อาหารน้ำตาลสูงเป็นสิ่งที่เราพบเจอได้ทุกวัน และบางคนก็เป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าจะน้ำอัดลม ชานมไข่มุก ช็อกโกแลต หรือเค้ก ซึ่งการได้รับน้ำตาลมากเกินจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้
บทความนี้จะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจถึงผลกระทบของน้ำตาลต่อร่างกาย พร้อมคำแนะนำในการดูแลสุขภาพ เพื่อให้ห่างไกลจากโรคเบาหวาน
สารบัญ
กินน้ำตาลมากไปเสี่ยงอะไรบ้าง?
แม้ว่าร่างกายจะต้องการน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน แต่ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะการได้รับน้ำตาลมากเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพต่อไปนี้ได้
1. โรคเบาหวานชนิดที่ 2
อาจเริ่มต้นมาจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน จากการที่ตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่ทัน ซึ่งอินซูลินมีหน้าที่ในการจัดการกับน้ำตาลในเลือด จนร่างกายเริ่มดื้อต่ออินซูลิน และกลายเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในที่สุด
2. เพิ่มการสะสมของไขมัน และความเสี่ยงโรคเรื้อรังอื่น
เมื่อได้รับน้ำตาลเกินกว่าที่ต้องการ และใช้ไม่หมด ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้กลายเป็นพลังงานสำรอง นั่นคือไขมัน ไปสะสมใต้ชั้นผิวหนัง ในช่องท้อง ในหลอดเลือด จนกระตุ้นการอักเสบของอวัยวะ เพิ่มความเสี่ยงของภาวะไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะไขมันพอกตับได้
3. ทำลายสุขภาพฟัน
อย่างที่เราถูกบอกมาตั้งแต่เด็กจนโตว่าการกินของหวาน หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูงมีส่วนทำให้เกิดฟันผุ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพฟัน และช่องปาก หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่โรคเหงือก การติดเชื้อภายในช่องปากที่รุนแรงขึ้น และส่งผลต่อบุคลิกภาพได้ด้วย
เรียกได้ว่าการได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็นสัมพันธ์กับการเกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง ตั้งแต่ไม่รุนแรง ไปจนถึงเป็นอันตรายเลยทีเดียว
ใน 1 วัน ควรกินน้ำตาลเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม?
คนแต่ละคนมีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ยที่ควรได้รับต่อวันแตกต่างกันไป ข้อมูลทางการแพทย์แนะนำ ดังนี้
- เด็กอายุ 6–13 ปี: ควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 16 กรัม หรือน้ำตาล 4 ช้อนชา/วัน
- วัยรุ่นอายุ 14–25 ปี: ควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัม หรือน้ำตาล 6 ช้อนชา/วัน
- วัยทำงานอายุ 25–60 ปี: ควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 16 กรัม หรือน้ำตาล 4 ช้อนชา/วัน
- ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป: ควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 16 กรัม หรือน้ำตาล 4 ช้อนชา/วัน
สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือมีภาวะสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมในแต่ละวัน
อาหารน้ำตาลสูงใกล้ตัวที่คุณควรระวัง
น้ำตาลเป็นเครื่องปรุงที่หาได้ง่าย และแฝงอยู่ในอาหารแทบทุกชนิด เช่น
- เครื่องดื่ม: น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชาเขียวเติมน้ำตาล ชานมไข่มุก และนมรสชาติต่าง ๆ
- ของหวาน: คุกกี้ ไอศกรีม ขนมไทย เบเกอรี ช็อกโกแลต
- อื่น ๆ : ผลไม้เชื่อม ผลไม้ตากแห้ง น้ำผึ้ง
นอกจากนี้ อาหารบางชนิดแม้จะมีน้ำตาลไม่มาก แต่ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม เช่น ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง ผลไม้รสหวาน พืชหัว อย่างมัน เผือก และถั่วต่าง ๆ
เช็กความเสี่ยงเบาหวานได้อย่างไร?
เบื้องต้นอาจลองดูว่าตัวคุณเองมีพฤติกรรมชอบกินของหวาน ติดหวานหรือไม่ แล้วพบอาการต้องสงสัยของภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่เป็นสัญญาณโรคเบาหวานหรือเปล่า เช่น กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย แม้ในเวลากลางคืน เหนื่อยง่าย หรืออ่อนเพลียโดยไม่มีสาเหตุ
การวินิจฉัยโรคเบาหวานจำเป็นต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย โดยจะใช้การเจาะเลือด เพื่อหาระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมี 2 แบบหลักด้วยกัน
- การตรวจน้ำตาลในเลือดแบบอดอาหาร (Fasting blood sugar test): เป็นการตรวจเลือดที่ต้องอดอาหารก่อนเก็บตัวอย่างเลือด 8 ชั่วโมง เพื่อนำไปหาค่าน้ำตาลในเลือด ซึ่งเกณฑ์ปกติควรอยู่ที่ 70–99 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากเกินกว่านี้อาจมีความเสี่ยงโรคเบาหวาน
- การตรวจน้ำตาลในเลือดสะสม (HbA1c Test): วิธีนี้สามารถบอกระดับน้ำตาลเฉลี่ยของคุณในช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมา โดยค่าปกติจะไม่เกิน 5.7% หากเกินกว่านี้อาจเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
แม้น้ำตาลจะจำเป็นต่อการดำรงชีวิต และความสุขในการใช้ชีวิต แต่การกินอาหารน้ำตาลสูงในปริมาณมากส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ในระยะยาว
ทางที่ดีควรกินในปริมาณที่เหมาะสม ร่วมกับการดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดี อย่างการกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่เกิดจากน้ำตาล
ประเมินความเสี่ยงเบาหวานตั้งแต่วันนี้ ดีกว่าไปรักษาในอนาคต เช็กแพ็กเกจคัดกรองเบาหวาน ตรวจน้ำตาลในเลือด ราคาเบา จองง่ายไม่ยุ่งยากได้ที่ HDmall.co.th