คุณอาจไม่รู้ว่า อาการของโรคไข้หวัดไม่จำเป็นต้องบรรเทาได้ด้วยยาต้านไวรัส หรือยาปฏิชีวนะเท่านั้น แต่การรู้จักเคล็ดลับการดูแลตนเองบางอย่าง ก็สามารถบรรเทาอาการแสนน่ารำคาญของโรคนี้ลงได้ โดยเฉพาะอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล คุณสามารถลองทำคำแนะนำต่อไปนี้ เพื่อบรรเทาอาการของโรคไข้หวัดให้ดีขึ้น
สารบัญ
- 1. รับประทานขิง
- 2. อบด้วยสมุนไพรเพื่อระงับเชื้อ
- 3. นวดกดจุดด้วยตนเอง
- 4. อบด้วยน้ำมันยูคาลิปตัส
- 5. จิบน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์
- 6. เครื่องพ่นไอน้ำช่วยได้
- 7. ดื่มน้ำให้มาก
- 8. จิบชาเปปเปอร์มินต์
- 9. กระเทียม
- 10. รับประทานหัวแรดิชทะเล หรือฮอร์สแรดิช
- 11. พริกคาเยนป่นช่วยได้
- 12. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- 13. บำรุงด้วยธาตุสังกะสี (ซิงก์)
- 14. ออกกำลังกายให้เหงื่อออก
- 15. พักผ่อนให้เพียงพอ
1. รับประทานขิง
หั่นขิงเป็นแผ่นขนาดประมาณ 3 นิ้ว แล้วต้มขิงในน้ำร้อน 2 ถ้วยตวง ปิดฝาหม้อไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นปิดเตา และจุ่มผ้าสะอาดลงในน้ำขิงต้ม คุณต้องแน่ใจด้วยว่า ผ้าที่ชุบน้ำขิงนั้นจะไม่ร้อนเกินไปสำหรับผิวหน้าของคุณ
จากนั้นใช้ผ้าประคบไว้บริเวณหน้าโดยเน้นที่บริเวณจมูกประมาณ 15 นาที โดยท่านอนของคุณควรอยู่ในท่าที่ศีรษะสูงขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้น้ำมูกไหลแห้งเร็วขึ้น
นอกจากนี้การดื่มน้ำขิงร้อนๆ ก็จะช่วยบรรเทาอาการหวัดคัดจมูกได้เช่นกัน เนื่องจากขิงมีคุณสมบัติในการป้องกันอาการอักเสบได้
2. อบด้วยสมุนไพรเพื่อระงับเชื้อ
ใช้ใบไทม์ (Thyme) อบแห้ง 3 ช้อนชา และใบสะระแหน่แห้ง 3 ช้อนชา (หรือใช้ชาเปปเปอร์มิน 3 ซอง) ใส่ลงในชามแล้วเติมน้ำร้อน เอนศีรษะให้ใบหน้าอยู่เหนือชามประมาณ 8-10 นิ้ว แล้วคลุมศรีษะและชามด้วยผ้าขนหนู
จากนั้นให้คุณอบและสูดดมกลิ่นสมุนไพรประมาณ 10 นาที ทำเช่นนี้ 2-3 ครั้งต่อวัน หรือตามที่ต้องการจนกว่าคุณจะรู้สึกโล่งจมูกและสบายขึ้น เพราะสมุนไพรไทม์มีคุณสมบัติที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้ ส่วนสารเมนทอลธรรมชาติในสะระแหน่จะช่วยลดอาการคัดจมูก ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น
3. นวดกดจุดด้วยตนเอง
วิธีการนวดกดจุดด้วยตนเองคือ ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือซ้ายและนิ้วชี้ซ้ายกดบริเวณระหว่างคิ้ว ตรงบริเวณหัวจมูก ขณะเดียวกันให้ใช้นิ้วมือและอุ้งมืออีกข้างกดบีบกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอย กดทั้ง 4 จุด ประมาณ 1 นาที จะรู้สึกว่า อาการคัดจมูกดีขึ้น
นอกจากนี้ให้นวดศีรษะให้ตนเองด้วยการใช้นิ้วโป้งทั้ง 2 ข้าง นวดบริเวณขมับไล่ไปจนถึงระหว่างคิ้วนานประมาณ 5 นาที หรือไปนวดผ่อนคลายอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพราะการนวดเป็นการกระตุ้นเลือดลมในร่างกายให้ไหลเวียนดีและทำให้ร่างกายสามารถผลิตออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์เม็ดเลือดแดงได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้คุณมีสุขภาพดีขึ้น
4. อบด้วยน้ำมันยูคาลิปตัส
น้ำมันหอมระเหยยูคาลิปตัสได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียหลายสายพันธุ์ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อเป็นไซนัสได้
วิธีการคือ ผสมน้ำมันหอมระเหยยูคาลิปตัส 5 หยด ลงในชามน้ำร้อนประมาณ 1 ลิตร เอนศีรษะให้ใบหน้าอยู่เหนือชามแล้วคลุมศรีษะกับชามด้วยผ้าขนหนู อบและสูดดมกลิ่นสมุนไพรประมาณ 10-15 นาที ทำเช่นนี้ 3-4 ครั้งต่อวันในขณะที่คุณมีอาการคัดจมูก
5. จิบน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์
ลองหยิบน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์จากห้องครัวของคุณมาใช้ประโยชน์ดู เนื่องจากน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์มีส่วนประกอบของโพแทสเซียมที่จะช่วยลดเสมหะและกรดอะซิติก (Acetic Acid) ซึ่งช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นสาเหตุของอาการคัดจมูก
ลองผสมน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ช้อนชา กับน้ำเปล่า 1 แก้วแล้วดื่มเพื่อบรรเทาอาการ
6. เครื่องพ่นไอน้ำช่วยได้
อาการคัดจมูก หรือภาวะไซนัส มักเกิดขึ้นเมื่ออากาศที่หายใจเข้าไปนั้นแห้งมากเกินไปจนทำให้เรารู้สึกหายใจอึดอัด เครื่องพ่นไอน้ำจะช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศ ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของไซนัส และช่วยระบายอาการคัดจมูกที่เกิดขึ้นได้
7. ดื่มน้ำให้มาก
การดื่มน้ำให้มาก หรือจิบน้ำอุ่นอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดเสมหะ ช่วยให้จมูกแห้งเร็วขึ้น และบรรเทาอาการคัดจมูกได้ ดังนั้นคุณควรจิบน้ำบ่อยๆ หรือดื่มชาอุ่นๆ เช่น ชาขิง และชาเปปเปอร์มินต์ ซึ่งถือเป็นตัวเลือกที่ดีในการช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกได้
นอกเหนือจากชาทั้งสองชนิดด้านบนแล้ว ยังมีชาเขียวร้อน หรือชาดำร้อน ที่จะช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น หรือหากมีอาการเจ็บคอ คัดจมูกร่วมด้วยก็ควรเพิ่มน้ำมะนาว และน้ำผึ้งลงไป โดยน้ำมะนาวจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย ลดน้ำมูก และเสมหะ ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ชุ่มคอ และอาการเจ็บคอก็จะดีขึ้น
8. จิบชาเปปเปอร์มินต์
สารเมนทอลในสะระแหน่สามารถช่วยลดเสมหะ และช่วยให้หายใจโล่งขึ้นได้ เพราะความร้อนของชาและสารเมนทอลจะบรรเทา และฟื้นฟูระบบทางเดินหายใจให้เป็นปกติ
9. กระเทียม
กระเทียมมีสารประกอบที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้ดี ในแต่ละมื้ออาหารให้ใส่กระเทียมสดลงไปในเมนูโปรด หรือลองต้มดื่มเป็นชา โดยการหั่นกระเทียมและต้มกับน้ำร้อนจะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น
10. รับประทานหัวแรดิชทะเล หรือฮอร์สแรดิช
แรดิชทะเล หรือฮอร์สแรดิช (Radish หรือ Horseradish) เป็นพืชชนิดหนึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันกับมัสตาร์ดและวาซาบิ เป็นชนิดของสมุนไพรที่ใช้สำหรับอาการไซนัส และขับน้ำมูกเวลาเป็นโรคไข้หวัดได้
วิธีใช้หัวแรดิชทะเลในการบรรเทาไข้หวัด คือ หั่นหัวแรดิชทะเลแล้วใส่เพิ่มไปในแซนวิชมื้อเช้า หรือลองผสมแรดิชบด 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วทาลงบนขนมปังแครกเกอร์
นอกจากนี้คุณอาจลองหั่นหัวแรดิชใส่ลงในหม้อขณะหุงข้าว หรือใส่ไปกับมันฝรั่งบด หากอาการไข้หวัดของคุณค่อนข้างหนักและเรื้อรัง ให้รับประทานหัวแรดิชตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะทำให้ร่างกายขับน้ำมูกออกมาได้เร็วขึ้น
11. พริกคาเยนป่นช่วยได้
สารแคปไซซินในพริกคาเยน (Cayenne Pepper) ป่นสามารถช่วยลดเสมหะ และทำให้หายใจสะดวกขึ้น นอกจากนี้ พริกคาเยนยังมีส่วนประกอบของสารต้านการอักเสบ และช่วยลดอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลได้
คุณสามารถโรยพริกคาเยนป่นลงไปในอาหารจานโปรด หรือจิบเป็นชา โดยใช้ผงพริกคาเยน ¼ ช้อนชา ชงกับน้ำร้อน
12. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หากรู้ตัวว่า กำลังเป็นไข้หวัด คุณควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้ก่อน เพราะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายหายช้าลงแล้ว แอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มยังมีผลต่อการสูบฉีดเลือดลมให้ไหลเวียนภายในร่างกายมากกว่าปกติ รวมถึงทำให้หัวใจจะเต้นเร็ว และอาจทำให้คุณนอนไม่หลับได้
13. บำรุงด้วยธาตุสังกะสี (ซิงก์)
ในช่วงที่ป่วยเป็นไข้หวัด คุณจะเผชิญกับอาการอ่อนเพลียง่าย ไม่มีแรง จึงควรรับประทานอาหารประเภทโปรตีน และแร่ธาตุสังกะสี (ซิงก์) ให้เพียงพอ เพราะสารอาหารสำคัญทั้ง 2 ชนิดนี้จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคมากขึ้น
นอกจากนี้โปรตีนกับสังกะสียังช่วยให้กระบวนการทำงานของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายกลับมาทำหน้าที่ตามปกติด้วย สำหรับอาหารประเภทนี้ ได้แก่ อาหารจำพวกปลา ไข่ไก่ และโยเกิร์ต ส่วนอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีสูง ได้แก่ ถั่วชนิดต่าง ๆ เนื้อสัตว์ ไข่แดง และนม
14. ออกกำลังกายให้เหงื่อออก
สำหรับผู้ที่มีอาการไข้สูงควรนอนพักผ่อนให้ร่างกายได้พักฟื้น หากมีอาการไอ คัดจมูก น้ำมูกไหล แต่ยังมีเรี่ยวแรงพอออกกำลังกายได้ ก็ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 15 นาทีต่อวัน ร่างกายจะได้อุ่นขึ้น และขับของเสียออกมาในรูปของเหงื่อ หากทำแบบนี้ทุกวันก็จะช่วยบรรเทาอาการหวัดได้
15. พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับตอนกลางคืนเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อน และฟื้นฟูตัวเองได้ดี ดังนั้นการนอนจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยปกติแล้วคุณควรนอนวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่สำหรับคนป่วยสามารถนอนได้มากกว่า 1-2 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรนอนติดเตียงทั้งวัน แต่ควรลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวร่างกายให้ระบบของร่างกายมีการเผาผลาญ เลือดลมมีการไหลเวียนบ้าง และที่สำคัญที่สุดคือการล้างมือสม่ำเสมอเพื่อลดการแพร่กระจายไปยังคนอื่น
หากอาการดีขึ้นจากโรคไข้หวัดด้วยเคล็ดลับเหล่านี้ อย่าลืมไปบอกต่อคนรอบตัวให้ลองปฏิบัติตามดูบ้าง เพราะการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รวมถึงฟื้นฟูร่างกายจากอาการป่วยในหลายครั้งๆ ก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง หรืออาศัยวัตถุดิบทางธรมมชาติใกล้ตัวนี่เอง ไม่ต้องไปพบแพทย์
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล