กำลังประสบปัญหาสายตาสั้นและเอียง ตามัว มองอะไรก็ไม่ชัด ตาไม่สู้แสงอยู่เปล่า? ถ้าใช่ก็ถึงเวลาไปหาหมอตาสักที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณของโรคกระจกตาโก่งที่หลายคนไม่รู้ตัว! บทความนี้จะพาไปรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น
สารบัญ
โรคกระจกตาโก่ง คืออะไร มีสาเหตุจากอะไร
โรคกระจกตาโก่ง กระจกตาย้วย หรือกระจกตาป้อแป้ (Keratoconus) เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระจกตา (Cornea) ซึ่งทำหน้าที่หักเหแสงเข้าสู่ดวงตาให้มองเห็นชัด และปกป้องสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ เข้าสู่ดวงตา
ผู้ป่วยโรคนี้จะมีกระจกตาบางลง และโป่งนูนขึ้นเป็นรูปทรงกรวย ต่างจากกระจกตาปกติที่เป็นรูปทรงกลมหรือทรงรีเล็กน้อย เนื่องจากเส้นใยคอลลาเจนบริเวณกลางกระจกตาอ่อนแอหรือเรียงตัวผิดปกติ เมื่อได้รับแรงดันจากภายในลูกตา ทำให้เกิดการโก่งตัวของชั้นกระจกตาตามมา
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดของโรคกระจกตาโก่ง แต่อาจเป็นผลจากปริมาณคอลลาเจนในตาที่ลดลงจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น
- พันธุกรรมหรือคนในครอบครัวมีประวัติโรคกระจกตาโก่ง
- การขยี้ตาอย่างรุนแรงเป็นประจำ
- โรคภูมิแพ้และโรคการอักเสบ เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้ที่ตา จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหอบหืด
- โรคทางตา เช่น โรคจอประสาทตาชนิดอาร์พี (Retinitis pigmentosa: RP) และภาวะไม่มีม่านตา (Aniridia)
- โรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ เช่น โรคผิวหนังยืดผิดปกติ (Ehlers-Danlos syndrome: EDS) และกลุ่มอาการมาร์แฟนซินโดรม (Marfan syndrome)
- โรคผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม (Down syndrome) และโรคกระดูกเปราะพันธุกรรม (Osteogenesis Imperfecta: OI)
- การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์มากเกินไป
- การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์
- การรักษาด้วยเลสิก (LASIK) ส่งผลให้กระจกตาถูกฝนให้บางลง
อาการของโรคกระจกตาโก่ง มีอะไรบ้าง
โรคกระจกตาโก่งมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เกิดได้ตั้งแต่วัยเด็ก 10 ปีขึ้นไป แต่จะพบได้มากในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย อายุราว 20–30 ปี
ปกติแล้ว โรคจะใช้เวลาดำเนินเป็นนานหลายปี แต่บางคนอาจเกิดอาการอย่างรวดเร็ว และรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น โดยอาการสามารถเกิดกับดวงตาทั้ง 2 ข้าง อาจมีอาการและความรุนแรงที่ต่างกันไปด้วยในดวงตาแต่ละข้าง เช่น
- สายตาแย่ลงเรื่อย ๆ
- ค่าสายตาเปลี่ยน สายตาสั้นและเอียงมากขึ้น ทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย
- มองเห็นไม่ชัด ตาพร่ามัว
- ตาแดง ตาบวม
- มองเห็นแสงสว่างเป็นวงรัศมี
- เมื่อมองด้วยตาข้างเดียว จะมองเห็นเป็นภาพซ้อนกัน
- ตาไม่สู้แสง ตาไวต่อแสง
- มองเห็นภาพบิดเบี้ยว เพี้ยนไปจากเดิม
หากการมองเห็นของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สูญเสียการมองเห็นฉับพลัน ปวดตาอย่างรุนแรง หรือมีผลข้างเคียงหลังการทำหัตถการที่ดวงตา ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
การวินิจฉัยโรคกระจกตาโก่ง ทำได้อย่างไร
โรคกระจกตาโก่งมักตรวจพบโดยบังเอิญระหว่างเข้ารับการรักษาโรคทางตาอื่น ๆ หรือปรึกษาแพทย์ เพื่อการทำเลสิก
เบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติสุขภาพ ตรวจร่างกายตามขั้นตอนปกติ ร่วมกับการตรวจหาความผิดปกติของดวงตา และกระจกตาด้วยวิธีต่าง ๆ เพิ่มเติม ดังนี้
- การตรวจวัดค่าสายตา โดยใช้แผ่นทดสอบสายตาสเนลเลน (Snellen chart) ที่เป็นแผ่นสีขาวติดตั้งที่ผนัง ร่วมกับเครื่องทดสอบสายตาโฟรอปเตอร์ (Phoropter) หรือเครื่องตรวจตาเรติโนสโคปแบบพกพา (Retinoscope) เพื่อวัดระยะและความสามารถในการมองเห็น
- การตรวจตาด้วยกล้องจักษุจุลทรรศน์ชนิดลำแสงแคบ (Slit lamp examination) โดยใช้เครื่องมือฉายลำแสงเข้าสู่ดวงตา เพื่อตรวจสอบรูปทรงของกระจกตาและหาความผิดปกติอื่น ๆ
- การวัดความโค้งของกระจกตาด้วยเครื่องวัดกำลังสายตา (Keratometry) โดยเครื่องจะส่องลำแสงไปที่กระจกตา เพื่อวัดความโค้งของกระจกตาในจุดต่าง ๆ ทำให้สามารถประเมินรูปทรงของกระจกตาได้
- การถ่ายภาพกระจกตา (Tomography and topography) เพื่อนำไปตรวจกระจกตาอย่างละเอียด ทั้งพื้นผิว รูปร่าง ความโค้ง ความหนาของกระจกตา และการหักเหของแสง วิธีนี้ช่วยให้พบสัญญาณของโรคกระจกตาโก่งได้ตั้งแต่ระยะแรก
วิธีรักษาโรคกระจกตาโก่งมีอะไรบ้าง รักษาหายไหม
การรักษาโรคกระจกตาโก่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความเร็วในการดำเนินโรค โดยเน้นชะลอโรคและเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่
การสวมแว่นตาและคอนแทคเลนส์
ผู้ป่วยระยะแรกสามารถสวมแว่นตาสายตาหรือใช้คอนแทคเลนส์ชนิดต่าง ๆ เพื่อช่วยในการมองเห็นให้ชัดขึ้น แต่อาจต้องเปลี่ยนแว่น หรือคอนแทคเลนส์บ่อยตามค่าสายตาที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
ชนิดของคอนแทคเลนส์ที่แพทย์แนะนำ เช่น
- คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม (Soft contact lenses) สวมใส่ได้ง่ายและสบายตา
- คอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง (Hard contact lenses) ขนาดพอดีกับกระจกตา มองเห็นภาพชัดกว่าชนิดนิ่ม แต่อาจสวมใส่ลำบากและไม่สบายตาได้
- เลนส์แบบซ้อนทับ (Piggyback lenses) โดยใช้คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งทับบนคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม
- ไฮบริดเลนส์ (Hybrid lens) เลนส์ตรงกลางจะแข็งล้อมด้วยเลนส์ส่วนที่นิ่ม เพื่อให้สวมใส่ได้สบายยิ่งขึ้น เหมาะกับคนที่ไม่สามารถใส่คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งได้
- เลนส์สเคอรัล (Scleral lenses) เหมาะกับผู้ป่วยที่กระจกตามีรูปทรงผิดปกติมาก หรือกระจกตาโก่งอย่างรุนแรง โดยเลนส์จะเกาะติดบริเวณตาขาว โดยไม่สัมผัสกระจกตาโดยตรง
การฉายแสงร่วมกับการหยอดวิตามิน บี2
การฉายรังสีอัลตราไวโอเลตเข้าสู่ดวงตา (Corneal crossling) ร่วมกับการหยอดวิตามิน บี2 (Riboflavin) เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของคอลลาเจนและโปรตีนโดยรอบกระจกตา ช่วยป้องกันกระจกตาโก่งตัวเพิ่ม จึงชะลอหรือหยุดการดำเนินโรคได้
แพทย์จะเริ่มหยอดยาชาที่ดวงตา ตามด้วยหยอดวิตามิน บี2 แล้วจึงฉายรังสีอัลตราไวโอเลตไปที่กระจกตา รวมระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมง
การผ่าตัด
กรณีเป็นแผลที่กระจกตา กระจกตาบางมาก หรือมองเห็นไม่ชัดแม้ใส่คอนแทคเลนส์แล้วหรือใส่คอนแทคเลนส์ไม่ได้ อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น
- การใส่วงแหวนเสริมในกระจกตา (Intrastromal corneal ring segments: ICRS) ช่วยลดความโก่งและปรับกระจกตาให้เรียบขึ้น จนสวมคอนแทคเลนส์ได้พอดี ทำให้การมองเห็นดีขึ้น แพทย์อาจใช้วิธีนี้ร่วมกับการฉายแสงพร้อมหยอดวิตามิน บี2
- การปลูกถ่ายกระจกตา (Cornea transplant) บางส่วนหรือทั้งหมด หากมีแผลที่กระจกตาหรือกระจกตาบางมากเกินไป วิธีนี้ให้ผลดีแต่อาจเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ภาวะการปฏิเสธหรือต่อต้านกระจกตาใหม่ การมองเห็นแย่ลง หรือภาวะสายตาเอียง
โรคกระจกตาโก่งป้องกันได้ไหม
โรคกระจกตาโก่งมักเป็นผลจากปัจจัยทางพันธุกรรมหรือโรคประจำตัวตั้งแต่เกิด จึงไม่อาจป้องกันได้ แต่สามารถดูแลสุขภาพดวงตาได้หลายวิธี เพื่อถนอมดวงตา และลดความเสี่ยงของกระจกตาโก่งให้ได้มากที่สุด
โดยไม่ควรขยี้ตารุนแรงหรือบ่อยครั้ง ไม่ใช้สายตาหนักจนเกินไป สวมคอนแทคเลนส์อย่างถูกต้องและรักษาความสะอาดเสมอ ทานอาหาร ผัก ผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อดวงตา และหมั่นตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำตามที่แพทย์แนะนำ โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาสายตาอยู่ก่อน
นอกจากนี้ ควรสังเกตการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาสั้นและเอียง โดยค่าสายตาไม่ควรเปลี่ยนมากกว่า 50–100 ภายใน 1 ปี หากค่าสายตาเปลี่ยนแปลงเร็วไปมาก ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที
อย่าคิดว่าสายตาสั้น เอียง มองไม่ชัด เป็นเรื่องทั่วไป รีบ ตรวจสุขภาพตา ก่อนเป็นเรื่องใหญ่ ที่ HDmall.co.th รวมโปรพิเศษจากโรงพยาบาลใกล้บ้านคุณมาให้แล้ว