Default fallback image

รู้จักโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) ทำตาอักเสบรุนแรง อาจเสี่ยงตาบอด

หลายไม่คุ้นหูโรค Vogt-Koyanagi-Harada (VKH) เพราะพบได้น้อยมาก แต่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อดวงตา หู ผิวหนัง และสมอง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้ มาทำความรู้จักโรคนี้ให้มากขึ้นกัน

โรค Vogt-Koyanagi-Harada คืออะไร

โรค Vogt-Koyanagi-Harada หรือ VKH เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Autoimmune disease) ชนิดหนึ่งที่ส่งผลต่อดวงตา และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะ หู ผิวหนัง ระบบประสาทและสมอง 

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด คาดว่าเป็นผลจากภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง โดยเฉพาะเนื้อเยื่อที่มีเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) เป็นส่วนประกอบ เช่น ลูกตา ชั้นผิวหนัง เส้นผม และระบบประสาท จนเกิดความผิดปกติตามมา 

โรค Vogt-Koyanagi-Harada พบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเกิดในช่วงวัยทำงานมากกว่าอื่น หรืออายุราว ๆ 30–40 ปี โดยเฉพาะคนที่มีเชื้อสายเอเชีย ลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง รวมถึงมีพันธุกรรมจากคนในครอบครัว 

นอกจากนี้ อาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิดในร่างกาย ซึ่งอาจไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป การสัมผัสกับสารเคมีหรือมลภาวะที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกายขึ้นได้เช่นกัน

อาการของโรค Vogt-Koyanagi-Harada เป็นแบบไหน

โรค Vogt-Koyanagi-Harada ส่งผลต่อระบบอวัยวะหลัก คือ ดวงตา ผิวหนัง หู สมองและระบบประสาท แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้

1. ระยะแรกเริ่ม (Prodromal stage)
อาการอาจคล้ายการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยมักพบอาการทางระบบประสาทและสมองเป็นหลัก ราว 1–2 สัปดาห์ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเบ้าตา คอแข็ง ผิวหนังไวต่อสิ่งกระตุ้น หรือเส้นประสาททำงานผิดปกติ

นอกจากนี้ยังอาจมีอาการด้านการได้ยิน เช่น สูญเสียการได้ยิน รู้สึกไม่สบายเมื่อได้ยินเสียง เวียนศีรษะ บ้านหมุน หรือได้ยินเสียงในหู (Tinnitus)

2. ระยะเฉียบพลัน (Acute stage)
ระยะนี้จะส่งผลต่อดวงตานานหลายสัปดาห์ ทำให้มองเห็นภาพเบลอ ม่านตาอักเสบ ตาแดง สูญเสียลานสายตา ความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้น จอประสาทตาลอก มีของเหลวใต้จอประสาทตา จอประสาทตาบวมน้ำ หรือขั้วประสาทตาบวม  

3. ระยะเรื้อรัง (Chronic convalescent stage)
เมื่อผ่านไปแล้ว 3–4 เดือน ผู้ป่วย Vogt-Koyanagi-Harada อาจเข้าสู่ระยะเรื้อรัง ซึ่งกินเวลานานหลายเดือนจนถึงหลายปี โดยอาจพบอาการทางตา เช่น ม่านตาอักเสบทุกส่วน หรือบริเวณจอประสาทตาเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงสว่าง 

สำหรับอาการทางผิวหนังก็เช่น ขนคิ้วและขนตาเปลี่ยนเป็นสีขาว (Poliosis) ผื่นด่างขาว (Vitiligo) บริเวณศีรษะ เปลือกตา ลำตัว หรือผมร่วงเป็นหย่อม ๆ (Alopecia areata)

4. ระยะเป็นซ้ำ (Chronic recurrent stage)
หลังระยะเฉียบพลันราว 6–9 เดือน ผู้ป่วยกว่า 25% อาจกลับมาเป็นซ้ำ และอาจเสี่ยงต้อหิน ต้อกระจก เม็ดสีที่จอประสาทตาเปลี่ยน พังผืดใต้จอประสาทตา จอประสาทตาหลุดลอก หรือสูญเสียการมองเห็นได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

โรค Vogt-Koyanagi-Harada วินิจฉัยได้อย่างไร

เมื่อเทียบกับโรคทางระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ แล้วพบได้น้อย ทำให้อาจวินิจฉัยได้ยากหรือล่าช้า จนกระทบต่อการรักษาไปด้วย 

การวินิจฉัยโรค Vogt-Koyanagi-Harada แพทย์จะซักประวัติทางสุขภาพ การบาดเจ็บ หรือการผ่าตัด ร่วมกับการตรวจหาการอักเสบของดวงตาทั้งสองข้าง และสัญญาณความผิดปกติของหู ผิวหนัง ระบบประสาทและสมอง ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น

  • การฉีดสี (Fluorescein angiography) โดยฉีดสารเรืองแสงอย่างฟลูออเรสซีนเข้าสู่ร่างกาย แล้วใช้กล่องส่องดูความผิดปกติบริเวณหลอดเลือดจอประสาทตา
  • การสร้างภาพตัดขวางจอประสาทตา (Optical coherence tomography: OCT) จากเครื่องเลเซอร์ โดยช่วยตรวจวิเคราะห์ขั้วประสาทตา จอประสาทตา และจุดรับภาพชัด 
  • การสร้างภาพตัดขวางดวงตาด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (B scan) เพื่อดูความผิดปกติภายในดวงตา เบ้าตา และส่วนหลังลูกตา
  • การสร้างภาพถ่ายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI scan) หรือเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในสมองและระบบประสาท 

โรค Vogt-Koyanagi-Harada รักษาได้ไหม

เนื่องจากสาเหตุของโรคไม่ชัดเจน การรักษาโรค Vogt-Koyanagi-Harada เลยจะเน้นควบคุมและบรรเทาอาการอักเสบเป็นหลัก เพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็น และภาวะแทรกซ้อนระยะยาว

การรักษาหลักมักใช้ยาแก้อักเสบกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ไซโคลสปอริน (Ciclosporin) เมโธเทรกเซท (Methotrexate) หรือไมโคฟีโนเลต โมเฟทิล (Mycophenolate mofetil) 

กรณีไม่ตอบสนองต่อยาดังกล่าว แพทย์อาจให้ใช้ยาลดอาการอักเสบกลุ่มทีเอ็น เอฟ อัลฟา อินฮิบิเตอร์ (TNF-alpha inhibitors) หรือยาชีววัตถุอื่น ๆ นอกจากนี้ จำเป็นต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพราะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก

สำหรับโอกาสกลับมามองเห็นใกล้เคียงกับปกตินั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยและการรักษาได้ทันท่วงที การติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ และการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

โรค Vogt-Koyanagi-Harada ป้องกันได้ไหม

การตรวจสุขภาพดวงตาตามเกณฑ์หรือตามแพทย์แนะนำ จะช่วยคัดกรองโรคทางตา รวมถึงโรค Vogt-Koyanagi-Harada ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ หากพบความผิดปกติจะได้รับการตรวจรักษาได้ทันเวลา 

นอกจากนี้ ควรหมั่นดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงสมบูรณ์ และเสริมสุขอนามัยให้ดีอยู่เสมอ เพื่อให้ห่างไกลจากการป่วยหรือการติดเชื้อไวรัสต่าง ๆ เช่น

  • ทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น ผักใบเขียว แซลมอน ทูน่า แครอท ไข่ หรือถั่ว
  • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที
  • งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรีมือสอง
  • สวมแว่นตากันแดด ช่วยป้องกันดวงตาจากรังสียูวี
  • หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ ช่วยลดปริมาณเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย
  • ทำความสะอาดคอนแทคเลนส์และกล่องใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ
  • ไม่จ้องจอคอมหรือโทรศัพท์นานจนเกินไป แนะนำให้พักสายตาทุก 20 นาที

โรค VKH หายาก แต่ใช่ว่าจะไม่แจ็กพอตแตกกับเรา หาแพ็กเกจตรวจสุขภาพตาไว้ก่อน อุ่นใจกว่า HDmall.co.th มีครบทั้งโปรดี ราคาเบา แถมใกล้บ้านด้วยนะ 

Scroll to Top