Default fallback image

รู้ครบ! ตรวจสุขภาพดวงตาผู้สูงอายุ ตรวจอะไรบ้าง ทำไมต้องตรวจ ตรวจบ่อยแค่ไหน

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งอายุมาก ยิ่งเสี่ยงปัญหาสุขภาพดวงตา การตรวจสุขภาพตาผู้สูงอายุเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก แล้วการตรวจสุขภาพตาต้องตรวจอะไรบ้าง ตรวจบ่อยแค่ไหน แล้วควรเตรียมตัวอย่างไรดี เรารวมคำตอบมาให้ในบทความนี้แล้ว 

ทำไมผู้สูงอายุควรตรวจสุขภาพดวงตา และควรตรวจบ่อยแค่ไหน

ต้องบอกว่าอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงดวงตาของคนเราจะเสื่อมสภาพตามธรรมชาติอยู่แล้ว เมื่ออายุมากขึ้น ผนวกกับปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อดวงตา เช่น พันธุกรรม โรคประจำตัว การใช้ยาบางชนิด อุบัติเหตุ หรือการผ่าตัด จึงมีโอกาสเป็นโรคทางตาสูงขึ้น 

โดยเฉพาะโรคทางตายอดฮิตอย่าง ต้อหิน (Glaucoma) ต้อกระจก (Cataracts) โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (Macular degeneration: MD) และโรคเบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy)

โรคทางตาบางโรคอาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวก็อาจเป็นหนักหรือรุนแรงจนสายเกินจะกลับมาเป็นปกติ เสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นทั้งชั่วคราวและถาวรได้ 

การตรวจสุขภาพดวงตาผู้สูงอายุ จึงไม่เพียงช่วยป้องกันโรค คัดกรองโรค นำไปสู่การวินิจฉัยที่ตรงจุด และเข้ารับการรักษาหรือชะลอการเกิดโรคได้เร็วขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต และประสิทธิภาพการมองเห็นของผู้สูงอายุในช่วงบั้นปลายด้วย

คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แม้ไม่มีความผิดปกติ ควรตรวจสุขภาพดวงตาอย่างละเอียด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะเป็นช่วงอายุที่มักพบการเปลี่ยนแปลงของสายตา และสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาสายตาหรือโรคทางตา

ส่วนความถี่ของการตรวจสุขภาพดวงตาจะขึ้นอยู่กับสุขภาพและปัจจัยเสี่ยงที่ต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน อย่างกรณีผู้สูงอายุมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวานหรือโรคความดันโลหิตสูง อาจต้องตรวจสุขภาพดวงตาถี่ขึ้น เพื่อประเมินและติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง 

การตรวจสุขภาพดวงตาผู้สูงอายุ มีอะไรบ้าง

การตรวจสุขภาพดวงตามีหลายขั้นตอน เพื่อให้ครอบคลุมโรคทางตาที่มักพบได้บ่อย โดยแพทย์จะเริ่มต้นจากการซักประวัติสุขภาพของผู้รับการตรวจและคนในครอบครัว ประวัติการใช้ยา และการใช้คอนแทคเลนส์ จากนั้นจึงตรวจตาด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้ 

  • การตรวจการมองเห็น (Visual acuity) ด้วยแผ่นทดสอบสายตาแบบตัวเลข (Snellen charts) หรือแบบตัวอักษร (E-charts) เพื่อวัดความคมชัดของสายตาแต่ละข้างในแต่ละระยะ
  • การตรวจค่าสายตา (Refraction) ด้วยเครื่องโฟรอปเตอร์ (Phoropter) ที่ประกอบด้วยเลนส์พิเศษหลายชนิด เพื่อใช้วัดค่าสายตาสั้น ยาว และเอียงของตาทั้งสองข้าง
  • การตรวจการเคลื่อนไหวของดวงตา (Ocular motility) เพื่อดูการทำงานประสานกันของของดวงตา การทำงานของกล้ามเนื้อตา รวมถึงการประเมินภาวะตาเข
  • การวัดความดันลูกตา (Tonometry) เพื่อประเมินความเสี่ยงของต้อหิน แพทย์จะเป่าลมไปที่กระจกตาแล้วใช้เครื่องมือวัดวางแนบกับบริเวณดังกล่าว โดยอาจหยอดยาชาก่อนวัดความดันลูกตา เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตามากขึ้น 
  • การตรวจกล้องจุลทรรศน์ชนิดลำแสงแคบ (Slit lamp microscope) บริเวณส่วนหน้าของดวงตา เช่น เปลือกตา กระจกตา รูม่านตา เลนส์ตา วุ้นตา และน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา เพื่อหาสัญญาณของต้อกระจก รอยแผล หรือรอยขีดข่วน
  • การตรวจลานสายตา (Visual fields test) ช่วยวัดการมองเห็นด้านข้าง (Peripheral vision) หรือความกว้างแคบที่ผู้ป่วยมองเห็น ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดพิเศษ เพื่อตรวจหาต้อหินและโรคทางตาชนิดอื่น ๆ เช่น โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม โรคเกรฟส์ (Graves’ disease) หรือภาวะลานสายตาผิดปกติ (Scotoma)
  • การตรวจจอประสาทตาและเส้นประสาทตา ด้วยการหยอดยาขยายม่านตาแล้วตรวจหาความผิดปกติด้วยกล้องกำลังขยายสูงพร้อมไฟส่องตา (Ophthalmoscope) โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหลอดเลือดต่าง ๆ หลังหยอดยาราว 2–3 ชั่วโมง ผู้ป่วยอาจตามัวหรือตาไวต่อแสงได้ 

นอกจากนี้แพทย์ยังอาจตรวจตาด้วยวิธีเฉพาะอื่น ๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น การตรวจจอประสาทตาด้วยเครื่องเลเซอร์ (Optical coherence tomography: OCT) การถ่ายภาพจอประสาทตาด้วยเครื่องถ่ายภาพ (Fundus photos) 

การตรวจพื้นผิว รูปร่าง และวัดความหนากระจกตา (Corneal topography) การฉีดสีเรืองแสงดูหลอดเลือดดวงตา (Fluorescein angiography: FA) ไปจนถึงการทดสอบภาวะตาบอดสี (Color vision test)

เตรียมตัวก่อนไปตรวจสุขภาพดวงตาในผู้สูงอายุ

เบื้องต้น การตรวจสุขภาพดวงตามักไม่มีข้อจำกัดอะไรเป็นพิเศษ ไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือน้ำดื่ม แนะนำให้นอนพักผ่อนให้เพียงพอก่อนถึงวันนัดตรวจ งดเสริมสวยบริเวณดวงตาและขนตา 

เตรียมแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ค่าสายตาปัจจุบัน แจ้งแพทย์ให้ครบถ้วนเกี่ยวกับยารักษาโรค วิตามิน และอาหารเสริมที่กำลังใช้อยู่ นอกจากนี้ ควรนำแว่นตากันแดดและพาคนดูแลมาด้วย เนื่องจากการตรวจสุขภาพดวงตาบางวิธี อาจมีการหยอดยาขยายรูม่านตา ทำให้ตาพร่ามัวหรือไวต่อแสงได้ 

สัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพดวงตาในผู้สูงอายุ

ปัญหาสุขภาพดวงตาในผู้สูงอายุช่วงแรกมักไม่แสดงอาการ หากพบสัญญาณเตือนดังต่อไปนี้ ควรไปตรวจสุขภาพดวงตาโดยเร็ว

  • มองเห็นภาพเบลอ ขุ่นมัว
  • แสบตา ไม่สบายตา ตาแดง
  • น้ำตาน้อยหรือมากเกินไป
  • มองเห็นเป็นแสงแฟลช
  • ตาไวต่อแสง
  • แยกความต่างของสีลำบาก
  • มองเห็นแคบลงหรือมองรอบนอกไม่เห็น 
  • เกิดอุบัติเหตุที่ดวงตา
  • สูญเสียการมองเห็นฉับพลัน

เพราะผู้สูงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มักเสี่ยงต่อโรคตาหลายชนิด การตรวจสุขภาพตาอย่างน้อยปีละครั้งจึงสำคัญ เพราะจะช่วยให้พบสัญญาณโรคทางตาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น วางแผนการรักษาได้ทันท่วงที และชะลอการสูญเสียการมองเห็นได้  

ดวงตาไม่มีอะไหล่ ดูแลสุขภาพตาคนในบ้านตั้งแต่วันนี้ ด้วยแพ็กเกจ ตรวจสุขภาพตา ที่ HDmall.co.th เลือกตรวจใกล้บ้านได้ในราคาแสนคุ้ม!

Scroll to Top