หลายคนพอเห็นแผลเป็นที่นูนออกมาก็มักคิดว่าเป็นคีลอยด์ไปเสียหมด แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นเพียงแผลเป็นนูนปกติ ไม่ใช่คีลอยด์ก็ได้ มาศึกษาไปพร้อมกันเลยดีกว่า แผลเป็นนูนและคีลอยด์ต่างกันยังไง แล้วรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง
สารบัญ
แผลเป็นนูนกับคีลอยด์ ต่างกันยังไง
แผลเป็นนูนเกิดได้กับแผลทุกขนาดเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นแผลสิว แผลมีดบาด แผลเจาะหู แผลสักร่างกาย แผลแมลงกัดต่อย แผลไฟไหม้ แผลผิวหนังติดเชื้อ หรือแผลผ่าตัด หลัก ๆ มีอยู่ 2 ชนิด คือ แผลเป็นนูนไฮเปอร์โทรฟิก (Hypertrophic scar: HS) และแผลคีลอยด์ (Keloid)
ปัจจุบันไม่ทราบสาเหตุการเกิดแน่ชัด คาดว่าแผลเป็นทั้ง 2 ชนิด เป็นผลมาจากปริมาณคอลลาเจนที่ช่วยในการสมานแผล ถูกผลิตมากเกินไปจนเกิดก้อนโตนูนตามมา โดยแผลเป็นนูนไฮเปอร์โทรฟิกเกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากกว่าปกติ 3 เท่า ส่วนคีลอยด์อาจมากกว่าถึง 20 เท่า
ด้วยความเป็นแผลเป็นนูนเหมือนกัน จึงสร้างความสับสนให้หลายคน ทว่าแผลเป็นเหล่านี้ก็มีความแตกต่างกันในรายละเอียดอยู่ไม่น้อย ดังนี้
แผลเป็นนูนไฮเปอร์โทรฟิก
แผลเป็นไฮเปอร์โทรฟิกจะนูนโตขึ้น แต่จะไม่เกินขอบแผลเดิม ซึ่งเกิดจากกระบวนการสมานแผลที่แม้ผลิตคอลลาเจนมากเกิน แต่การเรียงตัวของคอลลาเจนยังสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับผิวหนังชั้นนอกสุด
ตัวแผลเป็นจะมีสีชมพูหรือแดงอ่อน ๆ มักเกิดขึ้นภายใน 6 เดือนแรกหลังเป็นแผล อาจขยายใหญ่ได้เรื่อย ๆ ไปอีกหลายเดือน และอาจยุบจางลงใน 6–12 เดือนให้หลัง
แผลเป็นชนิดนี้พบได้บ่อยทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่ตึงมาก ติดเชื้อ ระคายเคือง แผลที่ไม่ได้รักษา รวมถึงช่วงข้อต่อ
แผลคีลอยด์
ลักษณะของแผลคีลอยด์จะนูนขยายเกินขอบแผลอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุจากปริมาณคอลลาเจนที่ถูกผลิตมากเกิน และยังมีการเรียงตัวของคอลลาเจนที่ต่างไปจากเดิมด้วย
แผลเป็นนี้มีสีม่วงหรือแดงคล้ำ คล้ายผิวฟกช้ำ อาจเกิดขึ้นหลังเป็นแผลไปแล้วหลายเดือนถึงหลายปี หากไม่ได้รับการรักษาไม่อาจหายได้ และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูง
คีลอยด์มักพบได้น้อยกว่าแผลนูนแบบไฮเปอร์โทรฟิก บริเวณที่มักพบได้ก็เช่น หน้าอก แก้ม หัวไหล่ ติ่งหู หรือแผ่นหลัง
วิธีรักษาแผลคีลอยด์และแผลเป็นนูนทั่วไป
การลดขนาดหรือรักษาแผลเป็นนูนและคีลอยด์ทำได้หลายรูปแบบ แพทย์มักแนะนำให้ใช้หลายการรักษาร่วมกัน เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ โดยพิจารณาจากขนาดแผลเป็น อายุของแผลเป็น และผลการตอบสนองต่อการรักษาวิธีต่าง ๆ
ตัวอย่างการรักษาแผลเป็นนูนและคีลอยด์ที่มักนิยมใช้กัน จะมีดังนี้
1. ฉีดคีลอยด์
การฉีดคีลอยด์มักใช้รักษาแผลเป็นอายุไม่เกิน 1 ปี โดยใช้ยาสเตียรอยด์ฉีดเข้าบริเวณแผล อย่างยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น ยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบ คัน และการทำงานของเซลล์ผิวหนัง ทำให้แผลยุบ เรียบเนียน นุ่มขึ้นได้
การฉีดคีลอยด์อาจทำให้เจ็บ จึงอาจฉีดผสมกับยาชาช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวด ปกติแล้วจะต้องฉีดคีลอยด์ต่อเนื่องกันทุก 4–6 สัปดาห์ หากฉีดไป 4–5 เข็ม แล้วแผลเป็นยังไม่ยุบตัว หรือไม่ได้ผล อาจต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น
2. จี้ออกด้วยความเย็น (Cryotherapy)
การจี้ด้วยความเย็นเป็นการใช้ไนโตรเจนเหลวความเย็นสูงจะเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อแผลเป็นช้า ๆ เพื่อช่วยให้แผลเรียบเนียนขึ้น โดยอาจต้องจี้ซ้ำตามแพทย์แนะนำ ส่วนมากวิธีนี้จะใช้กับแผลเป็นขนาดเล็ก และอาจใช้ร่วมกับการฉีดคีลอยด์ เพื่อลดรอยแผลเป็น
3. ใช้เลเซอร์รักษาแผลเป็น
การใช้เลเซอร์เป็นการปล่อยคลื่นพลังงานสู่ใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยให้เส้นเลือดจัดเรียงตัวใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยลดการเติบโตของแผลเป็น บรรเทาอาการปวดคัน ทำให้แผลจางลงและนุ่มขึ้นด้วย มักเป็นเลเซอร์ Long pulsed ND Yag laser หรือ Plused dry laser
วิธีนี้เหมาะสำหรับแผลเป็นบริเวณข้อต่อที่ขยับเคลื่อนไหวลำบากหรือแผลเป็นที่ไม่ตอบสนองด้วยวิธีรักษาอื่น แต่อาจต้องเลเซอร์ซ้ำหลายครั้งขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็น จึงจะเห็นผลดี
4. ผ่าตัดลดขนาดหรือนำแผลเป็นออก
การผ่าตัดมักใช้เมื่อไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ โดยจะผ่าเอาแผลเป็นส่วนเกินออก หรือลดขนาดแผลเป็นให้เล็กลง เพื่อลดปัญหาผิวตึงรั้ง หรือการเคลื่อนไหวจำกัด
การผ่าตัดไม่ได้ทำให้คีลอยด์หายไปถาวร แต่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ 45–100% จึงใช้การรักษาอื่นควบคู่ไปด้วย เพื่อให้การรักษาคีลอยด์มีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกเหนือจากการรักษาโดยแพทย์ ยังสามารถดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นนูนและคีลอยด์ได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
- รีบทำแผลทันทีที่เกิดแผล โดยไม่จับ แกะ เกาแผลหรือสะเก็ดแผล แล้วปล่อยให้แผลสมานตัวตามธรรมชาติ
- ทายาลดรอยแผลเป็นหรือยาทาซิลิโคนเจล เพื่อเสริมกระบวนการฟื้นฟูแผล และลดความเสี่ยงของแผลเป็นนูนและคีลอยด์
- ปิดทับแผลเป็นด้วยผ้าพันแผล เทปเหนียว หรือแผ่นแปะซิลิโคนเจล เติมความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ลดอักเสบ ป้องกันแผลเป็นนูนขณะแผลสมานตัว หรือกลับมาเป็นซ้ำหลังผ่าตัด
- ระมัดระวังในการใช้ชีวิตหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลดโอกาสเกิดแผลให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก หัวไหล่ แก้ม หรือหลัง
- หลีกเลี่ยงการเจาะหูหรือสักร่างกาย ซึ่งง่ายต่อการเกิดแผลคีลอยด์ได้บ่อย
แม้แผลเป็นนูนและคีลอยด์จะไม่อันตราย แต่ทำให้สูญเสียความมั่นใจได้ เมื่อเป็นแผลก็ควรดูแลรักษาแผลนั้นให้ดี เพื่อลดความเสี่ยงของแผลเป็น หากแผลเป็นเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ต้องกังวลใจ แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
จะแผลเป็นนูน หรือแผลคีลอยด์ ก็รักษาได้หายห่วง จิ้มเลย แพ็กเกจรักษาคีลอยด์ ที่ HDmall.co.th โปรคุ้ม ส่วนลดครบครัน ช่วยซัพพอร์ตจนไม่รู้จะยังไงแล้วนะคะ!