thrombocytopenia symptom

เกล็ดเลือดต่ำ อาการเป็นอย่างไร รักษาได้หรือไม่

เกล็ดเลือด” คือเซลล์ที่สร้างจากไขกระดูกและไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด มีหน้าที่สำคัญในการห้ามเลือดเมื่อร่างกายเกิดบาดแผล

การที่ร่างกายเกิด “ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia)” ไม่ว่าจะด้วยจากสาเหตุใดก็ตาม ผลที่ตามมาคือ เมื่อร่างกายเกิดบาดผล จะทำให้มีเลือดออกได้ง่าย และหยุดไหลช้า รวมถึงอาจมีเลือดออกตามเยื่อบุอวัยวะ หรือเลือดออกในสมอง ทำให้ร่างกายเสียเลือดมาก และอันตรายถึงชีวิตได้

ระดับเกล็ดเลือดที่เหมาะสมในคนทั่วไป

ปกติแล้ว คนเราจะมีเกล็ดเลือดประมาณ 150,000–450,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร

อาการของคนที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ  

คนที่เกล็ดเลือดต่ำเพียงเล็กน้อยอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ถ้าเกล็ดเลือดต่ำลงมาก ๆ ร่างกายจะเริ่มจะแสดงสัญญาณให้เห็น เช่น 

  • มีจุดเลือดเล็ก ๆ สีแดงกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง
  • เกิดรอยฟกช้ำตามร่างกายได้ง่าย
  • เมื่อเกิดบาดแผล เลือดจะออกเยอะ และหยุดไหลช้า แม้จะเป็นแผลเล็กก็ตาม 
  • มีเลือดออกที่จมูกและในปาก
  • สำหรับผู้หญิง อาจมีประจำเดือนมากผิดปกติ
  • ถ้าเกล็ดเลือดต่ำมาก ๆ อาจมีเลือดออกที่อวัยวะภายในได้ เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ หรือสมอง และยังส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำลงมาก จนอาจช็อก หมดสติ หรือเสียชีวิตได้

thrombocytopenia symptom 02

ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เกิดจากอะไร

สาเหตุของภาวะเกล็ดเลือดต่ำ แบ่งออกเป็น 2 ข้อหลัก ๆ ได้แก่ มีการใช้หรือทำลายเกล็ดเลือดในร่างกายมากกว่าปกติ และอีกข้อคือ ร่างกายสร้างเกล็ดเลือดได้ต่ำลง 

1. มีการใช้ หรือทำลายเกล็ดเลือดมากกว่าปกติ

  • ภูมิคุ้มกันร่างกายผิดปกติ หรือที่เรียกว่า “โรคภูมิแพ้ตัวเอง” ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่ควรจะตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม กลับมาทำลายเซลล์ในร่างกายตัวเอง ทำให้เกล็ดเลือดถูกทำลายไปด้วย
  • เป็นผลจากการใช้ยาบางชนิด เช่น
      • ยาเฮพาริน (Heparin) มีฤทธิ์ต่อต้านการแข็งตัวของเลือด มักใช้รักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ
      • ยาควินิน (Quinine) เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย
      • ยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin) ใช้รักษาวัณโรค
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไซโตเมกะโลไวรัส (Cytomegalovirus) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “ไวรัส CMV” 
  • การติดเชื้อแบคทีเรียบางตัว
  • การตั้งครรภ์ โดยผู้หญิงประมาณร้อยละ 5 จะพบภาวะเกล็ดเลือดต่ำในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
  • การผ่าตัดใหญ่ เช่น ผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ ทำให้เกล็ดเลือดปริมาณมากถูกใช้ไปในการสมานแผล
  • ภาวะ Thrombotic thrombocytopenic purpura หรือที่เรียกว่า “โรค TTP” ทำให้ลิ่มเลือดอุดตันทั่วร่างกาย ร่วมกับมีอาการเกล็ดเลือดต่ำ อาจมีอาการทางไตและสมองร่วมด้วยได้

2. ร่างกายสร้างเกล็ดเลือดได้ต่ำลง

  • เป็นโรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ (Aplastic anemia) ทำให้ไขกระดูกไม่สร้างเม็ดเลือดทุกชนิดได้ไม่มากพอ รวมถึงเกล็ดเลือดด้วย
  • การฉายรังสี และการทำเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
  • การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น เบนซีน และสารกำจัดศัตรูพืช มีผลต่อการสร้างเม็ดเลือดและเกล็ดเลือดในไขกระดูก
  • เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทำให้ไขกระดูกและสเต็มเซลล์ (Stem cell) ของเกล็ดเลือดถูกทำลาย
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein Barr Virus: EBV) และพาโวไวรัส (Parvovirus)
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) มีผลต่อการสร้างเกล็ดเลือด และยาแอสไพริน (Aspirin) ทำให้เกล็ดเลือดทำงานได้ลดลง
  • ขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 โฟเลต และธาตุเหล็ก

การรักษาภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

ถ้าภาวะเกล็ดเลือดต่ำไม่ได้รุนแรงมาก และเกิดจากสาเหตุชั่วคราวที่หายได้เอง อาจไม่จำเป็นต้องรักษา เพียงแค่ดูแลร่างกายให้แข็งแรง ปริมาณเกล็ดเลือดก็จะกลับมาเป็นปกติ 

แต่ถ้ามีภาวะเกล็ดเลือดต่ำอย่างรุนแรง จะต้องรีบเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน มีแนวทางคร่าว ๆ ดังนี้ 

  • รักษาโดยการใช้ยา เช่น
      • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ชนิดกินและฉีด เพื่อป้องกันการทำลายเกล็ดเลือด
      • ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง อาจต้องฉีดอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) และริทูซิแมบ (Rituximab) เพื่อยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันด้วย
      • ยาเอลทรอมโบแพค (Eltrombopag) ฉีดเพื่อกระตุ้นการสร้างเกล็ดเลือด ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาเสตียรอยด์ อิมมูโนโกลบูลิน หรือในรายที่ต้องตัดม้าม
  • ถ้ามีเกล็ดเลือดต่ำมาก ๆ หรือมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำเรื้อรัง จะต้องรักษาโดยการให้เกล็ดเลือด
  • ถ้าร่างกายปิดปกติ ทำให้เกล็ดเลือดถูกทำลายไปมาก อาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดม้าม เพื่อยับยั้งการทำลายเกล็ดเลือด โดยหลังผ่าตัดอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ร่างกายอ่อนแอ ติดได้เชื้อง่ายขึ้น จึงต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ

วิธีป้องกันภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

  • ควรปรึกษาหมอหรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยาต่าง ๆ และไม่ควรกินยาที่ส่งผลต่อเกล็ดเลือดโดยไม่จำเป็น
  • ระมัดระวังไม่ให้เกิดโรคติดเชื้อ เพราะเป็นสาเหตุให้เกล็ดเลือดต่ำได้ เช่น โรคไข้เลือดออก
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีเป็นเวลานาน

เกล็ดเลือดต่ำ ควรกินอะไร

หลัก ๆ ควรกินผักสด ผลไม้ อาหารไม่แปรรูป เนื้อสัตว์ ธัญพืช และนม

รวมถึงอาหารหลักหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบเหล่านี้ เพื่อให้บำรุงเลือด

  • วิตามินบี 9 หรือโฟเลต (Folate)
  • วิตามินบี 12
  • ธาตุเหล็ก
  • วิตามินซี
  • วิตามินเค

เกล็ดเลือดต่ำ ห้ามกินอะไร

ควรเลี่ยงอาหารบางประเภทที่ส่งผลต่อเกล็ดเลือด เช่น 

  • อาหารที่มีความเข้มข้นสูง เช่น องุ่นแดง บลูเบอร์รี่ กระเทียม หัวหอม ขิง ซึ่งอาจส่งผลต่อเกล็ดเลือดได้ 
  • อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวหรือไขมันทรานส์สูง
  • เนื้อแปรรูป
  • ธัญพืชที่มีน้ำตาลสูงเกินไป
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ ควรงดหรือลดปริมาณในการดื่มลง

Scroll to Top