 
  • เมื่อต้องการปัสสาวะ จะมีอาการปวดปัสสาวะรุนแรงผิดปกติ
  • ท้องน้อยบวม หรือรู้สึกเจ็บท้องน้อย

อาการแทรกซ้อนของอาการปัสสาวะไม่ออก

  • ไตวาย จากการที่มีน้ำปัสสาวะสะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไป ทำให้ระบบกรองของเสียทำงานบกพร่อง และมีของเสียในร่างกายสะสมมากกว่าเดิม 
  • อาการตัวซีด มีภาวะเลือดเป็นกรด มีโพแทสเซียมในเลือดสูง เหนื่อยง่าย และอ่อนเพลีย จากของเสียที่สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ  
  • การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เพราะมีน้ำปัสสาวะที่เป็นของเสียค้างอยู่ในร่างกาย เมื่อสะสมมาก ๆ จะทำให้เกิดการติดเชื้อ บางรายอาจมีปัสสาวะสีขุ่นและมีหนองปน 
  • นิ่วในกระเพาะปัสสาวะจากน้ำปัสสาวะที่ค้างอยู่ข้างใน และสะสมจนกลายเป็นก้อนนิ่ว 
  • ภาวะกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเบ่งปัสสาวะโตผิดปกติหรือฝ่อ เกิดกระเปาะในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย 

ปัสสาวะไม่ออก กับ ปัสสาวะขัด แตกต่างกันอย่างไร

หลายคนอาจสับสนระหว่างอาการ “ปัสสาวะไม่ออก” กับ “ปัสสาวะขัด” ว่าแตกต่างกันอย่างไร

คำตอบคือ อาการปัสสาวะขัด คืออาการที่ผู้ป่วยยังปัสสาวะออกบ้าง แต่ทำได้ยาก หรือปัสสาวะกะปริบกะปรอย บางคนอาจมีเลือดปนในปัสสาวะ หรือปวดหน่วง ๆ ที่ท้องน้อยระหว่างปัสสาวะด้วย 

ส่วนอาการปัสสาวะไม่ออกนั้น ผู้ป่วยจะขับปัสสาวะออกมาไม่ได้เลย ทำให้น้ำปัสสาวะคั่งค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ตามมา 

ปัสสาวะไม่ออก ฉี่ไม่ออก รักษาได้ด้วยวิธีใดบ้าง 

เป้าหมายของการรักษาอาการปัสสาวะไม่ออก คือการปล่อยน้ำปัสสาวะที่สะสมอยู่ออกจากร่างกายให้หมด 

ถ้าเกิดปัสสาวะไม่ออกจากโรคหรือความผิดปกติต่าง ๆ แพทย์ก็จะรักษาไปตามสาเหตุนั้น ๆ เช่น 

  • การรับประทานยาฆ่าเชื้อ ในกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection)
  • การขยายท่อปัสสาวะ และใส่สายสวนปัสสาวะ เพื่อนำปัสสาวะออก ในกรณีที่เป็นท่อปัสสาวะตีบ
  • การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่ใส่สายสวนไม่ได้ เกิดการอุดกั้นที่ท่อปัสสาวะ หรือท่อปัสสาวะตีบมาก มักเป็นผลมาจากนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ โรคต่อมลูกหมากโต โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือเกิดจากภาวะกระเพาะปัสสาวะหย่อน (Cystocele)
  • การใส่ท่อระบายเข้าไปในท่อปัสสาวะ เพื่อป้องกันการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะในอนาคต
  • การสวนล้างก้อนเลือด ในกรณีที่มีก้อนเลือดไปอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ จากนั้นแพทย์จะใช้ไฟฟ้าจี้เพื่อห้ามเลือด และสวนล้างด้วยน้ำเกลือ

นอกจากนี้ ถ้าได้ยามาเพิ่ม ก็ต้องรับประทานให้หมดตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามหยุดก่อนหรือรับประทานเกิน เพื่อให้บรรเทาอาการได้เร็วขึ้น 

ปัสสาวะไม่ออก ฉี่ไม่ออก ป้องกันได้ 

เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือเกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ จนทำให้เกิดอาการปัสสาวะไม่ออก ฉี่ไม่ออก ปัสสาวะขัดตามมา จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และไม่กลั้นปัสสาวะ 

แม้ว่าปัสสาวะไม่ออกอาจดูเป็นอาการไม่รุนแรง เพียงแค่ทำให้รำคาญและไม่สบายตัว แท้จริงแล้ว อาจก่อให้เกิดภาวะผิดปกติหรือโรคต่าง ๆ ตามมาได้ 

เมื่อรู้สึกปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะไม่ออก หรือปัสสาวะแปลกไปจากเดิม อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที วินิจฉัยเร็ว รักษาไว หายได้แน่นอน   


คำถามที่พบบ่อย 


ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี

Scroll to Top