influenza type b disease definition

แยกให้ชัด! ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B กับหวัดธรรมดา ต่างกันยังไง?

ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หลายคนอาจเริ่มมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไอ จาม มีน้ำมูก แล้วคิดว่าเป็นแค่หวัดธรรมดาเท่านั้น แต่รู้ไหมว่าอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B” ซึ่งแม้จะดูคล้ายกับหวัดทั่วไป แต่จริงๆ แล้วรุนแรงกว่าและมีโอกาสแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าที่คิด หากไม่รีบสังเกตและรักษาอย่างถูกวิธี อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้โดยไม่รู้ตัว

ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปเช็กอาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อย่างละเอียด เพื่อให้คุณแยกออกจากหวัดธรรมดาได้ทัน พร้อมรู้เท่าทันวิธีดูแลและป้องกันอย่างเหมาะสม

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B คืออะไร?

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) ชนิด B ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสายพันธุ์หลักของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ก่อให้เกิดการระบาดในมนุษย์ โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว16

แม้ว่าสายพันธุ์ A มักจะเป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่และมีความรุนแรงมากกว่า แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ก็สามารถก่อให้เกิดการระบาดตามฤดูกาล (Seasonal Epidemic) และมีผลกระทบต่อที่รุนแรงต่อสุขภาพได้เช่นกัน เนื่องจากในระยะแรกผู้ป่วยมักจะมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา ทำให้อาจได้รับการรักษาที่ล่าช้าและรู้ตัวเมื่ออาการรุนแรงไปแล้ว9,12

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เกิดจากอะไร?

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza ชนิด B ซึ่งเป็นไวรัสที่พบในมนุษย์มานานและมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B จะกลายพันธุ์ช้ากว่าสายพันธุ์ A ก็ตาม

โดยไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B แบ่งออกเป็น 2 สายหลัก คือ สายพันธุ์ B/Yamagata และสายพันธุ์ B/Victoria ซึ่งปัจจุบันไม่พบการระบาดของสายพันธุ์ B/Yamakata มาตั้งแต่มีนาคมปี 2020 แล้ว3,7,19

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ติดต่อกันอย่างไร?

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีวิธีการติดต่อคล้ายกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นๆ โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B สามารถติดต่อกันได้ด้วยวิธีดังนี้2

  • การสัมผัสละอองฝอยโดยตรง : เมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม ละอองฝอยที่มีไวรัสปะปนจะลอยในอากาศและสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของผู้อื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้โดยตรงผ่านทางจมูก ปาก หรือตา
  • การสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ : เชื้อไวรัส Influenza สามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิววัตถุต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ เก้าอี้ โทรศัพท์ หรือราวบันไดได้นาน เมื่อสัมผัสกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อแล้วนำมือมาสัมผัสใบหน้า โดยเฉพาะตา จมูก หรือปาก ก็มีโอกาสที่ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดการติดเชื้อได้

นอกจากนี้ การอยู่ในพื้นที่ปิดหรือมีผู้คนแออัดร่วมกับผู้ป่วย เช่น ในโรงเรียน ที่ทำงาน ระบบขนส่งสาธารณะ ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ได้เช่นกัน10

โดยผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B สามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึง 5-7 วันหลังมีอาการ โดยเฉพาะในช่วง 3-4 วันแรกจะเป็นช่วงที่ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ในเด็กเล็กและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจสามารถแพร่เชื้อได้นานกว่านั้น10

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อาการเป็นอย่างไร?

อาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มักจะปรากฏขึ้นอย่างเฉียบพลันและรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา โดยทั่วไปอาการจะเริ่มเกิดขึ้นภายใน 1-4 วันหลังจากได้รับเชื้อ โดยอาการที่พบได้บ่อยมีดังนี้5

  • ไข้สูงเฉียบพลัน : มักมีไข้สูงตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป บางรายอาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส และมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
  • ปวดเมื่อยตามร่างกายอย่างรุนแรง : ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดหลัง ปวดศีรษะอย่างรุนแรงทั่วทั้งตัว ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและไม่สามารถทำกิจกรรมปกติได้
  • อ่อนเพลียและอ่อนแรง : รู้สึกเหนื่อยล้าและหมดแรงอย่างมาก แม้ว่าจะพักผ่อนแล้วก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น
  • เจ็บคอ : มีอาการเจ็บคอ แสบคอ หรือระคายเคืองในลำคอ ซึ่งอาจรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา
  • ไอแห้ง : มักมีอาการไอแห้ง ไม่มีเสมหะ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นเวลานาน
  • น้ำมูกไหลหรือคัดจมูก : อาจมีน้ำมูกใสๆ หรือมีอาการคัดจมูกร่วมด้วย
  • เบื่ออาหาร : รู้สึกไม่อยากอาหารหรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียได้ โดยเฉพาะในเด็ก 

แม้อาการไข้หวัดใหญ่จะดีขึ้นได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น หายใจลำบาก แน่นหน้าอก เวียนหัวรุนแรง ไข้กลับมาเป็นซ้ำหลังจากทุเลาแล้ว หรือมีอาการเขียวคล้ำที่ริมฝีปาก ปลายมือ ปลายเท้า ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและควรได้รับการรักษาทันที5

ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

แม้ว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B จะสามารถติดเชื้อได้ในทุกเพศทุกวัย แต่คนบางกลุ่มอาจมีความเสี่ยงสูงในการเกิดอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ได้4,10

  • เด็กเล็ก : โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งยังไม่สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้
  • ผู้สูงอายุ : โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เพราะระบบภูมิคุ้มกันของผู้สูงอายุจะเสื่อมลงตามวัย ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อได้ไม่ดีเท่าคนหนุ่มสาวและมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบได้ง่ายกว่า
  • หญิงตั้งครรภ์ : การตั้งครรภ์ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันมีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงทำให้การทำงานของปอดและหัวใจเปลี่ยนไป คนกลุ่มนี้จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้
  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง : เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง : ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา หรือผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
  • บุคลากรทางการแพทย์ : ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อและแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้

วิธีรักษาเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

การรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ส่วนมากมักเป็นการรักษาตามอาการ เพื่อบรรเทาความไม่สบายและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยสามารถทำได้ดังนี้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ : เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ควรพักผ่อนอยู่บ้านและหลีกเลี่ยงการไปทำงาน โรงเรียน หรือสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ8,11,14
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ : การดื่มน้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มเกลือแร่ จะช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำได้ โดยเฉพาะเมื่อมีไข้สูง14,16
  • รับประทานอาหารให้ได้ตามปกติ : ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ รสชาติไม่จัด ร่วมกับการรับประทานผลไม่ที่มีวิตามินสูง เช่น ฝรั่งหรือส้ม14
  • รับประทานยาลดไข้และบรรเทาปวด : สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ อย่างไรก็ตามห้ามใช้ยาแอสไพรินในเด็ก เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง อย่างภาวะ Reye’s Syndrome ซึ่งมีผลต่อตับและสมอง1
  • ใช้ยารักษาตามอาการอื่นๆ : เช่น ยาแก้ไอ ยาละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูก หรือยาบรรเทาอาการเจ็บคอ16
  • ใช้ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs) : สำหรับผู้ป่วยในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาต้านไวรัส เช่น Oseltamivir หรือ Zanamivir โดยยาเหล่านี้มีประสิทธิภาพสูงสุดหากเริ่มใช้ภายใน 48 ชั่วโมงแรกหลังมีอาการ ซึ่งตัวยาสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนลงได้13

วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

เนื่องจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B สามารถแพร่เชื้อและติดต่อได้ง่ายมาก การป้องกันไวรัสชนิดนี้จึงเน้นไปที่การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อไวรัสและการรับวัคซีน โดยสามารถทำได้ดังนี้

1.ควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส11,16

  • ล้างมือบ่อยๆ : ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า : พยายามหลีกเลี่ยงการนำมือไปสัมผัสตา จมูก และปาก เนื่องจากเป็นช่องทางที่เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
  • ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม : เมื่อจำเป็นต้องไอหรือจามควรใช้กระดาษทิชชูปิดปากและจมูกแล้วทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิดทันที หากไม่มีทิชชูควรใช้ข้อพับแขนแทน ไม่ควรใช้มือปิดปากโดยตรง เพราะอาจทำให้เชื้อไวรัสติดอยู่ที่มือและแพร่ไปยังสิ่งของต่างๆ ได้ง่าย
  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย : ควรเว้นระยะห่างจากผู้ป่วยอย่างน้อย 1 เมตร และหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง เช่น การจับมือ กอด หรือใช้ของร่วมกัน
  • ทำความสะอาดพื้นผิวที่สัมผัสบ่อยๆ : เช่น ลูกบิดประตู สวิตช์ไฟ โต๊ะทำงาน รีโมต หรือโทรศัพท์มือถือ เพราะสิ่งของเหล่านี้เป็นแหล่งสะสมเชื้อไวรัสโดยไม่รู้ตัว ควรทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในบ้านที่มีผู้ป่วยหรือในช่วงที่มีการระบาด

นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงได้ เมื่อภูมิคุ้มกันดีขึ้น ร่างกายก็จะสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. การรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่กำลังระบาด ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและลดความรุนแรงของอาการเมื่อเกิดการติดเชื้อลงได้6,17

โดยปัจจุบันประเทศไทยใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ผลิตจากเชื้อที่ตายแล้ว และมีให้เลือกอยู่ 3 ชนิดดังนี้

  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent) : สามารถป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สองสายพันธุ์ (H1N1 และ H3N2) และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B สองสายพันธุ์ (Victoria และ Yamagata)17
  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ (Trivalent) : สามารถป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ Influenza A สองสายพันธุ์ (H1N1 และ H3N2) และ Influenza B สายพันธุ์ Victoria ซึ่งปัจจุบัน WHO แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ เนื่องจากตั้งแต่ปี 2020 ไม่พบการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ Yamagata แล้ว การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์จึงมีประสิทธิภาพในการป้องกันที่เพียงพอ6,17
  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ขนาด High Dose : เป็นวัคซีนที่ออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปโดยเฉพาะ โดยวัคซีนชนิดนี้จะมีปริมาณสารกระตุ้นภูมิสูงกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทั่วไป 4 เท่า จึงช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ4,15

คำถามที่พบบ่อย

1. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B รุนแรงไหม?

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B สามารถก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่พบได้บ่อย คือ ปอดบวม หลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ18

นอกจากนี้ ในบางรายเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ยังอาจทำให้อาการของโรคประจำตัวแย่ลง เช่น ผู้ป่วยหอบหืดอาจมีอาการกำเริบ ผู้ป่วยเบาหวานอาจควบคุมระดับน้ำตาลได้ยากขึ้น18

2. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ต้องนอนโรงพยาบาลไหม?

เมื่อป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเสมอไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถพักฟื้นที่บ้านได้ด้วยการดูแลตนเองและรักษาตามอาการ11

อย่างไรก็ตามหากมีอาการรุนแรงหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม11

3. ไข้หวัดธรรมดากับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B แตกต่างกันอย่างไร?

แม้ว่าไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B จะมีอาการคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในเรื่องของความรุนแรงของอาการ สาเหตุ และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

หากไม่มีอาการแทรกซ้อน อาการโดยทั่วไปของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ก็ยังคงรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดาอย่างชัดเจน โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มักจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัวอย่างรุนแรง และอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากกว่าไข้หวัดธรรมดา9

Scroll to Top