อาการเสพติดเซลฟี่ Selfitis scaled

อาการเสพติดเซลฟี่ (Selfitis)

ปัจจุบันการถ่ายภาพใบหน้าของตนเองแล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดียกำลังได้รับความนิยมทั่วโลก จนเกิดเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของใครหลายๆ คนไปแล้ว

หากเซลฟี่เป็นครั้งคราวสำหรับเก็บไว้เป็นความทรงจำก็คงไม่ส่งผลเสียใดๆ แต่หากเซลฟี่บ่อยเกินไป และมีพฤติกรรมชอบโพสต์ลงโซเชียลมีเดียวันละหลายๆ ครั้ง นั่นอาจหมายถึงคุณอาจกำลังมีอาการเสพติดเซลฟี่ (Selfitis) ที่ถือว่า เป็นความผิดปกติทางจิตใจอย่างหนึ่งแล้วก็ได้

อาการที่บ่งบอกว่า คุณอาจเป็น Selfitis แล้ว

อาการของการเสพติดเซลฟี่คือ ผู้ที่ถ่ายเซลฟี่มีความคาดหวังและความต้องการบางอย่างในการโพสต์ภาพผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ต้องคอยดูยอดไลก์ หรือต้องอัปรูปใหม่เรื่อยๆ จนกว่าจะได้ยอด หรือได้คอมเม้นท์มากๆ ตามต้องการ

สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจตามมาได้ หากว่าเป้าหมายนั้นไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เช่น มีคนกดไลก์ไม่เยอะอย่างที่คิด ทำให้รู้สึกวิตกกังวล หงุดหงิด หรือไม่พอใจ

อาการ Selfitis อาจแบ่งเป็น 3 ระดับได้ ดังนี้ 

  1. ระดับมากกว่าปกติเล็กน้อย (Borderline) คือ ผู้ที่เซลฟี่ภาพตนเองอย่างน้อยวันละ 3 ภาพ แต่ไม่ได้โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย
  2. ระดับรุนแรง (Acute) คือ ผู้ที่เซลฟี่ภาพตนเองอย่างน้อยวันละ 3 ภาพ และโพสต์ภาพเหล่านั้นลงในโซเชียลมีเดียทุกภาพ
  3. ระดับเรื้อรัง (Chronic) คือ ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองจากการถ่ายเซลฟี่ได้ มีพฤติกรรมถ่ายภาพเซลฟี่ตลอดเวลา และโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียตั้งแต่ 6 ครั้งขึ้นไป

ผลกระทบที่เกิดจาก Selfitis

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า หากเซลฟี่ภาพตัวเองโดยไม่คาดหวังจะไม่เป็นปัญหาใดๆ แต่ในกรณีที่คาดหวังผลตอบรับ ผู้โพสต์มักมีการแต่งเติมภาพด้วยแอปต่างๆ เพื่อสร้างความสวยงามก่อนเผยแพร่ภาพสู่โซเชียลมีเดีย

จากนั้นก็คอยติดตามผลตอบรับต่างๆ อย่างใจจดใจจ่อ เช่น การแสดงความคิดเห็นในทางบวก ยอดกดไลก์  ถูกใจ ยอดแชร์ ซึ่งหากไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ อาจทำให้เกิดปัญหาด้านจิตใจดังนี้

  • ขาดความมั่นใจและความนับถือตัวเองในชีวิตจริง
  • ขาดความเป็นผู้นำในครอบครัว เพื่อนฝูง และสังคมรอบตัว
  • มีปัญหาด้านการพัฒนาตนเอง หรืออาจพัฒนาตนเองได้ช้า
  • สร้างนิสัยชอบจับผิดคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
  • อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในที่สุด

สาเหตุที่นำไปสู่อาการ Selfitis

Selfitis เป็นลักษณะทางพฤติกรรมที่พยายามจะแสดงการเรียกเรียกร้องความสนใจ หรือ แสดงถึงการต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคมผ่านช่องทางที่ตนเองสามารถควบคุมได้ และพยายามทำให้ตนเองดูดีผ่านการปรับแต่งรูปภาพตนเองก่อนเอลงโซเชียล

มีการเปรียบเทียบว่า ในอดีตก่อนที่จะมีค่านิยม selfie คนเรามีค่านิยมให้วาดภาพตนเอง (portrait) โดยให้ศิลปินนั้นปรับแต่งภาพตนเองให้เป็นอย่างที่ตนต้องการ

นอกจากนี้ยังมีการพบว่า selfitis มีกลไกทางสมองคล้ายกับการติดสารเสพย์ติด

นักวิจัยได้แบ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการเสพติดเซลฟี่ออกมาเป็น 6 ข้อดังต่อไปนี้

  1. สิ่งแวดล้อม (Environmental enhancement) เมื่อไปยังสถานที่แปลกใหม่ ก็จะถ่ายเซลฟี่เพื่อเพิ่มคุณค่าทางจิตใจให้คนเอง และโพสต์ลงโซเชียลมีเดียอย่างมีความคาดหวัง
  2. ถ่ายเซลฟี่เพื่อแข่งขันในสังคม (Social competition) หรือการถ่ายภาพเซลฟี่ลงโซเชียลมีเดีย เพื่อต้องการผลตอบรับเป็นยอดกดถูกใจ
  3. เรียกร้องความสนใจ (Attention seeking) คือ การถ่ายภาพเซลฟี่และโพสต์ลงโซเชียลมีเดียเพื่อต้องการเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น เช่น เซลฟี่ขณะที่ตนเองกำลังเศร้า หรือใช้คำบรรยายภาพเพื่อเรียกร้องความสนใจร่วมด้วย
  4. เซลฟี่เพื่อระบายอารมณ์ (Mood modification) ถ่ายเซลฟี่เพื่อให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น หรือผ่อนคลายขึ้น
  5. เซลฟี่เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง (Self confidence) การถ่ายเซลฟี่เพื่อให้รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากยิ่งขึ้นจากเสียงตอบรับ
  6. เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Subjective conformity) การเซลฟี่ลงโซเชียลมีเดียเพื่อให้ได้รับการยอมรับและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

ผู้ที่เสี่ยงจะมีอาการ Selfitis

สังเกตได้จากความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเองดังนี้

  • เซลฟี่และโพสต์ลงโซเชียลมีเดียโดยหวังผลตอบรับ จนต้องเช็กโทรศัพท์ตลอดเวลา
  • ถ่ายเซลฟี่ภาพตัวเองบ่อยเพราะกลัวภาพลักษณ์ของตนเองจะดูไม่ดี
  • ร้สึกเศร้า เสียใจ เมื่อผลตอบรับไม่ดีดังที่คิด อาจมีการถ่ายเซลฟี่ใหม่อีกครั้งเรื่อยๆ และเริ่มคาดหวังผลใหม่

เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์ 

อาการเสพติดเซลฟี่อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือโรคซึมเศร้าได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อตัวผู้ป่วยเองเพราะมีโอกาสฆ่าตัวตายสูง ฉะนั้นควรหมั่นตรวจสอบตัวเองว่า มีอาการเช่นเดียวกับโรคซึมเศร้าหรือไม่

หากว่า มีอาการโรคซึมเศร้าควรไปพบแพทย์โดยทันที

วิธีรักษาและป้องกันอาการ Selfitis 

เนื่องจากการเสพติดเซลฟี่เป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต จึงมีทั้งวิธีการรักษารวมถึงป้องกันได้ด้วยตัวเองและพบแพทย์ดังต่อไปนี้   

  • ฝึกตนเองให้ยอมรับความต่าง หากไม่สามารถยอมรับความต่างได้อาจนำไปสู่ความคิดชอบเปรียบเทียบไปโดยปริยาย เมื่อเห็นภาพ กิจกรรม ฐานะการเงินของคนในโซเชียลมีเดียก็อาจเปรียบเทียบกับตนเองจนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจได้
  • ให้ความสำคัญกับคนใกล้ตัวเป็นหลัก ไม่เอาความสนใจไปไว้กับสังคมภายนอกมากจนเกินไป รวมทั้งหากมีบุตรหลาน หรือเยาวชน ควรเลี้ยงดูพวกเขาด้วยความรักความอบอุ่น เพื่อให้บุตรหลานเป็นคนใส่ใจกับผู้คนใกล้ตัวเป็นหลัก ที่สำคัญผู้ใหญ่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ ด้วย
  • ฝึกควบคุมการใช้โซเชียลมีเดียของตนเอง ให้ใช้อย่างมีสติ ไม่ให้ความสำคัญมากจนเกินไป และไม่ใช้มากจนเกินไป
  • เข้าสังคมในชีวิตจริงให้บ่อยขึ้น เพื่ออยู่กับความเป็นจริงเป็นหลัก และไม่ใส่ใจกับโซเชียลมีเดียมากจนเกินไป รวมทั้งสอนบุตรหลานถึงวิธีการเข้าสังคม การทักทาย การพูดคุย
  • หางานอดิเรกทำแทนการเล่นโซเชียลมีเดีย หากว่า เวลาว่างของคุณเป็นต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าโซเชียลมีเดีย ลองหางานอดิเรกในชีวิตจริง เพื่อไม่ให้เกิดการเปรียบเทียบกับสังคมในโซเชียลมีเดียตลอดเวลา อาจเป็นการอ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ เล่นดนตรี วาดภาพ หรือการออกกำลังกาย
  • พบจิตแพทย์ เพื่อขอคำปรึกษาหากไม่สามารถหยุดพฤติกรรมเซลฟี่ได้

ลองสังเกตว่า วันหนึ่งๆ คุณ หรือคนรอบข้างหยิบโทรศัพท์มาเซลฟี่กันกี่ครั้ง หรือเซลฟี่แล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดียกี่ครั้ง ถ้ามากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป ควรเฝ้าระวังตนเองเพราะคุณอาจเริ่มเข้าข่าย Selfitis แล้วก็เป็นได้

หากกลั้นใจลดการเซลฟี่และการโพสต์ลงโซเชียลลงได้ ก็สามารถชะลอความรุนแรงของ Selfitis ได้ แต่หากทำไม่ได้อาจขอความร่วมมือจากคนใกล้ชิด หรือพบจิตแพทย์เพื่อรับแนวทางการแก้ปัญหาต่อไป


ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล

Scroll to Top